การแก้ไขก่อนหน้าทั้งสองฝั่ง การแก้ไขก่อนหน้า การแก้ไขถัดไป | การแก้ไขก่อนหน้า |
มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน [2020/12/25 02:10] – dhamma | มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน [2021/01/02 13:14] (ฉบับปัจจุบัน) – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 |
---|
| |
---- | ---- |
ที่ว่า "ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น (อิติ) แยกกายสังขารคือลมหายใจ (กาเย) ในกองกรัชกายคืออิริยาบถนั่งของตนเองอยู่บ้าง (อชฺฌตฺตํ วา กายานุปสฺสี วิหรติ)" เพราะ อิติ โยค ปฐมจตุกฺก ของอานาปานบรรพะ กาย ศัพท์ ก็ต้องโยค "ลมหายใจ" เช่นกัน. ส่วนที่กล่าวเฉพาะอิริยาบถนั่ง เพราะตอนต้นบรรพะ กล่าวว่า "นิทฺสีทติ" และบรรพะถัดไปเป็นอิริยาบถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะ ที่ตรงกับคำขยายของ "วิหรติ" ในปฏิสัมภิทามรรค, วิภังค์, และอรรถกถาของสูตรนี้, รวมถึงตรงกับกายคตาสติสูตรส่วนที่ต่อจาก อิติ ของทุกบรรพะ และที่มูลบาลี,อรรถกถา,[https://sutta.men/?th.r.129.105.0.0.วสีภูโต#hl ฏีกา]ขยายการทำกายคตาสติ 14 ให้ถึงอัปปนาฌานที่เป็นวสีไว้ด้วย. | ที่ว่า "ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น (อิติ) แยกกายสังขารคือลมหายใจ (กาเย) ในกองกรัชกายคืออิริยาบถนั่งของตนเองอยู่บ้าง (อชฺฌตฺตํ วา กายานุปสฺสี วิหรติ)" เพราะ อิติ โยค ปฐมจตุกฺก ของอานาปานบรรพะ กาย ศัพท์ ก็ต้องโยค "ลมหายใจ" เช่นกัน. ส่วนที่กล่าวเฉพาะอิริยาบถนั่ง เพราะตามหลักปุพฺพาปรสนฺธิด้วยอำนาจสีหวิกฺกีฬิตนัยนั้น เมื่อตอนต้นบรรพะ กล่าวว่า "นิทฺสีทติ" และบรรพะถัดไปเป็นอิริยาบถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะ ที่ตรงกับคำขยายของ "วิหรติ" ในปฏิสัมภิทามรรค, วิภังค์, และอรรถกถาของสูตรนี้, รวมถึงตรงกับกายคตาสติสูตรส่วนที่ต่อจาก อิติ ของทุกบรรพะ และที่มูลบาลี,อรรถกถา,[https://sutta.men/?th.r.129.105.0.0.วสีภูโต#hl ฏีกา]ขยายการทำกายคตาสติ 14 ให้ถึงอัปปนาฌานที่เป็นวสีไว้ด้วย. |
#ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น แยกกายสังขารคือลมหายใจ ในกองกรัชกายคืออิริยาบถนั่งของคนอื่นอยู่บ้าง | |
#ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น แยกกายสังขารคือลมหายใจ ในกองกรัชกายคืออิริยาบถนั่ง ทั้งของตนเองและของคนอื่นอยู่บ้าง | |
#ภิกษุนั่งตามอนุปัสสนาเห็นเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง | |
#ภิกษุนั่งตามอนุปัสสนาเห็นเหตุดับในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง | |
