วิสุทธิมรรค_23_ปัญญาภาวนานิสังสนิทเทส

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

ลิงค์ไปยังการเปรียบเทียบนี้

การแก้ไขถัดไป
การแก้ไขก่อนหน้า
วิสุทธิมรรค_23_ปัญญาภาวนานิสังสนิทเทส [2021/01/02 13:14] – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1วิสุทธิมรรค_23_ปัญญาภาวนานิสังสนิทเทส [2023/06/23 23:54] (ฉบับปัจจุบัน) dhamma
บรรทัด 11: บรรทัด 11:
  
 อนึ่ง  ปัญหากรรมใด  ที่เรากล่าวไว้ว่า  "อะไร  เป็นอานิสงของปัญญา  (การทำวิปัสสนามรรคปัญญาให้เกิด)  (บัดนี้) เราจะกล่าวแก้ในปัญหากรรมนั้น (ต่อไป) อนึ่ง  ปัญหากรรมใด  ที่เรากล่าวไว้ว่า  "อะไร  เป็นอานิสงของปัญญา  (การทำวิปัสสนามรรคปัญญาให้เกิด)  (บัดนี้) เราจะกล่าวแก้ในปัญหากรรมนั้น (ต่อไป)
 +
 +=ปัญญาเกิดต่อเนื่องจะได้อานิสงส์ 4=
  
 ความจริง  ขึ้นชื่อว่า  ปัญญาภาวนา  (คือการทำวิปัสสนามรรคให้เกิด)  นี้  มี  อานิสงส์หลายร้อยอย่าง  การที่จะประกาศอานิสงส์ของปัญญาภาวนานั้นโดยพิสดารแม้ใช้เวลายาวนานก็ทำมิได้ง่าย  แต่พึงทราบอานิสงส์ของปัญญาภาวนานั้นโดยสังเขปไว้ดังนี้  คือ ความจริง  ขึ้นชื่อว่า  ปัญญาภาวนา  (คือการทำวิปัสสนามรรคให้เกิด)  นี้  มี  อานิสงส์หลายร้อยอย่าง  การที่จะประกาศอานิสงส์ของปัญญาภาวนานั้นโดยพิสดารแม้ใช้เวลายาวนานก็ทำมิได้ง่าย  แต่พึงทราบอานิสงส์ของปัญญาภาวนานั้นโดยสังเขปไว้ดังนี้  คือ
บรรทัด 22: บรรทัด 24:
 4.    อาหุเนยฺยภาวาทิสิทฺธิ        สำเร็จความเป็นอาหุไนยบุคคลเป็นต้น 4.    อาหุเนยฺยภาวาทิสิทฺธิ        สำเร็จความเป็นอาหุไนยบุคคลเป็นต้น
  
-'''[1.  นานากิเลสวิทฺธํสนํ – ทำลายกิเลสต่างๆ]'''+==[ทำลายกิเลสต่างๆ]==
  
 ในอานิสงส์ทั้งหลายนั้น  การทำลายกิเลสต่างๆ  ใดโดยความเป็นสักกายทิฏฐิเป็นต้น  ที่เรากล่าวมาแล้วตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณ  (ญาณกำหนดรู้นามรูป)  ข้อนี้พึงทราบว่า  เป็นอานิสงส์ของปัญญาภาวนาฝ่ายโลกิยะ  ทำลายกิเลสต่างๆ  ใดโดยความเป็นสังโยชน์เป็นต้นในขณะ  (บรรลุ)  พระอริยมรรค  ที่เรากล่าวมาแล้ว  ข้อนี้พึงทราบว่า  เป็นอานิสงส์ของปัญญาภาวนา  ฝ่ายโลกุตตระ ในอานิสงส์ทั้งหลายนั้น  การทำลายกิเลสต่างๆ  ใดโดยความเป็นสักกายทิฏฐิเป็นต้น  ที่เรากล่าวมาแล้วตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณ  (ญาณกำหนดรู้นามรูป)  ข้อนี้พึงทราบว่า  เป็นอานิสงส์ของปัญญาภาวนาฝ่ายโลกิยะ  ทำลายกิเลสต่างๆ  ใดโดยความเป็นสังโยชน์เป็นต้นในขณะ  (บรรลุ)  พระอริยมรรค  ที่เรากล่าวมาแล้ว  ข้อนี้พึงทราบว่า  เป็นอานิสงส์ของปัญญาภาวนา  ฝ่ายโลกุตตระ
บรรทัด 60: บรรทัด 62:
 ซึ่งเป็นอานิสงส์ที่เห็นประจักษ์ด้วยตนเองนี้ ซึ่งเป็นอานิสงส์ที่เห็นประจักษ์ด้วยตนเองนี้
  
