การแก้ไขถัดไป | การแก้ไขก่อนหน้า |
วิสุทธิมรรค_21_ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส [2020/06/27 09:27] – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 | วิสุทธิมรรค_21_ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส [2021/01/02 13:14] (ฉบับปัจจุบัน) – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 |
---|
{{wst>วสธมฉปส head| }} | {{template:วสธมฉปส head| }} |
{{wst>วสธมฉปส sidebar}} | {{template:ฉบับปรับสำนวน head|}} |
| |
| =อุปักกิเลสวิมุตตอุทยัพพยญาณกถา= |
| |
'''ปริจเฉทที่ 21 ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส''' | '''ปริจเฉทที่ 21 ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส''' |
| |
'''แสดงบรรยายความบริสุทธิ์ของความรู้และความเห็นในทางปฏิบัติถูก''' | '''แสดงบรรยายความบริสุทธิ์ของความรู้และความเห็นในทางปฏิบัติถูก''' |
| |
| '''[4. (ข) พลวอุทยพยญาณ หรือ อุทยพยญาณอย่างแก่]''' |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 332)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 332)''</fs></sub> |
แต่ทว่า วิปัสสนาที่บรรลุถึงยอดด้วยญาณ 8 และสัจจานุโลมิกญาณ อันดับที่ (9) นี้ เรียกชื่อว่า ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์ของความรู้และความเห็นในทางปฏิบัติถูก และในคำว่า "ญาณ 8" นี้ พึงทราบไว้ว่า หมายถึงญาณ 8 เหล่านี้คือ | แต่ทว่า วิปัสสนาที่บรรลุถึงยอดด้วยญาณ 8 และสัจจานุโลมิกญาณ อันดับที่ (9) นี้ เรียกชื่อว่า ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์ของความรู้และความเห็นในทางปฏิบัติถูก และในคำว่า "ญาณ 8" นี้ พึงทราบไว้ว่า หมายถึงญาณ 8 เหล่านี้คือ |
| |
4. อุทยพยานุปัสสนาญาณ (อย่างแก่) ซึ่งเรียกว่า วิปัสสนาที่พ้นจาก อุปกิ | 4. อุทยพยานุปัสสนาญาณ (อย่างแก่) ซึ่งเรียกว่า วิปัสสนาที่พ้นจาก อุปกิเลสดำเนินไปตามวิถี (ของวิปัสสนา) (1) |
| |
เลสดำเนินไปตามวิถี (ของวิปัสสนา) (1) | |
| |
5. ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการเห็นเนือง ๆ ซึ่งความดับ(2) | 5. ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการเห็นเนือง ๆ ซึ่งความดับ(2) |
6. ภยตุปัฏฐานญาณ ญาณกำหนดรู้โดยปรากฏเป็นของน่ากลัว (3) | 6. ภยตุปัฏฐานญาณ ญาณกำหนดรู้โดยปรากฏเป็นของน่ากลัว (3) |
| |
7. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการเห็นเนือง ๆ ซึ่งโทษชั่ว | 7. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการเห็นเนือง ๆ ซึ่งโทษชั่วร้าย (4) |
| |
ร้าย (4) | 8. นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการเห็นเนือง ๆ ด้วยความเบื่อหน่าย (5) |
| |
8. นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการเห็นเนือง ๆ ด้วยความ | |
| |
เบื่อหน่าย (5) | |
| |
9. มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยความปรารถนาจะพ้นไป (6) | 9. มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยความปรารถนาจะพ้นไป (6) |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 333)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 333)''</fs></sub> |
| |
10. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการเห็นเนือง ๆ โดยพิจาร | 10. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการเห็นเนือง ๆ โดยพิจารณาทบทวน (7) |
| |
ณาทบทวน (7) | |
| |
11. สังขารุเปกขาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการวางเฉยในสังขาร (8) | 11. สังขารุเปกขาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการวางเฉยในสังขาร (8) |
| |
'''คำว่า "สัจจานุโมลิกญาณ อันดับที่ (9)" นั้นเป็นคำเรียก อนุโลมญาณ เพราะฉะนั้นโยคาวจรผู้ปรารถนาบรรลุอนุโลมญาณนั้น จะต้องกระทำโยคะในญาณทั้งหลายดังกล่าวนี้ตั้งแต่ อุทยพยญาณ (อย่างแก่) ซึ่งพ้นแล้วจากอุปกิเลส เป็นต้นไป''' | '''คำว่า "สัจจานุโมลิกญาณ อันดับที่ (9)" นั้นเป็นคำเรียก อนุโลมญาณ เพราะฉะนั้นโยคาวจรผู้ปรารถนาบรรลุอนุโลมญาณนั้น จะต้องกระทำโยคะในญาณทั้งหลายดังกล่าวนี้ตั้งแต่ อุทยพยญาณ (อย่างแก่) ซึ่งพ้นแล้วจากอุปกิเลส เป็นต้นไป''' |
| |
[4. (ข) พลวอุทยพยญาณ หรือ อุทยพยญาณอย่างแก่] | |
| |
หากมีคำถามว่า กระทำโยคะในอุทยพยญาณต่อไปอีก มีประโยชน์อะไร ? | หากมีคำถามว่า กระทำโยคะในอุทยพยญาณต่อไปอีก มีประโยชน์อะไร ? |
'''ในวิภาคนั้น''' | '''ในวิภาคนั้น''' |
| |
1. ขันธ์ 5 ชื่อว่า อนิจจะ (ถาม) เพราะเหตุไร ? (ตอบ) เพราะเกิดขึ้น | 1. ขันธ์ 5 ชื่อว่า อนิจจะ (ถาม) เพราะเหตุไร ? (ตอบ) เพราะเกิดขึ้น ดับไป และมีความเป็นอย่างอื่น หรือว่า เพราะมีแล้วหามีไม่ (ได้แก่ เพราะเกิดแล้วดับไป) |
| |
ดับไปและมีความเป็นอย่างอื่น หรือว่า เพราะมีแล้วหามีไม่ (ได้แก่ | 2. ความเกิดขึ้น ดับไป และความเป็นอย่างอื่น เป็น อนิจจลักษณะ หรือว่าอาการและพิการ กล่าวคือ ความมีแล้วหามีไม่ (เกิดแล้วดับไป) เป็นอนิจจลักษณะ |
| |
เพราะเกิดแล้วดับไป) | 3. แต่ขันธ์ 5 นั้นนั่นแลเป็น ทุกขะ เพราะมีพระพุทธดำรัสอยู่ว่า "ยทนิจฺจํ ตํทุกฺขํ - สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์" เพราะเหตุไร ? เพราะเบียดเบียนเฉพาะหน้าเนือง ๆ |
| |
2. ความเกิดขึ้น ดับไป และความเป็นอย่างอื่น เป็น อนิจจลักษณะ หรือว่า | |
| |
อาการและพิการ กล่าวคือ ความมีแล้วหามีไม่ (เกิดแล้วดับไป) เป็น | |
| |
อนิจจลักษณะ | |
| |
3. แต่ขันธ์ 5 นั้นนั่นแลเป็น ทุกขะ เพราะมีพระพุทธดำรัสอยู่ว่า "ยทนิจฺ | |
| |
จํ ตํทุกฺขํ - สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์" เพราะเหตุไร ? เพราะเบียด | |
| |
เบียนเฉพาะหน้าเนือง ๆ | |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 335)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 335)''</fs></sub> |
| |
'''20. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส''' | |
| |
4. อาการเบียดเบียนเฉพาะหน้าเนือง ๆ เป็น ทุกขลักษณะ | 4. อาการเบียดเบียนเฉพาะหน้าเนือง ๆ เป็น ทุกขลักษณะ |
| |
5. และขันธ์ 5 นั้นนั่นเอง ชื่อว่าเป็น อนัตตา เพราะมีพระพุทธดำรัสอยู่ | 5. และขันธ์ 5 นั้นนั่นเอง ชื่อว่าเป็น อนัตตา เพราะมีพระพุทธดำรัสอยู่ว่า "ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา - สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา" เพราะเหตุไร ? เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ |
| |
ว่า "ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา - สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา" เพราะ | |
