ความแตกต่าง
นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น
| การแก้ไขถัดไป | การแก้ไขก่อนหน้า | ||
| อรรถกถา_มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน [2020/06/27 15:23] – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 | อรรถกถา_มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน [2021/01/02 13:14] (ฉบับปัจจุบัน) – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 | ||
|---|---|---|---|
| บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
| - | |||
| - | |||
| - | |||
| =อ.เหตุเกิดพระสูตร= | =อ.เหตุเกิดพระสูตร= | ||
| บรรทัด 20: | บรรทัด 17: | ||
| ในข้อนั้น มีเรื่องสาธกดังต่อไปนี้. | ในข้อนั้น มีเรื่องสาธกดังต่อไปนี้. | ||
| - | ====เรื่องลูกนกแขกเต้า==== | + | ''' |
| เขาเล่าว่า นักฟ้อนรำผู้หนึ่งจับลูกนกแขกเต้าได้ตัวหนึ่ง ฝึกสอนมันพูดภาษาคน (ตัวเองเที่ยวไปแสดงการฟ้อนรำในที่อื่นๆ).นักฟ้อนรำผู้นั้นอาศัยสำนักของนางภิกษุณีอยู่ เวลาไปในที่อื่นๆ ลืมลูกนกแขกเต้าเสียสนิทแล้วไป. เหล่าสามเณรีก็จับมันมาเลี้ยงตั้งชื่อมันว่า พุทธรักขิต. | เขาเล่าว่า นักฟ้อนรำผู้หนึ่งจับลูกนกแขกเต้าได้ตัวหนึ่ง ฝึกสอนมันพูดภาษาคน (ตัวเองเที่ยวไปแสดงการฟ้อนรำในที่อื่นๆ).นักฟ้อนรำผู้นั้นอาศัยสำนักของนางภิกษุณีอยู่ เวลาไปในที่อื่นๆ ลืมลูกนกแขกเต้าเสียสนิทแล้วไป. เหล่าสามเณรีก็จับมันมาเลี้ยงตั้งชื่อมันว่า พุทธรักขิต. | ||
| บรรทัด 46: | บรรทัด 43: | ||
| อยนะ นาวา อุตตรเสตุ กุลละ ภิสิสังกมะ | อยนะ นาวา อุตตรเสตุ กุลละ ภิสิสังกมะ | ||
| - | ทางนี้นั้น ในที่นี้ ท่านกล่าวโดยชื่อว่า อยนะ เพราะฉะนั้น ในข้อที่ว่า | + | ทางนี้นั้น ในที่นี้ ท่านกล่าวโดยชื่อว่า อยนะ เพราะฉะนั้น ในข้อที่ว่า |
| - | + | ||
| - | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียวนี้ | + | |
| - | + | ||
| - | จึงควรเห็นความอย่างนี้ว่า | + | |
| - | + | ||
| - | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเอก มิใช่ทางสองแพร่ง. | + | |
| อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่า เอกายนะ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นทางที่บุคคลพึงไปผู้เดียว. คำว่า ผู้เดียว คือคนที่ละการคลุกคลีด้วยหมู่ ปลีกตัวไปสงบสงัด. ข้อว่า พึงไป คือพึงดำเนินไป. | อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่า เอกายนะ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นทางที่บุคคลพึงไปผู้เดียว. คำว่า ผู้เดียว คือคนที่ละการคลุกคลีด้วยหมู่ ปลีกตัวไปสงบสงัด. ข้อว่า พึงไป คือพึงดำเนินไป. | ||
| บรรทัด 110: | บรรทัด 101: | ||