-'''[2.  อริยผลรสานุภวํน-เสวยรสของพระอริยผล]'''+==[เสวยรสของพระอริยผล]==
  
 ข้อว่า  "เสวยรสของพระอริยผล"  หมายถึงว่า  และมิใช่แต่ทำลายกิเลสต่างๆอย่างเดียวเท่านั้น  แม้การเสวยรสของพระอริยผลก้เป็นอานิสงส์ของปัญญาภาวนาด้วยเช่นกัน  เพราะสามัญญผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้น  ท่านเรียกว่า  "พระอริยผล"  การเสวยรสของพระอริยผลนั้นมีอยู่โดย 2 อาการ  คือดำเนินไปในมรรควิถี  1 ดำเนินไปในทางผลสมาบัติ 1  ใน 2  อาการนั้น การดำเนินไปในมรรควิถีของพระอริยผลนั้น  ได้ชี้แจงไว้เรียบร้อยแล้ว  (ตอนว่าด้วยมรรคญาณข้างต้น) ข้อว่า  "เสวยรสของพระอริยผล"  หมายถึงว่า  และมิใช่แต่ทำลายกิเลสต่างๆอย่างเดียวเท่านั้น  แม้การเสวยรสของพระอริยผลก้เป็นอานิสงส์ของปัญญาภาวนาด้วยเช่นกัน  เพราะสามัญญผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้น  ท่านเรียกว่า  "พระอริยผล"  การเสวยรสของพระอริยผลนั้นมีอยู่โดย 2 อาการ  คือดำเนินไปในมรรควิถี  1 ดำเนินไปในทางผลสมาบัติ 1  ใน 2  อาการนั้น การดำเนินไปในมรรควิถีของพระอริยผลนั้น  ได้ชี้แจงไว้เรียบร้อยแล้ว  (ตอนว่าด้วยมรรคญาณข้างต้น)
บรรทัด 72: บรรทัด 74:
 อีกทั้งมีคำพระบาลีว่าอย่างนี้  คือ  ธรรมเหล่านี้  คืออริยมรรค4  และสามัญญผล 4.....เป็นธรรมมีอารมณ์หาประมาณมิได้" (และ)  "มหัคคตธรรม  (เนวสัญญนาสัญญายตนะ)  เป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัยแก่ธรรมหาประมาณมิได้"  ดังนี้  เป็นต้น  เป็นคำสาธกในเรื่องนี้   อีกทั้งมีคำพระบาลีว่าอย่างนี้  คือ  ธรรมเหล่านี้  คืออริยมรรค4  และสามัญญผล 4.....เป็นธรรมมีอารมณ์หาประมาณมิได้" (และ)  "มหัคคตธรรม  (เนวสัญญนาสัญญายตนะ)  เป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัยแก่ธรรมหาประมาณมิได้"  ดังนี้  เป็นต้น  เป็นคำสาธกในเรื่องนี้  
  
-'''[ผลสมาบัติ]'''+===[ผลสมาบัติ]===
  
 อนึ่ง  เพื่อแสดงความเป็นไปในผลสมาบัติของพระอริยผลนั้น  มีปัญหากรรม (คือการทำคำถาม)  อยู่ (5ข้อ)  ดังนี้  คือ อนึ่ง  เพื่อแสดงความเป็นไปในผลสมาบัติของพระอริยผลนั้น  มีปัญหากรรม (คือการทำคำถาม)  อยู่ (5ข้อ)  ดังนี้  คือ
บรรทัด 166: บรรทัด 168:
 <sub><fs smaller>''(หน้าที่  450)''</fs></sub> <sub><fs smaller>''(หน้าที่  450)''</fs></sub>
  
-'''[3.  นิโรธสมาปตฺติสมาปชฺชนสมตฺถตา-''' +==[สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้]==
- +
-'''สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้]'''+
  
 ข้อว่า  "สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้"  หมายถึงว่า  มีเพียงแต่เสวยรสของพระอริยผลอย่างเดียวเท่านั้น  แต่พึงทราบว่าแม้ความสามารถในการเข้านิโรธสมาบัติก็เป็นอานิสงส์  ของปัญญาภาวนานี้ด้วย ข้อว่า  "สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้"  หมายถึงว่า  มีเพียงแต่เสวยรสของพระอริยผลอย่างเดียวเท่านั้น  แต่พึงทราบว่าแม้ความสามารถในการเข้านิโรธสมาบัติก็เป็นอานิสงส์  ของปัญญาภาวนานี้ด้วย
บรรทัด 269: บรรทัด 269:
  
 <sub><fs smaller>''(หน้าที่  456)''</fs></sub> <sub><fs smaller>''(หน้าที่  456)''</fs></sub>
 +
 +===อธิบายการเข้านิโรธสมาบัติ===
  
 '''เข้านิโรธสมาบัตินั้นได้  นี้คือความสังเขป  ในการเข้านิโรธสมาบัตินี้ ด้วยประการฉะนี้  ส่วนความพิสดารมีดังต่อไปนี้ ''' '''เข้านิโรธสมาบัตินั้นได้  นี้คือความสังเขป  ในการเข้านิโรธสมาบัตินี้ ด้วยประการฉะนี้  ส่วนความพิสดารมีดังต่อไปนี้ '''
บรรทัด 286: บรรทัด 288:
 ในวิปัสสนา 3  อย่างนั้น  วิปัสสนากำหนดรู้สังขาร  เป็นอย่างอ่อนหรืออย่างแก่ก็ตาม  เป็นปทัฏฐาน  (ทางบรรลุ)  แห่งมรรคด้วยเช่นกัน  วิปัสสนาของผลสมาบัติ  ต้องเป็นอย่างแก่จริงๆ  เช่นเดียวกับมรรคภาวนาจึงใช้ได้  แต่วิปัสสนาของนิโรธสมาบัติ  ต้องไม่อ่อนเกินไป  ไม่แก่เกินไป  จึงใช้ได้ ในวิปัสสนา 3  อย่างนั้น  วิปัสสนากำหนดรู้สังขาร  เป็นอย่างอ่อนหรืออย่างแก่ก็ตาม  เป็นปทัฏฐาน  (ทางบรรลุ)  แห่งมรรคด้วยเช่นกัน  วิปัสสนาของผลสมาบัติ  ต้องเป็นอย่างแก่จริงๆ  เช่นเดียวกับมรรคภาวนาจึงใช้ได้  แต่วิปัสสนาของนิโรธสมาบัติ  ต้องไม่อ่อนเกินไป  ไม่แก่เกินไป  จึงใช้ได้
  
-เพราะฉะนั้น  พระภิกษุนี้จึงกำหนดเห็นสังขารทั้งหลายเหล่านั้นด้วยวิปัสสนา  ซึ่งไม่อ่อนเกินไป  ไม่แก่เกินไป  จากนั้นกเข้าทุติยญาณ  ครั้นออกแล้ว  กำหนดเห็นด้วยวิปัสสนาซึ่งสังขารทั้งหลาย  ในทุติยญาณนั้น  เหมือน  (เมื่อออกจากปฐมฌาน)  อย่างนั้นแหละ  จากนั้นก็เข้าวิปัสสนา  ซึ่งสังขารทั้งหลาย  ในวิญญาณนัญจายตนะเหมือนอย่างนั้นแหละ+เพราะฉะนั้น  พระภิกษุนี้จึงกำหนดเห็นสังขารทั้งหลายเหล่านั้นด้วยวิปัสสนา  ซึ่งไม่อ่อนเกินไป  ไม่แก่เกินไป  จากนั้นกเข้าทุติยญาณ  ครั้นออกแล้ว  กำหนดเห็นด้วยวิปัสสนาซึ่งสังขารทั้งหลาย  ในทุติยญาณนั้น  เหมือน  (เมื่อออกจากปฐมฌาน)  อย่างนั้นแหละ  จากนั้นก็เข้าวิปัสสนา  ซึ่งสังขารทั้งหลาย  ในวิญญาณนัญจายตนะเหมือนอย่างนั้นแหละ
  
 '''[บุพพกิจ 4  ในการเข้านิโรธสมาบัติ]''' '''[บุพพกิจ 4  ในการเข้านิโรธสมาบัติ]'''
บรรทัด 388: บรรทัด 390:
 ปัญญาในอริยมรรคทั้งหลาย ฉะนี้แล ปัญญาในอริยมรรคทั้งหลาย ฉะนี้แล
  
-'''[4.  อาหุเนยฺยภาวาทิสิทฺธิ-''' +==สำเร็จความเป็นอาหุเยบุคคลเป็นต้น==
- +
-'''สำเร็จความเป็นอาหนยบุคคลเป็นต้น]'''+
  
-ข้อว่า  "สำเร็จความเป็นอาหุนยบุคคลเป็นต้น"  หมายความว่า และมิใช่แต่เป็นผู้สามารถในการเข้านอโรธสมาบัติได้เพียงเท่านั้น  แต่ว่าแม้ความสำเร็จในความเป็นอาหุไนยบุคคลเป็นต้นนี้ก็พึงทราบว่าเป็นอานิสงส์ของโลกุตตรปัญญาภาวนานี้ด้วย  ความจริง  บุคคลผู้ทำปัญญาให้เกิดแล้ว  เพราะเหตุที่ตนเองทำโลกุตตรปัญญาแม้ทั้ง 4  อย่างนี้ให้เกิด  จึงเป็น+ข้อว่า  "สำเร็จความเป็นอาหุยบุคคลเป็นต้น"  หมายความว่า และมิใช่แต่เป็นผู้สามารถในการเข้านอโรธสมาบัติได้เพียงเท่านั้น  แต่ว่าแม้ความสำเร็จในความเป็นอาหุไนยบุคคลเป็นต้นนี้ก็พึงทราบว่าเป็นอานิสงส์ของโลกุตตรปัญญาภาวนานี้ด้วย  ความจริง  บุคคลผู้ทำปัญญาให้เกิดแล้ว  เพราะเหตุที่ตนเองทำโลกุตตรปัญญาแม้ทั้ง 4  อย่างนี้ให้เกิด  จึงเป็น
  
 <sub><fs smaller>''(หน้าที่  463)''</fs></sub> <sub><fs smaller>''(หน้าที่  463)''</fs></sub>