การแก้ไขก่อนหน้าทั้งสองฝั่ง การแก้ไขก่อนหน้า การแก้ไขถัดไป | การแก้ไขก่อนหน้า |
วิสุทธิมรรค_20_มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส [2020/08/06 06:20] – dhamma | วิสุทธิมรรค_20_มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส [2021/01/02 13:14] (ฉบับปัจจุบัน) – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 |
---|
{{wst>วสธมฉปส head| }} | {{template:วสธมฉปส head| }} |
{{wst>วสธมฉปส sidebar}} | {{template:ฉบับปรับสำนวน head|}} |
| |
== ปริจเฉทที่ 20 มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส== | '''ปริจเฉทที่ 20 มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส''' |
| |
'''แสดงบรรยายความบริสุทธิ์ของความรู้และความเห็นว่า''' | '''แสดงบรรยายความบริสุทธิ์ของความรู้และความเห็นว่า เป็นทางปฏิบัติที่ถูกและไม่ถูก''' |
| |
'''เป็นทางปฏิบัติที่ถูกและไม่ถูก''' | =สัมมสนญาณกถา= |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 268)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 268)''</fs></sub> |
| |
อนึ่ง ญาณซึ่งรู้ทางถูกและทางไม่ถูกอย่างนี้ว่า "นี้เป็นทาง นี้มิใช่ทาง" ดังนี้ ชื่อว่า มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์ของความรู้และความเห็นว่าเป็นทางปฏิบัติที่ถูและไม่ถูก | อนึ่ง ญาณซึ่งรู้ทางถูกและทางไม่ถูกอย่างนี้ว่า "นี้เป็นทาง นี้มิใช่ทาง" ดังนี้ ชื่อว่า มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์ของความรู้และความเห็นว่า เป็นทางปฏิบัติที่ถูและไม่ถูก |
| |
'''(3. กลาปสัมมสนญาณ)''' | |
| |
โยคีผู้ปรารถนาเพื่อบรรลุมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ์นั้น เริ่มแรกควรทำโยคะ (คือการบำเพ็ญความเพียร) ในนยวิปัสสนา ที่เรียกว่า กลาป[สัมมสนะ] (คือ การกำหนดพิจารณาธรรมเป็นหมวดเป็นกอง) ก่อน (ถามว่า) เพราะเหตุไร ? (ตอบว่า) เพราะเมื่อพระธรรมมีโอภาส (แสงสว่าง) เป็นต้นเกิดขึ้นแก่โยคีผู้แรกเริ่มปฏิบัติวิปัสสนา มัคคามัคคญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็นว่าเป็นทางปฏิบัติที่ถูกและไม่ถูก) จึงเกิดขึ้น ความจริง เมื่อธรรมทั้งหลายมีโอภาสเป็นต้นเกิดขึ้น ท่านโยคีผู้แรกเริ่มปฏิบัติวิปัสสนา ก็มีมัคคามัคคญาณอยู่ด้วย ด้วยว่า กลาปสัมมสนะ (ญาณ) เป็นญาณเริ่มต้นของวิปัสสนา เพราะฉะนั้น ท่านจึงยกกลาปสัมมสน (ญาณ) นี้ขึ้นแสดงไว้ในลำดับของกังขาวิตรณ (วิสุทธิ) | โยคีผู้ปรารถนาเพื่อบรรลุมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ์นั้น เริ่มแรกควรทำโยคะ (คือการบำเพ็ญความเพียร) ในนยวิปัสสนา