| เป็นความจริง ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาแต่มรรคที่มีสติปัฏฐานเป็นส่วนเบื้องต้น ซึ่งเป็นไปโดยอารมณ์ 4 มีกายเป็นต้น. มิได้ประสงค์เอามรรคที่เป็นโลกุตตระ. ด้วยว่ามรรคที่เป็นส่วนเบื้องต้นนั้นย่อมดำเนินไปแม้มากครั้ง ทั้งการดำเนินไปของมรรคนั้น ก็มิใช่มีครั้งเดียว. | เป็นความจริง ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาแต่มรรคที่มีสติปัฏฐานเป็นส่วนเบื้องต้น ซึ่งเป็นไปโดยอารมณ์ 4 มีกายเป็นต้น. มิได้ประสงค์เอามรรคที่เป็นโลกุตตระ. ด้วยว่ามรรคที่เป็นส่วนเบื้องต้นนั้นย่อมดำเนินไปแม้มากครั้ง ทั้งการดำเนินไปของมรรคนั้น ก็มิใช่มีครั้งเดียว. | ||
| - | ====ธรรมสากัจฉาของพระมหาเถระ==== | + | ''' |
| ในข้อนี้ แต่ก่อนพระมหาเถระทั้งหลายก็ได้เคยสนทนากันมาแล้ว. | ในข้อนี้ แต่ก่อนพระมหาเถระทั้งหลายก็ได้เคยสนทนากันมาแล้ว. | ||
| บรรทัด 180: | บรรทัด 171: | ||
| สมจริงดังคำที่กล่าวไว้ว่า | สมจริงดังคำที่กล่าวไว้ว่า | ||
| - | รูเปน สงฺกิลิฎฺเฐน | + | < |
| - | | + | รูเป สุทฺเธ วิสุชฺฌนฺติ |
| - | | + | จิตฺเตน สงฺกิลิฎฺเฐน |
| - | | + | จิตฺเต สุทฺเธ วิสุชฺฌนฺติ |
| - | | + | |
| - | มิได้ตรัสสอนว่า คนทั้งหลาย มีรูปเศร้าหมองแล้ว | + | พระพุทธเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ |
| - | จึงเศร้าหมอง มีรูปหมดจดแล้ว จึงหมดจด | + | มิได้ตรัสสอนว่า คนทั้งหลาย มีรูปเศร้าหมองแล้ว |
| - | แต่พระผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงสอนว่า | + | จึงเศร้าหมอง มีรูปหมดจดแล้ว จึงหมดจด |
| - | คนทั้งหลาย มีจิตเศร้าหมองแล้ว จึงเศร้าหมอง | + | แต่พระผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงสอนว่า |
| - | มีจิตหมดจดแล้ว จึงหมดจด ดังนี้. | + | คนทั้งหลาย มีจิตเศร้าหมองแล้ว จึงเศร้าหมอง |
| + | มีจิตหมดจดแล้ว จึงหมดจด ดังนี้. | ||
| เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) ว่า | เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) ว่า | ||
| บรรทัด 205: | บรรทัด 197: | ||
| แท้จริง สันตติมหาอำมาตย์ฟังคาถาที่ว่า | แท้จริง สันตติมหาอำมาตย์ฟังคาถาที่ว่า | ||
| - | ยํ ปุพฺเพ ตํ วิโสเธหิ | + | ยํ ปุพฺเพ ตํ วิโสเธหิ |
| | | ||
| | | ||
| ท่านอย่ามีความกังวลใจ ในกาลภายหลัง ถ้าท่านจัก | ท่านอย่ามีความกังวลใจ ในกาลภายหลัง ถ้าท่านจัก | ||
| - | | + | |
| + | |||
| + | แล้วก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา. | ||
| นางปฏาจาราฟังพระคาถานี้ว่า | นางปฏาจาราฟังพระคาถานี้ว่า | ||
| - | น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย | + | น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย |
| | | ||
| | | ||
| บรรทัด 227: | บรรทัด 221: | ||
| ในเรื่องทั้งสองนั้นแสดงความดังต่อไปนี้. | ในเรื่องทั้งสองนั้นแสดงความดังต่อไปนี้. | ||
| - | ====เรื่องทุกข์ของพระติสสเถระ==== | + | ''' |