#ภิกษุนั่งตามอนุปัสสนาเห็นเหตุเกิดและเหตุดับในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง | |
| |
ส่วนสติของภิกษุนั้นที่ตั้งมั่นอยู่ว่า "มีกายสังขารคือลมหายใจ(เป็นต้น)อยู่(ไม่มีสัตว์บุคคลใดๆ ในกรัชกายนี้)" ก็เพียงเพื่อให้ปัญญา(ปชานาติ)พัฒนาเป็นญาณเท่านั้น เพียงเพื่ออบรมสติให้ตั้งมั่นในอารมณ์เท่านั้น ภิกษุไม่ใช้อิริยาบถ 4 ฐานะ 7 อาศัยอยู่กับตัณหาและทิฐิแล้ว และไม่มีอุปาทาน 4 ยึดติดโลกใดๆ ในโลกคือปิยรูปสาตรูป 60 ทั้งสิ้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า "ตามอนุปัสสนา 7 แยกกายในกองกรัชกายออกเป็นส่วนๆ ดำรงอยู่อย่างนี้ในอิริยาบถ 4 ฐานะ 7"ฯ | ที่ว่า "ภิกษุนั่งตามอนุปัสสนาเห็นเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง (สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมึ วิหรติ)" ฏีกาขยาย สมุทยธมฺมานุปสฺสี ไว้ 2 นัย ซึ่งสมควรทั้งคู่ โดยนัยที่แปลว่า "ผู้ตามเห็นเหตุเกิด" นี้กล่าวตามหลักปุพฺพาปรสนฺธิโดยสีหวิกฺกีฬิตนัย คือ เพราะได้กล่าวสมถะจนถึงวิชชา 8 ไว้ในกายคตาสติสูตรแล้ว นำ วิชชาที่ 1 และ 8 ในสูตรนั้น ซึ่งขยายไว้ในสีลักขันธวรรค มีสามัญญผลสูตรเป็นต้น แล้วมาอธิบายให้ละเอียดด้วยอำนาจขยญาณพลววิปัสสนาเป็นต้นไปไว้ในสูตรนี้. |
| |
| กาเย ในอุทเทส องค์ธรรม คือ กรชกาย เป็นต้น (ดูอรรถกถา), กาย ในกายานุปสฺสี อุทเทส องค์ธรรม คือ กาย ที่ถูกทำฆนวินิพฺโภคะ ละเอียดลงๆ จนถึง ขณะปัจจุบัน (ดู ปฏิ.สติปฏฺฐานกถา, วิภังค. สติปัฏฐานวิภังค์, อรรถกถาสูตรนี้, ปฏิ.อ. สัมมสนญาณนิทฺเทส และ อุทยัพพยญาณนิทเทส [บาลีเท่านั้น] รวมถึง วิสุทฺธิ.มหาฏี. อุทยัพพยญาณกถาวณฺณนา ด้วย.), ส่วน กาเย และ กายานุปสฺสี ในนิทเทส 14 บรรพะ ก็คือส่วนขยายของอุทเทสนั่นเอง. อรรถกถาอุทเทสตรงที่ขยายไว้โดยใช้ศัพท์ที่ปรากฎในสูตรนี้ นั่นคือ ปุพฺพาปรสนฺธิ สีหวิกฺกีฬิตนัย. ส่วนขยายอื่นๆ ก็นัยอื่นๆ (เป็นสภาคะ ฆฏนา กัน, ไม่ได้ขัดแย้งกัน). กายสฺมึ องค์ธรรมคือ ส่วนที่แยก ฆนวินิพฺโภค จาก กาเย ของบรรพะแล้ว นำมาเห็นเหตุเกิดเหตุดับต่อ เช่น ล่มหายใจ ใน ขุ.ปฏิ. [https://sutta.men/?th.n.45.170.. อานาปานกถา] ปฐมจตุกฺก ก็อธิบายในทำนองให้แยกออกเป็นสภาวะ ซึ่งก็ตรงกับจตุกฺกวิมุตฺต ใน วิสุทฺธิ. อานาปานกถา ที่แสดงการแยกนามรูปและการกำหนดไตรลักษณ์ไว้ ก่อนจะแสดงจตุกฺกที่ 2-4. |
| |