ที่เรียกว่า กลาป[สัมมสนะ] (คือ การกำหนดพิจารณาธรรมเป็นหมวดเป็นกอง) ก่อน (ถามว่า) เพราะเหตุไร ? (ตอบว่า) เพราะเมื่อพระธรรมมีโอภาส (แสงสว่าง) เป็นต้นเกิดขึ้นแก่โยคีผู้แรกเริ่มปฏิบัติวิปัสสนา มัคคามัคคญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็นว่าเป็นทางปฏิบัติที่ถูกและไม่ถูก) จึงเกิดขึ้น ความจริง เมื่อธรรมทั้งหลายมีโอภาสเป็นต้นเกิดขึ้น ท่านโยคีผู้แรกเริ่มปฏิบัติวิปัสสนา ก็มีมัคคามัคคญาณอยู่ด้วย ด้วยว่า กลาปสัมมสนะ (ญาณ) เป็นญาณเริ่มต้นของวิปัสสนา เพราะฉะนั้น ท่านจึงยกกลาปสัมมสน (ญาณ) นี้ขึ้นแสดงไว้ในลำดับของกังขาวิตรณ (วิสุทธิ) |
นัยในขันธ์ทั้งหลายอื่นมีเวทนาเป็นต้น ก็เช่นเดียวกันนี้ | นัยในขันธ์ทั้งหลายอื่นมีเวทนาเป็นต้น ก็เช่นเดียวกันนี้ |
| |
'''[กำหนดรู้ขันธ์ 5 โดยอาการ 40] ''' | ==อนุปัสสนาขันธ์ 5 โดยอาการ 40== |
| |
เพื่อมุ่งหมายให้การกำหนดรู้ (คือสัมมสนญาณ) โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีอัตตา ในขันธ์ 5 (ตามที่กล่าวมา) นั้นนั่นแล มีความมั่นคง โยคาวจรนั้นจึงกำหนดรู้ขันธ์ 5 ทั้งหลายเหล่านี้ด้วยการกำหนดรู้โดยความไม่เที่ยงเป็นต้นแม้นั้น โดยประเภท ซึ่งกล่าวไว้ในวิภังค์แห่งพระบาลีนี้ (แปความ) ว่า "พระภิกษุได้เฉพาะซึ่งขันติ (ญาณ) อันเป็นอนุโลม โดยอาการ 40 อย่างไรบ้าง ? (พระภิกษุ) ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม โดยอาการ 40 อย่างไรบ้าง" ดังนี้ | เพื่อมุ่งหมายให้การกำหนดรู้ (คือสัมมสนญาณ) โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีอัตตา ในขันธ์ 5 (ตามที่กล่าวมา) นั้นนั่นแล มีความมั่นคง โยคาวจรนั้นจึงกำหนดรู้ขันธ์ 5 ทั้งหลายเหล่านี้ด้วยการกำหนดรู้โดยความไม่เที่ยงเป็นต้นแม้นั้น โดยประเภท ซึ่งกล่าวไว้ในวิภังค์แห่งพระบาลีนี้ (แปความ) ว่า "พระภิกษุได้เฉพาะซึ่งขันติ (ญาณ) อันเป็นอนุโลม โดยอาการ 40 อย่างไรบ้าง ? (พระภิกษุ) ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม โดยอาการ 40 อย่างไรบ้าง" ดังนี้ |
เมื่อเห็นขันธ์ 5 โดยความไม่เที่ยง ก็ได้เฉพาะซึ่งขันติ (ญาณ) อันเป็นอนุโลม (แก่การบรรลุอริยมรรค) เมื่อเห็นว่า "ความดับของขันธ์ 5 เป็นพระนิพานเที่ยงแท้ ก็ก้าวลงสู่ สัมมัตตนิยาม (คือ อริยมรรค)" ดังนี้ | เมื่อเห็นขันธ์ 5 โดยความไม่เที่ยง ก็ได้เฉพาะซึ่งขันติ (ญาณ) อันเป็นอนุโลม (แก่การบรรลุอริยมรรค) เมื่อเห็นว่า "ความดับของขันธ์ 5 เป็นพระนิพานเที่ยงแท้ ก็ก้าวลงสู่ สัมมัตตนิยาม (คือ อริยมรรค)" ดังนี้ |
| |
'''[อธิบายความอาการ 40]''' | '''อธิบายความอาการ 40''' |
| |
โยคีผู้นั้นกำหนดรู้ขันธ์ 5 เหล่านี้อย่างไร ? | โยคีผู้นั้นกำหนดรู้ขันธ์ 5 เหล่านี้อย่างไร ? |
1. โดยไม่เที่ยง เพราะไม่เป็นไปเลยที่สุด และเพราะมีต้นมีปลาย | 1. โดยไม่เที่ยง เพราะไม่เป็นไปเลยที่สุด และเพราะมีต้นมีปลาย |
| |
2. โดยเป็นทุกข์ เพราะบีบคั้นเฉพาะหน้าด้วยความเกิดและความดับและเพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ | 2. โดยเป็นทุกข์ เพราะบีบคั้นเฉพาะหน้าด้วยความเกิดและความดับ และเพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ |
| |
3. โดยเป็นโรค เพราะต้องเยียวยาด้วยปัจจัยและเพราะเป็นที่เกิดของโรค | 3. โดยเป็นโรค เพราะต้องเยียวยาด้วยปัจจัยและเพราะเป็นที่เกิดของโรค |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 281)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 281)''</fs></sub> |
| |
'''6. โดยความชั่วร้าย เพราะเป็นสิ่งควรตำหนิติเตียน เพราะนำมาซึ่ง''' | 6. โดยความชั่วร้าย เพราะเป็นสิ่งควรตำหนิติเตียน เพราะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย และเพราะเป็นที่ตั้งของความชั่วร้าย |
| |
ความเสื่อมเสีย และเพราะเป็นที่ตั้งของความชั่ว | 7. โดยความป่วยไข้ เพราะไม่ทำให้เกิดเสรีภาพ และเพราะเป็นปทัฏฐาน ของความเจ็บป่วย |
| |
ร้าย | 8. โดยเป็นปรปักษ์ เพราะไม่มีอำนาจ (บังคับบัญชา) และเพราะบังคับบัญชาไม่ได้ |
| |
'''7. โดยความป่วยไข้ เพราะไม่ทำให้เกิดเสรีภาพ และเพราะเป็นปทัฏ''' | 9. โดยแตกทำลาย เพราะแตกทำลายไปด้วยพยาธิ ชราและมรณะ |
| |
ฐาน ของความเจ็บป่วย | 10. โดยความหายนะ เพราะนำมาซึ่งความพินาศมากมาย |
| |
'''8. โดยเป็นปรปักษ์ เพราะไม่มีอำนาจ (บังคับบัญชา) และเพราะบัง''' | 11. โดยเป็นอุปัทวะ เพราะนำมาซึ่งสิ่งไม่เป็นประโยชน์ที่รู้ไม่ได้เลยอย่างมากมายและเพราะเป็นที่ตั้งของอุปัทวันตรายทั้งปวงด้วย |
| |
คับบัญชาไม่ได้ | 12. โดยเป็นภัย เพราะเป็นที่เกิดของภัยทุกประการ และเพราะเป็น ปฏิปักษ์ต่อความอบอุ่นใจอย่างสูงสุด กล่าวคือ ความระงับทุกข์ |
| |
'''9. โดยแตกทำลาย เพราะแตกทำลายไปด้วยพยาธิ ชราและมรณะ''' | 13. โดยเป็นอุปสรรค เพราะติดตามมาด้วยสิ่งไม่เป็นประโยชน์หลายประการ เพราะประกอบด้วยโทษและเพราะไม่นำมาซึ่งความอดกลั้น คล้ายเป็นอุปสรรค |
| |
'''10. โดยความหายนะ เพราะนำมาซึ่งความพินาศมากมาย''' | 14. โดยความหวั่นไหว เพราะหวั่นไหวด้วยพยาธิ ชราและมรณะกับทั้งหวั่นไหวด้วยโลกธรรมทั้งหลาย มีความมีลาภและ ความเสื่อมลาภเป็นต้น |
| |
'''11. โดยเป็นอุปัทวะ เพราะนำมาซึ่งสิ่งไม่เป็นประโยชน์ที่รู้ไม่ได้''' | 15. โดยผุพัง เพราะมีปกติเข้าถึงความผุพังไป ด้วยความพยายามและโดยสภาพของมันเอง |
| |