| เล่ากันว่า ในกรุงสาวัตถี บุตรของกุฏุมภีชื่อติสสะ ละทรัพย์ 40 โกฏิ ออกบวชโดดเดี่ยวอยู่ในป่าที่ไม่มีบ้าน.ภริยาของน้องชายท่าน ส่งโจร 500 ให้ไปฆ่าท่านเสีย. พวกโจรไปล้อมท่านไว้. ท่านจึงถามว่า ท่านอุบาสกมาทำไมกัน. พวกโจรตอบว่า มาฆ่าท่านนะซิ. | เล่ากันว่า ในกรุงสาวัตถี บุตรของกุฏุมภีชื่อติสสะ ละทรัพย์ 40 โกฏิ ออกบวชโดดเดี่ยวอยู่ในป่าที่ไม่มีบ้าน.ภริยาของน้องชายท่าน ส่งโจร 500 ให้ไปฆ่าท่านเสีย. พวกโจรไปล้อมท่านไว้. ท่านจึงถามว่า ท่านอุบาสกมาทำไมกัน. พวกโจรตอบว่า มาฆ่าท่านนะซิ. | ||
| บรรทัด 250: | บรรทัด 244: | ||
| | | ||
| - | ====เรื่องทุกข์ของภิกษุ 30 รูป==== | + | ''' |
| ภิกษุ 30 รูปอีกกลุ่มหนึ่ง เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจำพรรษาในวัดป่า ทำกติกากันว่า ผู้มีอายุ เราควรทำสมณธรรม ตลอดคืนในยามทั้งสาม เราไม่ควรมายังสำนักของกันและกัน แล้วต่างคนต่างอยู่. | ภิกษุ 30 รูปอีกกลุ่มหนึ่ง เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจำพรรษาในวัดป่า ทำกติกากันว่า ผู้มีอายุ เราควรทำสมณธรรม ตลอดคืนในยามทั้งสาม เราไม่ควรมายังสำนักของกันและกัน แล้วต่างคนต่างอยู่. | ||
| บรรทัด 278: | บรรทัด 272: | ||
| | | ||
| - | ====เรื่องทุกข์ของพระปีติมัลลเถระ==== | + | ''' |
| ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ชื่อปีติมัลลเถระ ครั้งเป็นคฤหัสถ์ ท่านถือธงมาเกาะลังกา ถึง 3 รัชกาล เข้าเฝ้าพระราชาแล้ว ได้รับพระราชานุเคราะห์ | ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ชื่อปีติมัลลเถระ ครั้งเป็นคฤหัสถ์ ท่านถือธงมาเกาะลังกา ถึง 3 รัชกาล เข้าเฝ้าพระราชาแล้ว ได้รับพระราชานุเคราะห์ | ||
| บรรทัด 304: | บรรทัด 298: | ||
| มรรคนี้ย่อมเป็นไปเพื่อดับทุกข์เหมือนอย่างทุกข์ของพระติสสเถระเป็นต้นเพียงเท่านี้ก่อน. | มรรคนี้ย่อมเป็นไปเพื่อดับทุกข์เหมือนอย่างทุกข์ของพระติสสเถระเป็นต้นเพียงเท่านี้ก่อน. | ||
| - | ====เรื่องโทมนัสของท้าวสักกะ==== | + | ''' |
| ก็ท้าวสักกะจอมเทพทรงเห็นบุพพนิมิต 5 ประการของพระองค์ถูกมรณภัยคุกคาม เกิดโทมนัส เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามปัญหา. | ก็ท้าวสักกะจอมเทพทรงเห็นบุพพนิมิต 5 ประการของพระองค์ถูกมรณภัยคุกคาม เกิดโทมนัส เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามปัญหา. | ||
| บรรทัด 310: | บรรทัด 304: | ||
| ท้าวเธอก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลพร้อมด้วยเทวดาแปดหมื่นองค์ ด้วยอำนาจการวิสัชนาอุเบกขาปัญหา. เรื่องการอุบัติของท้าวเธอจึงกลับเป็นปกติอีก. | ท้าวเธอก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลพร้อมด้วยเทวดาแปดหมื่นองค์ ด้วยอำนาจการวิสัชนาอุเบกขาปัญหา. เรื่องการอุบัติของท้าวเธอจึงกลับเป็นปกติอีก. | ||
| - | ====เรื่องโทมนัสของสุพรหมเทพบุตร==== | + | ''' |