| "ส่วนสติของภิกษุนั้นที่ตั้งมั่นอยู่ว่า 'มีกายสังขารคือลมหายใจ(เป็นต้น)อยู่(ไม่มีสัตว์บุคคลใดๆ ในกรัชกายนี้)' ก็เพียงเพื่อให้ปัญญา(ปชานาติ)พัฒนาเป็นญาณเท่านั้น เพียงเพื่ออบรมสติให้ตั้งมั่นในอารมณ์เท่านั้น (อตฺถิ กาโยติ วา ปนสฺส สติ ปจฺจุปฏฺฐิตา โหติ ยาวเทว ญาณมตฺตาย ปฏิสฺสติมตฺตาย)" คือ เมื่อตามแยกสภาวะจนเหลือแต่ปรมัตถธรรมที่เกิดได้จริง โดยปัจจัย 4 โดยขณปัจจุบัน 1 ในแต่ละขันธ์ จนทำลายฆนสัญญาได้แล้ว ด้วยบทว่า "สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา" เป็นต้น ก็จะเห็นเป็นเพียงสภาวะไม่มีสัตว์บุคคลที่บังคับบัญชาได้. เมื่อเห็นขณปัจจุบัน ก็เห็นคาหะ 3 ในอุปักกิเลส 10 ได้ จึงละคาหะ 3 นั้นในวิปัสสนาจารจิตที่เพิ่งดับไปได้ ปชานาติ ก็จะกลายเป็น ญาณํ. คาหะ 3 ในสูตรนี้ ทรงตรัสขยายให้ละเอียดไว้ด้วยอำนาจอุปาทานและสมุทยสัจในสัจจบรรพะแล้ว แต่ในที่นี้ยังแสดงไว้โดยย่อ จึงตรัสว่า 'ภิกษุไม่ใช้อิริยาบถ 4 ฐานะ 7 อาศัยอยู่กับตัณหาและทิฐิแล้ว และไม่มีอุปาทาน 4 ยึดติดโลกใดๆ ในโลกคือปิยรูปสาตรูป 60 ทั้งสิ้น. (อนิสฺสิโต จ วิหรติ น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ)'ฯ |
| |
===อิริยาปถบรรพ=== | ===อิริยาปถบรรพ=== |
| |
===คำอธิบายผู้ปรับสำนวน=== | ===คำอธิบายผู้ปรับสำนวน=== |
| สำหรับท่านที่อ่านอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรอย่างเดียว ไม่ได้ท่องจำในระบบมุขปาฐะ อาจสงสัยในคำแปลตรงนี้ว่าทำไมจึงต่างจากอรรถกถา ข้อนั้นมีอธิบายดังนี้.- |
| |
ในกายคตาสติสูตร แสดงอิริยาบถบรรพะเป็นการฝึกฌานวสี ต่อจากบรรพะอื่นๆ มีอานาปานบรรพะและปฏิกูลมนสิการบรรพะ เป็นต้น เพราะแสดงแก่ผู้เพิ่งสนใจกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จึงไม่มีพยัญชนะว่า "ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น แยกกายสังขารคือลมหายใจ ในกองกรัชกายคืออิริยาบถนั่งของตนเองอยู่บ้าง ... ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง" เป็นต้น. แต่ในมหาสติปัฏฐานสูตร อรรถกถาท่านแสดงอิริยาบถบรรพะเป็นวิปัสสนา เพราะสูตรนี้ทรงแสดงแก่ผู้ทำภาวนามาก่อนแล้ว จึงให้ทำพลววิปัสสนาทั้งในอารมณ์กรรมฐานและในนามรูปที่ทำกรรมฐานในอารมณ์อยู่ ด้วยพยัญชนะว่า "ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง" และบทว่า "ภิกษุไม่ใช้อิริยาบถ 4 ฐานะ 7 อาศัยอยู่กับตัณหาและทิฐิแล้ว" เป็นต้น. | ในกายคตาสติสูตร แสดงอิริยาบถบรรพะเป็นการฝึกฌานวสี ต่อจากบรรพะอื่นๆ มีอานาปานบรรพะและปฏิกูลมนสิการบรรพะ เป็นต้น เพราะแสดงแก่ผู้เพิ่งสนใจกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จึงไม่มีพยัญชนะว่า "ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น แยกกายสังขารคือลมหายใจ ในกองกรัชกายคืออิริยาบถนั่งของตนเองอยู่บ้าง ... ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง" เป็นต้น. แต่ในมหาสติปัฏฐานสูตร อรรถกถาท่านแสดงอิริยาบถบรรพะเป็นวิปัสสนา เพราะสูตรนี้ทรงแสดงแก่ผู้ทำภาวนามาก่อนแล้ว จึงให้ทำพลววิปัสสนาทั้งในอารมณ์กรรมฐานและในนามรูปที่ทำกรรมฐานในอารมณ์อยู่ ด้วยพยัญชนะว่า "ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง" และบทว่า "ภิกษุไม่ใช้อิริยาบถ 4 ฐานะ 7 อาศัยอยู่กับตัณหาและทิฐิแล้ว" เป็นต้น. |