| |
เหตุไร ? เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ | |
| |
6. อาการไม่เป็นไปในอำนาจ เป็น อนัตตลักษณะ | 6. อาการไม่เป็นไปในอำนาจ เป็น อนัตตลักษณะ |
โยคาวจรนี้กำหนดรู้วิภาคนี้นั้นอยู่แม้ทั้งหมด ด้วย อุทยพยญาณ (อย่างแก่) ที่ท่านเรียกว่า วิปัสสนาซึ่งพ้นไปแล้วจากอุปกิเลส ดำเนินไปตามวิถี โดยหน้าที่ของตนตามเป็นจริง | โยคาวจรนี้กำหนดรู้วิภาคนี้นั้นอยู่แม้ทั้งหมด ด้วย อุทยพยญาณ (อย่างแก่) ที่ท่านเรียกว่า วิปัสสนาซึ่งพ้นไปแล้วจากอุปกิเลส ดำเนินไปตามวิถี โดยหน้าที่ของตนตามเป็นจริง |
| |
'''จบ อุทยพยานุปัสสนาญาณ''' | '''จบ อุปักกิเลสวิมุตตอุทยัพพยญาณกถา''' |
| |
'''[5. ภังคานุปัสสนาญาณ]''' | =ภังคานุปัสสนาญาณกถา= |
| |
เมื่อโยคาวจรนั้นกำหนดรู้อย่างนี้แล้วชั่งใจ ไตร่ตรองรูปธรรมและอรูปธรรม (รูปและนาม) ทั้งหลายว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อยู่แล้ว ๆ เล่า ๆ ญาณนั้นกำดำเนินไปแก่กล้า สังขารทั้งหลายก็ปรากฏรวดเร็ว เมื่อญาณดำเนินไปแก่กล้า เมื่อสังขารทั้งหลายปรากฏรวดเร็ว ญาณก็ตามไม่ทันความเกิดขึ้น หรือความตั้งอยู่ หรือความเป็นไป หรือนิมิต (ของสังขารทั้งหลาย) สติ (คือญาณ) ก็ตั้งมั่นอยู่ในนิโรธคือความสิ้นไป ความเสื่อมไปและความแตกทำลายไปแต่อย่างเดียว | เมื่อโยคาวจรนั้นกำหนดรู้อย่างนี้แล้วชั่งใจ ไตร่ตรองรูปธรรมและอรูปธรรม (รูปและนาม) ทั้งหลายว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อยู่แล้ว ๆ เล่า ๆ ญาณนั้นกำดำเนินไปแก่กล้า สังขารทั้งหลายก็ปรากฏรวดเร็ว เมื่อญาณดำเนินไปแก่กล้า เมื่อสังขารทั้งหลายปรากฏรวดเร็ว ญาณก็ตามไม่ทันความเกิดขึ้น หรือความตั้งอยู่ หรือความเป็นไป หรือนิมิต (ของสังขารทั้งหลาย) สติ (คือญาณ) ก็ตั้งมั่นอยู่ในนิโรธคือความสิ้นไป ความเสื่อมไปและความแตกทำลายไปแต่อย่างเดียว |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 343)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 343)''</fs></sub> |
| |
'''[6. ภยตุปัฏฐานญาณ]''' | =ภยตุปัฏฐานญาณกถา= |
| |
เมื่อโยคีนั้น เสพอยู่เนือง ๆ ทำให้เกิดขึ้น ทำให้มาก ๆ ซึ่งภังคานุปัสสนา มีนิโรธ คือความสิ้นไป ความเสื่อมไป และความแตกดับของสังขารทั้งปวงเป็นอารมณ์อยู่อย่างนี้ สังขารทั้งหลายซึ่งมีความแตกดับ (บรรดามีอยู่) ในภพ (3) กำเนิด (4) คติ (5) วิญญาณฐิติ (7) สัตตาวาส (9) ทุกหนทุกแห่ง ก็ปรากฏเป็นที่น่ากลัวมาก เช่นเดียวกับสีหะ พยัคฆะ เสือเหลือง หมี เสือดาว ยักษ์ รากษส โคดุ สุนัขดุ ช้างดุตกมัน อสรพิษร้าย สายฟ้า ป่าช้า สนามรบ และหลุมถ่านเพลิงที่ลุกโชติช่วงเป็นต้น ปรากฏเป็นที่น่ากลัวมากแก่บุรุษขลาด ผู้ปรากรถนาดำรงชีวิตอยู่โดยสุขสบาย เมื่อโยคีนั้นเห็นอยู่ว่า "สังขารทั้งหลายที่เป็นอดีตก็ดับไปแล้ว ที่เป็นปัจจุบันก็กำลังดับอยู่ ถึงแม้สังขารทั้งหลายที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคต ก็จะดับไป" ดังนี้ ณ ที่ตรงนี้ ญาณชื่อว่า ภยตุปัฏฐานญาณ บังเกิดขึ้น | เมื่อโยคีนั้น เสพอยู่เนือง ๆ ทำให้เกิดขึ้น ทำให้มาก ๆ ซึ่งภังคานุปัสสนา มีนิโรธ คือความสิ้นไป ความเสื่อมไป และความแตกดับของสังขารทั้งปวงเป็นอารมณ์อยู่อย่างนี้ สังขารทั้งหลายซึ่งมีความแตกดับ (บรรดามีอยู่) ในภพ (3) กำเนิด (4) คติ (5) วิญญาณฐิติ (7) สัตตาวาส (9) ทุกหนทุกแห่ง ก็ปรากฏเป็นที่น่ากลัวมาก เช่นเดียวกับสีหะ พยัคฆะ เสือเหลือง หมี เสือดาว ยักษ์ รากษส โคดุ สุนัขดุ ช้างดุตกมัน อสรพิษร้าย สายฟ้า ป่าช้า สนามรบ และหลุมถ่านเพลิงที่ลุกโชติช่วงเป็นต้น ปรากฏเป็นที่น่ากลัวมากแก่บุรุษขลาด ผู้ปรากรถนาดำรงชีวิตอยู่โดยสุขสบาย เมื่อโยคีนั้นเห็นอยู่ว่า "สังขารทั้งหลายที่เป็นอดีตก็ดับไปแล้ว ที่เป็นปัจจุบันก็กำลังดับอยู่ ถึงแม้สังขารทั้งหลายที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคต ก็จะดับไป" ดังนี้ ณ ที่ตรงนี้ ญาณชื่อว่า ภยตุปัฏฐานญาณ บังเกิดขึ้น |
'''จบ ภยตุปัฏฐานญาณ''' | '''จบ ภยตุปัฏฐานญาณ''' |
| |
'''[7. อาทีนวานุปัสสนาญาณ]''' | =อาทีนวานุปัสสนาญาณกถา= |
| |
เมื่อโยคีนั้น เสพอยู่เนือง ๆ ทำให้เกิดอยู่ ทำให้มาก ๆ อยู่ ซึ่งภยตุปัฏฐานญาณนั้นก็ปรากฏว่า ในภพ (3) กำเนิด (4) คติ (5) ฐิติ (7) สัตตาวาส (9) ทั่วทุกหนทุกแห่ง | เมื่อโยคีนั้น เสพอยู่เนือง ๆ ทำให้เกิดอยู่ ทำให้มาก ๆ อยู่ ซึ่งภยตุปัฏฐานญาณนั้นก็ปรากฏว่า ในภพ (3) กำเนิด (4) คติ (5) ฐิติ (7) สัตตาวาส (9) ทั่วทุกหนทุกแห่ง |
'''เป็นวัตถุ คำว่า "ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในญาณ 2" ความว่า ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในญาณ 2 เหล่านี้ คือ อาทีนวญาณ 1 และ สันติปทญาณ 1 คำว่า "ไม่หวั่นไหวในทิฏฐิต่าง ๆ" ความว่า ไม่ส่ายไปส่ายมาในทิฏฐิทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปด้วยความเห็นผิดว่า พระนิพพานเป็นบรมทิฏฐธรรม เป็นต้น คำที่ยังเหลืออยู่ในพระบาลีนี้ เป็นคำมีความหมายง่าย ๆ ทั้งนั้นแหละ''' | '''เป็นวัตถุ คำว่า "ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในญาณ 2" ความว่า ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในญาณ 2 เหล่านี้ คือ อาทีนวญาณ 1 และ สันติปทญาณ 1 คำว่า "ไม่หวั่นไหวในทิฏฐิต่าง ๆ" ความว่า ไม่ส่ายไปส่ายมาในทิฏฐิทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปด้วยความเห็นผิดว่า พระนิพพานเป็นบรมทิฏฐธรรม เป็นต้น คำที่ยังเหลืออยู่ในพระบาลีนี้ เป็นคำมีความหมายง่าย ๆ ทั้งนั้นแหละ''' |
| |
'''จบ อาทีนวานุปัสสนาญาณ''' | '''จบ อาทีนวานุปัสสนาญาณกถา''' |
| |
'''[8. นิพพิทานุปัสสนาญาณ]''' | =นิพพิทานุปัสสนาญาณกถา= |
| |
เมื่อโยคีนั้นเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นโทษอยู่อย่างนี้ ก็เบื่อหน่าย เอือมระอา ไม่อภิรมย์ในสังขารอันมีการแตกดับ ซึ่งดำเนินอยู่ในภพ (3) กำเนิด (4) คติ (5) วิญญาณฐิติ (7) สัตตาวาส (9) ทั่วทุกหนทุกแห่ง เปรียบเหมือนพญาหงส์ทอง ผู้อภิรมย์ยินดีอยู่ ณ เชิงภูเขาจิตรกูฏ ไม่อภิรมย์ยินดีในบ่อน้ำสกปรกใกล้ประตูบ้านคนจัณฑาล อภิรมย์ยินดีอยู่แต่ในสระใหญ่ทั้ง 7 (ในป่าหิมพานต์) เท่านั้น ชื่อแม้ฉันใด พญาหงส์ คือโยคีแม้นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่อภิรมย์ยินดีในสังขารซึ่งมีแต่การแตกดับ มีโทษร้าย ซึ่งตนได้กำหนดเห็นมาอย่างดีแล้ว แต่ทว่า ยินดีอยู่ในอนุปัสสนาทั้งหลาย 7 เท่านั้น เพราะเป็นผู้ประกอบแล้วด้วยความเป็นผู้มีภาวนาเป็นที่ยินดี (และ) ด้วยความยินดีในภาวนา อนึ่ง เปรียบเหมือนสีหะมฤคราชที่ถูกเขาขังไว้แม้ในกรงทอง ก็ไม่อภิรมย์ยินดี แต่ทว่า ยินดีพอใจอยู่แต่ในป่าหิมพานต์กว้าง 