| แม้สุพรหมเทพบุตรอันนางเทพอัปสรพันหนึ่งห้อมล้อม ก็เสวยสวรรคสมบัติ. ในจำพวกนางเทพอัปสรพันหนึ่งนั้น นางเทพอัปสรห้าร้อยมัวเก็บดอกไม้จากต้น ก็จุติไปเกิดในนรกสุพรหมเทพบุตรรำพึงว่าทำไม เทพอัปสรเหล่านี้จึงชักช้าอยู่ก็รู้ว่าพวกนางไปเกิดในนรก จึงหันมาพิจารณาดูตัวเองว่าอายุเท่าไรแล้วหนอ ก็รู้ว่าตนจะสิ้นอายุจะไปเกิดในนรกนั้นด้วย ก็หวาดกลัว เกิดโทมนัสอย่างยิ่ง เห็นว่า พระบรมศาสดาเท่านั้นจะยังความโทมนัสของเรานี้ให้พินาศไป ไม่มีผู้อื่น แล้วก็พานางเทพอัปสรห้าร้อยที่เหลือเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า | แม้สุพรหมเทพบุตรอันนางเทพอัปสรพันหนึ่งห้อมล้อม ก็เสวยสวรรคสมบัติ. ในจำพวกนางเทพอัปสรพันหนึ่งนั้น นางเทพอัปสรห้าร้อยมัวเก็บดอกไม้จากต้น ก็จุติไปเกิดในนรกสุพรหมเทพบุตรรำพึงว่าทำไม เทพอัปสรเหล่านี้จึงชักช้าอยู่ก็รู้ว่าพวกนางไปเกิดในนรก จึงหันมาพิจารณาดูตัวเองว่าอายุเท่าไรแล้วหนอ ก็รู้ว่าตนจะสิ้นอายุจะไปเกิดในนรกนั้นด้วย ก็หวาดกลัว เกิดโทมนัสอย่างยิ่ง เห็นว่า พระบรมศาสดาเท่านั้นจะยังความโทมนัสของเรานี้ให้พินาศไป ไม่มีผู้อื่น แล้วก็พานางเทพอัปสรห้าร้อยที่เหลือเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า | ||
| บรรทัด 406: | บรรทัด 400: | ||
| อนึ่ง ข้ออุปมาว่าด้วยพ่อค้าผ้ากัมพลสีเหลืองอันมีค่าแสน นำมาเปรียบฉันใด ในข้อนี้ก็ควรนำข้ออุปมาว่าด้วยพ่อค้าทองชมพูนุทสีสุก แก้วมณีกรองน้ำให้ใส แก้วมุกดาที่บริสุทธิ์ ผ้าขนสัตว์ และแก้วประพาฬเป็นต้น เอามาเปรียบฉันนั้น. | อนึ่ง ข้ออุปมาว่าด้วยพ่อค้าผ้ากัมพลสีเหลืองอันมีค่าแสน นำมาเปรียบฉันใด ในข้อนี้ก็ควรนำข้ออุปมาว่าด้วยพ่อค้าทองชมพูนุทสีสุก แก้วมณีกรองน้ำให้ใส แก้วมุกดาที่บริสุทธิ์ ผ้าขนสัตว์ และแก้วประพาฬเป็นต้น เอามาเปรียบฉันนั้น. | ||
| - | ====สติปัฏฐาน 4==== | + | =สติปัฏฐาน 4= |
| คำว่า ยทิทํ เป็นศัพท์นิบาต. ศัพท์นิบาตนั้นมีความดังนี้ว่า เหล่านี้ใด (เย อิเม). | คำว่า ยทิทํ เป็นศัพท์นิบาต. ศัพท์นิบาตนั้นมีความดังนี้ว่า เหล่านี้ใด (เย อิเม). | ||
| บรรทัด 496: | บรรทัด 490: | ||
| บัณฑิตพึงทราบว่า ที่ท่านกล่าวว่า สติปัฏฐานมีอันเดียวเท่านั้น ก็ด้วยอำนาจความระลึกได้ อย่างหนึ่ง ด้วยอานุภาพประชุมลงสู่ความเป็นอันเดียวกันหนึ่ง ที่กล่าวว่ามี 4 ก็โดยจัดตามอารมณ์ ดังกล่าวมาฉะนี้. | บัณฑิตพึงทราบว่า ที่ท่านกล่าวว่า สติปัฏฐานมีอันเดียวเท่านั้น ก็ด้วยอำนาจความระลึกได้ อย่างหนึ่ง ด้วยอานุภาพประชุมลงสู่ความเป็นอันเดียวกันหนึ่ง ที่กล่าวว่ามี 4 ก็โดยจัดตามอารมณ์ ดังกล่าวมาฉะนี้. | ||
| - | =====อรรถกถาบทบริกรรมกายานุปัสสนา===== | + | =อรรถกถาบทบริกรรมกายานุปัสสนา= |
| คำว่า มี 4 เป็นอย่างไร เป็นคำถามด้วยหมายจะตอบ (ถามเองตอบเอง). | คำว่า มี 4 เป็นอย่างไร เป็นคำถามด้วยหมายจะตอบ (ถามเองตอบเอง). | ||
| บรรทัด 636: | บรรทัด 630: | ||