เลยอย่างมากมายและเพราะเป็นที่ตั้งของอุปัท | 16. โดยไม่ยั่งยืน เพราะมีปกติร่วงหล่นไปในที่ตั้งทุกแห่ง และเพราะไม่มีความมั่นคง |
| |
วันตรายทั้งปวงด้วย | |
| |
'''12. โดยเป็นภัย เพราะเป็นที่เกิดของภัยทุกประการ และเพราะ''' | |
| |
เป็น ปฏิปักษ์ต่อความอบอุ่นใจอย่างสูงสุด | |
| |
กล่าวคือ ความระงับทุกข์ | |
| |
'''13. โดยเป็นอุปสรรค เพราะติดตามมาด้วยสิ่งไม่เป็นประโยชน์''' | |
| |
หลายประการ เพราะประกอบด้วยโทษ | |
| |
และเพราะไม่นำมาซึ่งความอดกลั้น คล้าย | |
| |
เป็นอุปสรรค | |
| |
'''14. โดยความหวั่นไหว เพราะหวั่นไหวด้วยพยาธิ ชราและมรณะ''' | |
| |
กับทั้งหวั่นไหวด้วยโลกธรรมทั้งหลาย มี | |
| |
ความมีลาภและ ความเสื่อมลาภเป็นต้น | |
| |
'''15. โดยผุพัง เพราะมีปกติเข้าถึงความผุพังไปด้วยความ''' | |
| |
พยายามและโดยสภาพของมันเอง | |
| |
'''16. โดยไม่ยั่งยืน เพราะมีปกติร่วงหล่นไปในที่ตั้งทุกแห่ง ''' | |
| |
และเพราะไม่มีความมั่นคง | |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 282)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 282)''</fs></sub> |
| |
'''17. โดยไม่เป็นที่ต้านทาน เพราะไม่เป็นที่ต่อต้านคุ้มครอง และเพราะ''' | 17. โดยไม่เป็นที่ต้านทาน เพราะไม่เป็นที่ต่อต้านคุ้มครอง และเพราะไม่ได้ความปลอดภัยที่ควรได้ |
| |
ไม่ได้ความปลอดภัยที่ควรได้ | 18. โดยไม่เป็นที่หลบลี้ เพราะไม่เป็นที่สมควรที่หลบลี้ กับทั้งเพราะผู้หลบลี้ทั้งหลายทำกิจในการหลบลี้ไม่ได้ |
| |
'''18. โดยไม่เป็นที่หลบลี้ เพราะไม่เป็นที่สมควรที่หลบลี้ กับทั้งเพราะ''' | 19. โดยไม่เป็นที่พึ่ง เพราะไม่มีความจำกัดภัยแก่ผู้อยู่อาศัย |
| |
ผู้หลบลี้ทั้งหลายทำกิจในการหลบลี้ไม่ได้ | 20. โดยเป็นของเปล่า เพราะว่างเปล่าจากความยั่งยืน ความงามความสุข และความมีอัตตา ตามกำหนดคาดคะเนไว้ |
| |
'''19. โดยไม่เป็นที่พึ่ง เพราะไม่มีความจำกัดภัยแก่ผู้อยู่อาศัย''' | 21. โดยเป็นของว่าง เพราะโดยเป็นของเปล่านั่นเอง หรือเพราะความเป็นของเล็กน้อย เพราะว่า แม้ของเล็กน้อยในโลก เขาเรียกกันว่า ของว่าง |
| |
'''20. โดยเป็นของเปล่า เพราะว่างเปล่าจากความยั่งยืน ความงาม''' | 22. โดยเป็นของสูญ เพราะปราศจาก (อัตตา) ผู้เป็นเจ้าของ ผู้อยู่ประจำ ผู้สร้าง ผู้เสวยและผู้บงการ |
| |
ความสุข และความมีอัตตา ตามกำหนด | 23. โดยไม่มีอัตตา เพราะไม่มีผู้เป็นเจ้าของด้วยตนเองเป็นต้น |
| |
คาดคะเนไว้ | 24. โดยเป็นโทษ เพราะเป็นทุกข์ด้วยความเป็นไป (ในภพคือสังสารวัฏ) และเพราะความทุกข์ (นั่นเอง) เป็นโทษ อีกประการหนึ่ง ชื่อว่าอาทีนวะ เพราะอรรถว่าผู้ไป ผู้ถึง ผู้เป็นไป สู่ความยากจน คำว่า "อาทีนวะ" นี้เป็นคำเรียกคนยากจน และแม้ว่าขันธ์ (5) ก็เป็นสิ่งยากจนเหมือนกัน เพราะเหตุนี้ (โยคีจึงกำหนดรู้) โดยความยากจน เพราะเป็นเช่นกับคนยากจน |