3,000 โยชน์เท่านั้น ฉันใด สีหะมฤคราช คือโยคีนี้ ก็ฉันนั้น ไม่อภิรมย์ยินดีแม้ในสุคติภพทั้ง 3 อย่าง แต่ทว่ายินดีอยู่แต่ในอนุปัสสนา 3 เท่านั้น อนึ่ง เปรียบเหมือนพญาช้างฉัททันต์ เผือกทั่วสรรพางค์ มีอวัยวะ 7 จรดถึงพื้น มีฤทธิ์ เหาะไปได้ในเวหาสก็ไม่อภิรมย์ยินดีอยู่ในท่ามกลางพระนคร อภิรมย์ยินดีอยู่แต่ในป่าชัฏริมสระฉัททันต์ ในป่าหิมพานต์เท่านั้น ฉันใด พญาช้างตัวประเสริฐคือโยคีผู้นี้ ก็ฉันนั้น ไม่อภิรมย์ยินดีในสังขารแม้ทั้งปวง อภิรมย์ยินดีอยู่แต่ในพระนิพพาน อันเป็นสันติบทที่ตนเห็นแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า "ความไม่เกิดขึ้นเป็นแดนเกษม" เป็นผู้มีใจน้อมไปในพระนิพพานนั้น | เมื่อโยคีนั้นเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นโทษอยู่อย่างนี้ ก็เบื่อหน่าย เอือมระอา ไม่อภิรมย์ในสังขารอันมีการแตกดับ ซึ่งดำเนินอยู่ในภพ (3) กำเนิด (4) คติ (5) วิญญาณฐิติ (7) สัตตาวาส (9) ทั่วทุกหนทุกแห่ง เปรียบเหมือนพญาหงส์ทอง ผู้อภิรมย์ยินดีอยู่ ณ เชิงภูเขาจิตรกูฏ ไม่อภิรมย์ยินดีในบ่อน้ำสกปรกใกล้ประตูบ้านคนจัณฑาล อภิรมย์ยินดีอยู่แต่ในสระใหญ่ทั้ง 7 (ในป่าหิมพานต์) เท่านั้น ชื่อแม้ฉันใด พญาหงส์ คือโยคีแม้นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่อภิรมย์ยินดีในสังขารซึ่งมีแต่การแตกดับ มีโทษร้าย ซึ่งตนได้กำหนดเห็นมาอย่างดีแล้ว แต่ทว่า ยินดีอยู่ในอนุปัสสนาทั้งหลาย 7 เท่านั้น เพราะเป็นผู้ประกอบแล้วด้วยความเป็นผู้มีภาวนาเป็นที่ยินดี (และ) ด้วยความยินดีในภาวนา อนึ่ง เปรียบเหมือนสีหะมฤคราชที่ถูกเขาขังไว้แม้ในกรงทอง ก็ไม่อภิรมย์ยินดี แต่ทว่า ยินดีพอใจอยู่แต่ในป่าหิมพานต์กว้าง 3,000 โยชน์เท่านั้น ฉันใด สีหะมฤคราช คือโยคีนี้ ก็ฉันนั้น ไม่อภิรมย์ยินดีแม้ในสุคติภพทั้ง 3 อย่าง แต่ทว่ายินดีอยู่แต่ในอนุปัสสนา 3 เท่านั้น อนึ่ง เปรียบเหมือนพญาช้างฉัททันต์ เผือกทั่วสรรพางค์ มีอวัยวะ 7 จรดถึงพื้น มีฤทธิ์ เหาะไปได้ในเวหาสก็ไม่อภิรมย์ยินดีอยู่ในท่ามกลางพระนคร อภิรมย์ยินดีอยู่แต่ในป่าชัฏริมสระฉัททันต์ ในป่าหิมพานต์เท่านั้น ฉันใด พญาช้างตัวประเสริฐคือโยคีผู้นี้ ก็ฉันนั้น ไม่อภิรมย์ยินดีในสังขารแม้ทั้งปวง อภิรมย์ยินดีอยู่แต่ในพระนิพพาน อันเป็นสันติบทที่ตนเห็นแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า "ความไม่เกิดขึ้นเป็นแดนเกษม" เป็นผู้มีใจน้อมไปในพระนิพพานนั้น |
อนึ่ง นิพพิทาญาณนี้นั้น โดยความหมายก็เป็นญาณเดียวกันกับ 2 ญาณข้างต้น (คือ ภยตุปัฎฐานญาณและอาทีนวญาณ) เพราะเหตุนั้น ท่านพระโบราณจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า "ภยตุปัฎฐานญาณเดียวนั่นแล ได้ชื่อ 3 ชื่อ คือ ชื่อว่าภยตุปัฎฐาน เพราะเห็นสังขารทั้งปวงโดยความน่ากลัว 1 ชื่อว่าอาทีนวานุปัสสนา เพราะให้เกิด (ความเห็น) โทษร้ายขึ้นในสังขารทั้งหลายเหล่านั้นนั่นเอง 1 ชื่อว่านิพพิทานุปัสสนา เพราะบังเกิดเบื่อหน่าย ขึ้นแล้วในสังขารทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแล 1" แม้ในพระบาลี ท่านก็กล่าวไว้ว่า "ปัญญาใด ในภยตุปัฎฐาน 1 ญาณใดในอาทีนวะ 1 นิพพิทาใด 1 ธรรมทั้งหลายเหล่านี้มีความหมายอย่างเดียวกัน พยัญชนะเท่านั้นที่ต่างกัน" | อนึ่ง นิพพิทาญาณนี้นั้น โดยความหมายก็เป็นญาณเดียวกันกับ 2 ญาณข้างต้น (คือ ภยตุปัฎฐานญาณและอาทีนวญาณ) เพราะเหตุนั้น ท่านพระโบราณจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า "ภยตุปัฎฐานญาณเดียวนั่นแล ได้ชื่อ 3 ชื่อ คือ ชื่อว่าภยตุปัฎฐาน เพราะเห็นสังขารทั้งปวงโดยความน่ากลัว 1 ชื่อว่าอาทีนวานุปัสสนา เพราะให้เกิด (ความเห็น) โทษร้ายขึ้นในสังขารทั้งหลายเหล่านั้นนั่นเอง 1 ชื่อว่านิพพิทานุปัสสนา เพราะบังเกิดเบื่อหน่าย ขึ้นแล้วในสังขารทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแล 1" แม้ในพระบาลี ท่านก็กล่าวไว้ว่า "ปัญญาใด ในภยตุปัฎฐาน 1 ญาณใดในอาทีนวะ 1 นิพพิทาใด 1 ธรรมทั้งหลายเหล่านี้มีความหมายอย่างเดียวกัน พยัญชนะเท่านั้นที่ต่างกัน" |
| |
'''จบ นิพพิทานุปัสสนาญาณ''' | '''จบ นิพพิทานุปัสสนาญาณกถา''' |
| |
'''(9. มุญจิตุกัมยตาญาณ)''' | =มุญจิตุกัมยตาญาณกถา= |
| |
แต่เมื่อกุลบุตรผู้นี้ เบื่อหน่ายอยู่ เอือมระอาอยู่ ไม่ภิรมย์ยินดีอยู่ด้วยนิพพิทาญาณนี้ จิตก็ไม่ข้อง ไม่เกาะ ไม่ติดอยู่ ในสังขารทั้งหลาย ซึ่งมีความแตกดับ ที่ดำเนินไปอยู่ในภพ (3) กำเนิด (4) วิญญาณฐิติ (7) และ สัตตาวาส (9) ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่สังขารเดียวเป็นจิตที่ใคร่จะพ้นไป ปรารถนาจะออกไปเสียจากสังขารทั้งปวง | แต่เมื่อกุลบุตรผู้นี้ เบื่อหน่ายอยู่ เอือมระอาอยู่ ไม่ภิรมย์ยินดีอยู่ด้วยนิพพิทาญาณนี้ จิตก็ไม่ข้อง ไม่เกาะ ไม่ติดอยู่ ในสังขารทั้งหลาย ซึ่งมีความแตกดับ ที่ดำเนินไปอยู่ในภพ (3) กำเนิด (4) วิญญาณฐิติ (7) และ สัตตาวาส (9) ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่สังขารเดียวเป็นจิตที่ใคร่จะพ้นไป ปรารถนาจะออกไปเสียจากสังขารทั้งปวง |
'''เป็นผู้มีความปรารถนาจะพ้นไป มีความมุ่งมั่นจะออกไปเสียจากที่นั้น ๆ ชื่อฉันใด จิตของโยคีผู้นั้น ก็ฉันนั้น เป็นจิตปรารถนาจะพ้นไป ประสงค์จะออกไปเสียจากสังขารทั้งปวง ทันใดนั้น ครั้นโยคีท่านนั้น ผู้ปราศจากความอาลัยในสังขารทั้งปวงแล้ว ผู้ปรารถนาจะพ้นไปจากสังขารทั้งปวงอยู่อย่างนี้ มุญจิตุกัมยตาญาณก็บังเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้''' | '''เป็นผู้มีความปรารถนาจะพ้นไป มีความมุ่งมั่นจะออกไปเสียจากที่นั้น ๆ ชื่อฉันใด จิตของโยคีผู้นั้น ก็ฉันนั้น เป็นจิตปรารถนาจะพ้นไป ประสงค์จะออกไปเสียจากสังขารทั้งปวง ทันใดนั้น ครั้นโยคีท่านนั้น ผู้ปราศจากความอาลัยในสังขารทั้งปวงแล้ว ผู้ปรารถนาจะพ้นไปจากสังขารทั้งปวงอยู่อย่างนี้ มุญจิตุกัมยตาญาณก็บังเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้''' |
| |
'''จบ มุญจิตุกัมยตาญาณ''' | '''จบ มุญจิตุกัมยตาญาณกถา''' |
| |
'''(10. ปฎิสังขานุปัสสนาญาณ)''' | =ปฎิสังขานุปัสสนาญาณกถา= |
| |
โยคีผู้นั้น เป็นผู้มีความปรารถนาเพื่อจะพ้นไปเสียจากสังขารทั้งหลาย ซึ่งมีแต่ความแตกดับ อันดำเนินไปอยู่ในภพ ในกำเนิด ในคติ ในฐิติ และในนิวาส ทุกหนทุกแห่งดังกล่าวนั้น จึงยกเอาสังขารทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแหละขึ้นสู่พระไตรลักณ์แล้วกำหนดรู้ด้วยปฎิสังขานุปัสสนาญาณต่อไปอีก เพื่อพ้นไปเสียจากสังขารทั้งปวง | โยคีผู้นั้น เป็นผู้มีความปรารถนาเพื่อจะพ้นไปเสียจากสังขารทั้งหลาย ซึ่งมีแต่ความแตกดับ อันดำเนินไปอยู่ในภพ ในกำเนิด ในคติ ในฐิติ และในนิวาส ทุกหนทุกแห่งดังกล่าวนั้น จึงยกเอาสังขารทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแหละขึ้นสู่พระไตรลักณ์แล้วกำหนดรู้ด้วยปฎิสังขานุปัสสนาญาณต่อไปอีก เพื่อพ้นไปเสียจากสังขารทั้งปวง |