| ตรัสผลแห่งภาวนาด้วยการกำจัดซึ่งอภิชฌาและโทมนัสฉะนี้. | ตรัสผลแห่งภาวนาด้วยการกำจัดซึ่งอภิชฌาและโทมนัสฉะนี้. | ||
| - | =====คำอธิอบายจากอภิ.วิภังค์===== | + | ==คำอธิบายจากอภิ.วิภังค์== |
| ส่วนในอภิธรรมปิฎก วิภังคปกรณ์ กล่าวความของบทเหล่านั้นไว้อย่างนี้ว่า | ส่วนในอภิธรรมปิฎก วิภังคปกรณ์ กล่าวความของบทเหล่านั้นไว้อย่างนี้ว่า | ||
| บรรทัด 662: | บรรทัด 656: | ||
| พรรณนาความแห่งอุทเทสที่ว่าด้วยกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีเพียงเท่านี้ก่อน. | พรรณนาความแห่งอุทเทสที่ว่าด้วยกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีเพียงเท่านี้ก่อน. | ||
| - | =====อรรถกถาบทบริกรรมเวทนาจิตตธัมมานุปัสสนา===== | + | ==อรรถกถาบทบริกรรมเวทนาจิตตธัมมานุปัสสนา== |
| บรรทัด 710: | บรรทัด 704: | ||
| =อ.คำอธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน= | =อ.คำอธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน= | ||
| - | ==อ.กายานุปัสสนาสติปัฏฐานนิทเทส''' | + | ==อ.กายานุปัสสนาสติปัฏฐานนิทเทส== |
| ===อ.อานาปานบรรพ=== | ===อ.อานาปานบรรพ=== | ||
| บรรทัด 1053: | บรรทัด 1047: | ||
| - | ==อ.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนิทเทส''' | + | ==อ.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนิทเทส== |
| พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 14 วิธีอย่างนี้แล้ว | พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 14 วิธีอย่างนี้แล้ว | ||
| บรรทัด 1131: | บรรทัด 1125: | ||
| - | ==อ.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานนิทเทส''' | + | ==อ.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานนิทเทส== |
| พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน 9 วิธี อย่างนี้แล้วบัดนี้ เพื่อจะตรัสจิตตานุปัสสนา 16 วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตตานุปัสสนาเป็นอย่างไรเล่า เป็นต้น. | พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน 9 วิธี อย่างนี้แล้วบัดนี้ เพื่อจะตรัสจิตตานุปัสสนา 16 วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตตานุปัสสนาเป็นอย่างไรเล่า เป็นต้น. | ||
| บรรทัด 1189: | บรรทัด 1183: | ||
| - | ==อ.ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานนิทเทส''' | + | ==อ.ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานนิทเทส== |
| พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน 16 วิธี อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสธัมมานุปัสสนา 5 วิธี จึงตรัสว่า | พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน 16 วิธี อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสธัมมานุปัสสนา 5 วิธี จึงตรัสว่า | ||