| |
ในที่นี้แปลไว้กลางๆ ใช้ได้กับทั้ง 2 สูตร เพราะครึ่งแรกของอิริยาบถและสัมปชัญญะบรรพะ ปฏิบัติแบบเดียวกันทั้ง 2 สูตรจึงใช้ร่วมกันได้ ต่างกันที่ครึ่งหลัง ตามประเภทอินทรีย์อ่อนและกล้าของผู้ฟัง. | ในที่นี้แปลไว้กลางๆ ใช้ได้กับทั้ง 2 สูตร เพราะครึ่งแรกของอิริยาบถและสัมปชัญญะบรรพะ ปฏิบัติแบบเดียวกันทั้ง 2 สูตรจึงใช้ร่วมกันได้ ต่างกันที่ครึ่งหลัง ตามประเภทอินทรีย์อ่อนและกล้าของผู้ฟัง. ฉะนั้น ผมจึงต้องแปลอย่างนั้น ไม่สามารถแปลแต่เพียงว่า "อิริยาบถและสัมปชัญญบรรพะ คือการทำวิปัสสนาในอิริยาบถและสัมปชัญญบรรพะ" เพราะต้องแปลให้สอดคล้องกับพระสูตรอื่นๆ อรรถกถาอื่นๆ ด้วย โดยอาศัยวิธีการในระบบมุขปาฐะ มีเตติปกรณ์เป็นต้น ในที่อื่นๆ ก็นัยเดียวกันนี้. |
| |
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร แสดงอิริยาบถเป็นธาตุไว้ อาศัยบทในสูตรว่า "ปรํ", "ยถา ยถา วา กาโย ปณิหิโต", และ "ยถา ฐิตํ ยถา ปณิหิตํ" โดย ในอรรถกถา ขยายโดยใช้บทว่า "ฐิตํ" ร่วมด้วย. ฉะนั้น บรรพะที่ขยายอิริยาบถบรรพะ ก็คือ ธาตุบรรพะ (จตุธาตุววัตถาน) นั่นเอง. | อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร แสดงอิริยาบถเป็นธาตุไว้ อาศัยบทในสูตรว่า "ปรํ", "ยถา ยถา วา กาโย ปณิหิโต", และ "ยถา ฐิตํ ยถา ปณิหิตํ" โดย ในอรรถกถา ขยายโดยใช้บทว่า "ฐิตํ" ร่วมด้วย. ฉะนั้น บรรพะที่ขยายอิริยาบถบรรพะ ก็คือ ธาตุบรรพะ (จตุธาตุววัตถาน) นั่นเอง. |
ฏี-ปณิหิโตติ ยถา ยถา '''ปจฺจเยหิ''' ปกาเรหิ นิหิโต ฐปิโตฯ ในที่อื่นที่แสดงสภาวะธรรมอยู่ก็เช่นกัน ให้แปลคำว่า "อาการ" เป็นปัจจัยปัจจยุปบัน หรือ ปฏิจจสมุปปาทปฏิจจสมุปปันนะ ทั้งหมด. | ฏี-ปณิหิโตติ ยถา ยถา '''ปจฺจเยหิ''' ปกาเรหิ นิหิโต ฐปิโตฯ ในที่อื่นที่แสดงสภาวะธรรมอยู่ก็เช่นกัน ให้แปลคำว่า "อาการ" เป็นปัจจัยปัจจยุปบัน หรือ ปฏิจจสมุปปาทปฏิจจสมุปปันนะ ทั้งหมด. |
| |
=แต่นี้ไปยังไม่ได้ปรับสำนวน= | |
===สัมปชัญญบรรพ=== | ===สัมปชัญญบรรพ=== |
| |
[276] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุย่อมทำความรู้สึกตัวในการ ก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออกในการทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการเดิน การยืน การนั่งการหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้างพิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ | [276] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง |
| #ภิกษุย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชัดเจนอย่างชำนาญในขณะก้าว ในขณะถอย |
| #ย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชัดเจนอย่างชำนาญในขณะแล ในขณะเหลียว |
| #ย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชัดเจนอย่างชำนาญในขณะคู้เข้า ในขณะเหยียดออก |
| #ย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชัดเจนอย่างชำนาญในขณะทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร |
| #ย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชัดเจนอย่างชำนาญในขณะกิน ขณะดื่ม ขณะเคี้ยว ขณะลิ้ม |
| #ย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชัดเจนอย่างชำนาญในขณะถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ |
| #ย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชัดเจนอย่างชำนาญในขณะเดิน ขณะยืน ขณะนั่งขณะหลับ ขณะตื่น ขณะพูด ขณะนิ่ง |
| |
| #ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น แยกกายสังขารคือลมหายใจ (เป็นต้น) ในกองกรัชกายคืออิริยาบถ 4 ของตนเองอยู่บ้าง |
| #ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น แยกกายสังขารคือลมหายใจ (เป็นต้น) ในกองกรัชกายคืออิริยาบถ 4 ของคนอื่นอยู่บ้าง |
| #ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น แยกกายสังขารคือลมหายใจ (เป็นต้น) ในกองกรัชกายคืออิริยาบถ 4 ทั้งของตนเองและของคนอื่นอยู่บ้าง |
| #ภิกษุตามอนุปัสสนาเห็นเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นในอิริยาบถ 4 อยู่บ้าง |
| #ภิกษุตามอนุปัสสนาเห็นเหตุดับในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นในอิริยาบถ 4 อยู่บ้าง |
| #ภิกษุตามอนุปัสสนาเห็นเหตุเกิดและเหตุดับในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นในอิริยาบถ 4 อยู่บ้าง |
| |
| ส่วนสติของภิกษุนั้นที่ตั้งมั่นอยู่ว่า "มีกายสังขารคือลมหายใจ(เป็นต้น)อยู่(ไม่มีสัตว์บุคคลใดๆ ในกรัชกายนี้)" ก็เพียงเพื่อให้ปัญญา(ปชานาติ)พัฒนาเป็นญาณเท่านั้น เพียงเพื่ออบรมสติให้ตั้งมั่นในอารมณ์เท่านั้น ภิกษุไม่ใช้อิริยาบถ 4 ฐานะ 7 อาศัยอยู่กับตัณหาและทิฐิแล้ว และไม่มีอุปาทาน 4 ยึดติดโลกใดๆ ในโลกคือปิยรูปสาตรูป 60 ทั้งสิ้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า "ตามอนุปัสสนา 7 แยกกายในกองกรัชกายออกเป็นส่วนๆ ดำรงอยู่อย่างนี้ในอิริยาบถ 4 ฐานะ 7"ฯ |
| |
'''จบสัมปชัญญบรรพ''' | '''จบสัมปชัญญบรรพ''' |
| |
| ====คำอธิบายผู้ปรับสำนวน==== |
| |
| |
| =แต่นี้ไปยังไม่ได้ปรับสำนวน= |
===ปฏิกูลมนสิการบรรพ=== | ===ปฏิกูลมนสิการบรรพ=== |
| |