และคำว่า "กำหนดรู้ทบทวนซึ่งนิมิต" ในบาลีนั้น หมายความว่า รู้นิมิตคือสังขารโดยอนิจจลักษณะว่า "ไม่ยั่งยืนเป็นไปชั่วคราว" ก็และเป็นความจริงว่า รู้ก่อนแล้ว ญาณบังเกิดขึ้นภายหลัง ถึงกระนั้น ท่านก็กล่าวอย่างนั้น ถึงกระนั้น ท่านก็กล่าวอย่างนั้น ด้วยโวหาร ดุจดังคำว่า "อาศัยใจและธรรมารมณ์ มโนวิญญาณบังเกิดขึ้น" ดังนี้เป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้แล้วอย่างนั้น เพราะทำคำหน้า (ปฏิสังขา = รู้ทบทวน) และคำหลัง (อุปฺปชฺชติ = บังเกิดขึ้น) เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดย เอกัตตนัย ถึงแม้ในอีก 2 บท ก็พึงทราบความหมายโดยนัยนี้ด้วยประการฉะนี้ | และคำว่า "กำหนดรู้ทบทวนซึ่งนิมิต" ในบาลีนั้น หมายความว่า รู้นิมิตคือสังขารโดยอนิจจลักษณะว่า "ไม่ยั่งยืนเป็นไปชั่วคราว" ก็และเป็นความจริงว่า รู้ก่อนแล้ว ญาณบังเกิดขึ้นภายหลัง ถึงกระนั้น ท่านก็กล่าวอย่างนั้น ถึงกระนั้น ท่านก็กล่าวอย่างนั้น ด้วยโวหาร ดุจดังคำว่า "อาศัยใจและธรรมารมณ์ มโนวิญญาณบังเกิดขึ้น" ดังนี้เป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้แล้วอย่างนั้น เพราะทำคำหน้า (ปฏิสังขา = รู้ทบทวน) และคำหลัง (อุปฺปชฺชติ = บังเกิดขึ้น) เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดย เอกัตตนัย ถึงแม้ในอีก 2 บท ก็พึงทราบความหมายโดยนัยนี้ด้วยประการฉะนี้ |
| |
'''จบ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ''' | '''จบ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณกถา''' |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 358)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 358)''</fs></sub> |
| |
'''[ 11. สังขารุเปกขาญาณ]''' | =สังขารุเปกขาญาณกถา= |
| |
'''[ สุญญตานุปัสสนา การเห็นเนืองๆ โดยความว่างเปล่ามีเงื่อน 2]''' | '''[ สุญญตานุปัสสนา การเห็นเนืองๆ โดยความว่างเปล่ามีเงื่อน 2]''' |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 371)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 371)''</fs></sub> |
| |
'''คือปัญญา หรือดำเนินตามไปด้วยธรรม (คือปัญญา) เพราะเหตุนี้ ท่านผู้นั้นชื่อว่า ธัมมานุสารี เช่นกัน ท่านผู้ใดพ้นพิเศษแล้วโดยส่วนทั้งสอง คือ ด้วยอรูปฌานและด้วยอริยมรรค เพราะเหตุนี้ ท่านผู้นั้นชื่อว่า อุภโตภาควิมุต ท่านผู้ใดกำหนดรู้อยู่ เป็นผู้พ้นพิเศษแล้ว เพราะเหตุนี้ท่านผู้นั้นชื่อว่า ปัญญาวิมุต ด้วยประการดังกล่าวมาฉะนี้''' | คือปัญญา หรือดำเนินตามไปด้วยธรรม (คือปัญญา) เพราะเหตุนี้ ท่านผู้นั้นชื่อว่า ธัมมานุสารี เช่นกัน ท่านผู้ใดพ้นพิเศษแล้วโดยส่วนทั้งสอง คือ ด้วยอรูปฌานและด้วยอริยมรรค เพราะเหตุนี้ ท่านผู้นั้นชื่อว่า อุภโตภาควิมุต ท่านผู้ใดกำหนดรู้อยู่ เป็นผู้พ้นพิเศษแล้ว เพราะเหตุนี้ท่านผู้นั้นชื่อว่า ปัญญาวิมุต ด้วยประการดังกล่าวมาฉะนี้ |
| |
'''ว่าด้วยสังขารุเปกขาญาณ''' | '''ว่าด้วยสังขารุเปกขาญาณ''' |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 372)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 372)''</fs></sub> |
| |
'''ด้วยนิพพิทาญาณในตอนต้น ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็มีความปรารถนาที่จะสลัดทิ้งซึ่งความเกิดขึ้น (ของสังขารทั้งหลาย) เป็นต้น ชื่อว่า มุญจิตุกัมยตา การพิจารณาทบทวนในตอนกลาง เพื่อทำอุบายแห่งการพ้นไป (จากสังขารทั้งหลาย) ชื่อว่า ปฏิสังขา การพ้นไป แล้ววางเฉยอยู่ ในตอนสุดท้าย ชื่อว่า สันติฏฐนา ซึ่งท่านระบุถึงแล้วกล่าวไว้ว่า "ความเกิดขึ้น เป็นสังขาร พระภิกษุวางเฉยซึ่งสังขารทั้งหลายเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า สังขารุเปกขา" ดังนี้ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ญาณนี้จึงเป็นญาณเดียวเท่านั้น อีกประการหนึ่ง พึงทราบแม้โดยพระบาลีนี้ไว้ด้วยว่า ญาณนี้ เป็นญาณเดียวเท่านั้น ที่จริงท่านก็กล่าวไว้แล้วดังนี้ว่า "ความปรารถนาเพื่อพ้นไป 1 การเห็นเนืองๆ ด้วยการพิจารณาทบทวน 1 และการวางเฉยในสังขาร 1 ธรรม (คือญาณ) ทั้งหลายเหล่านี้มีความหมายอย่างเดียวกัน พยัญชนะเท่านั้นที่ต่างกัน"''' | ด้วยนิพพิทาญาณในตอนต้น ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็มีความปรารถนาที่จะสลัดทิ้งซึ่งความเกิดขึ้น (ของสังขารทั้งหลาย) เป็นต้น ชื่อว่า มุญจิตุกัมยตา การพิจารณาทบทวนในตอนกลาง เพื่อทำอุบายแห่งการพ้นไป (จากสังขารทั้งหลาย) ชื่อว่า ปฏิสังขา การพ้นไป แล้ววางเฉยอยู่ ในตอนสุดท้าย ชื่อว่า สันติฏฐนา ซึ่งท่านระบุถึงแล้วกล่าวไว้ว่า "ความเกิดขึ้น เป็นสังขาร พระภิกษุวางเฉยซึ่งสังขารทั้งหลายเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า สังขารุเปกขา" ดังนี้ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ญาณนี้จึงเป็นญาณเดียวเท่านั้น อีกประการหนึ่ง พึงทราบแม้โดยพระบาลีนี้ไว้ด้วยว่า ญาณนี้ เป็นญาณเดียวเท่านั้น ที่จริงท่านก็กล่าวไว้แล้วดังนี้ว่า "ความปรารถนาเพื่อพ้นไป 1 การเห็นเนืองๆ ด้วยการพิจารณาทบทวน 1 และการวางเฉยในสังขาร 1 ธรรม (คือญาณ) ทั้งหลายเหล่านี้มีความหมายอย่างเดียวกัน พยัญชนะเท่านั้นที่ต่างกัน" |
| |
'''[วุฏฐานคามินีวิปัสสนา]''' | '''[วุฏฐานคามินีวิปัสสนา]''' |
สังขารุเปกขาญาณนี้กำหนดความแตกต่างของวิโมกข์ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ด้วยประการฉะนี้ | สังขารุเปกขาญาณนี้กำหนดความแตกต่างของวิโมกข์ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ด้วยประการฉะนี้ |
| |
'''จบ สังขารุเปกขาญาณ''' | '''จบ สังขารุเปกขาญาณกถา''' |
| |
'''[12. อนุโลมญาณ]''' | '''[12. อนุโลมญาณ]''' |
ก็และ อนุโลมญาณ นี้ เป็นญาณสุดท้ายของวุฏฐานคามินีวิปัสสนา ซึ่งมีสังขารเป็นอารมณ์ แต่ทว่า โคตรภูญาณ เป็นปริโยสานของวุฏฐานคามินีวิปัสสนาทั้งหมด โดยประการทั้งปวง | ก็และ อนุโลมญาณ นี้ เป็นญาณสุดท้ายของวุฏฐานคามินีวิปัสสนา ซึ่งมีสังขารเป็นอารมณ์ แต่ทว่า โคตรภูญาณ เป็นปริโยสานของวุฏฐานคามินีวิปัสสนาทั้งหมด โดยประการทั้งปวง |
| |
'''จบ อนุโลมญาณ''' | '''จบ อนุโลมญาณกถา''' |
| |
'''[วุฏฐานคามินีวิปัสสนา ในชื่ออื่น]''' | =วุฏฐานคามินีวิปัสสนากถา= |
| |
เพื่อไม่หลงสับสนใน วุฏฐานคามินีวิปัสสนา (ที่กล่าวมา) นั้นนั่นแล ณ บัดนี้ ควรทราบการเปรียบเทียบทางพระสูตรไว้ ดังต่อไปนี้ | เพื่อไม่หลงสับสนใน วุฏฐานคามินีวิปัสสนา (ที่กล่าวมา) นั้นนั่นแล ณ บัดนี้ ควรทราบการเปรียบเทียบทางพระสูตรไว้ ดังต่อไปนี้ |