| |
'''21. โดยเป็นของว่าง เพราะโดยเป็นของเปล่านั่นเอง หรือเพราะ''' | 25. โดยมีความปรานแปรอยู่เป็นธรรมดา เพราะมีปกติแปรผันไป 2 ทาง คือ ด้วยชรา 1 และด้วยมรณะ 1 |
| |
ความเป็นของเล็กน้อย เพราะว่า แม้ของเล็ก | 26. โดยไม่มีสาระ เพราะมีความอ่อนแอ และเพราะหักง่ายเหมือนไม้ผุ |
| |
น้อยในโลก เขาเรียกกันว่า ของว่าง | |
| |
'''22. โดยเป็นของสูญ เพราะปราศจาก (อัตตา) ผู้เป็นเจ้าของ ผู้อยู่''' | |
| |
ประจำ ผู้สร้าง ผู้เสวยและผู้บงการ | |
| |
'''23. โดยไม่มีอัตตา เพราะไม่มีผู้เป็นเจ้าของด้วยตนเองเป็นต้น''' | |
| |
'''24. โดยเป็นโทษ เพราะเป็นทุกข์ด้วยความเป็นไป (ในภพคือ''' | |
| |
สังสารวัฏ) และเพราะความทุกข์ (นั่นเอง) | |
| |
เป็นโทษ อีกประการหนึ่ง ชื่อว่าอาทีนวะ | |
| |
เพราะอรรถว่าผู้ไป ผู้ถึง ผู้เป็นไป สู่ความยาก | |
| |
จน คำว่า "อาทีนวะ" นี้เป็นคำเรียกคนยากจน | |
| |
และแม้ว่าขันธ์ (5) ก็เป็นสิ่งยากจนเหมือนกัน เพราะเหตุนี้ (โยคีจึงกำหนดรู้) โดยความยาก | |
| |
จน เพราะเป็นเช่นกับคนยากจน | |
| |
'''25. โดยมีความปรานแปรอยู่เป็นธรรมดา''' | |
| |
เพราะมีปกติแปรผันไป 2 ทาง คือ ด้วยชรา | |
| |
1 และด้วยมรณะ 1 | |
| |
'''26. โดยไม่มีสาระ เพราะมีความอ่อนแอ และเพราะหักง่ายเหมือน''' | |
| |
ไม้ผุ | |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 283)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 283)''</fs></sub> |
| |
'''27. โดยเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้าย''' | 27. โดยเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้าย เพราะเป็นเหตุแห่งความชั่วร้าย |
| |
เพราะเป็นเหตุแห่งความชั่วร้าย | |
| |
'''28. โดยเป็นผู้ฆ่า (ฆาตกร) เพราะเป็นผู้ฆ่าความไว้วางใจเหมือนศัตรู''' | |
| |
ผู้มีหน้าเป็นมิตร | |
| |
'''29. โดยปราศจากความเจริญ เพราะปราศจากความเจริญ และเพราะให้เกิด''' | |
| |
ความไม่เจริญ | |
| |
'''30. โดยมีอาสวะ เพราะเป็นฐานไปสู่อาสวะ''' | |
| |
'''31. โดยเป็นของถูกปรุงแต่งไว้ เพราะเป็นสิ่งที่เหตุและปัจจัยปรุงแต่งขึ้น''' | |
| |
'''32. โดยเป็นเหยื่อล่อของมาร เพราะเป็นเหยื่อล่อของมัจจุมารและกิเลสมาร''' | |
| |
'''33–36. โดยมีความเกิด ความแก่ ความเจ็บป่วยและความตายเป็นธรรมดา''' | |
| |
เพราะมีความเกิด แก่ เจ็บป่วยและตายเป็น | |
| |
ปกติ | 28. โดยเป็นผู้ฆ่า (ฆาตกร) เพราะเป็นผู้ฆ่าความไว้วางใจเหมือนศัตรู ผู้มีหน้าเป็นมิตร |
| |
'''37–39. โดยมีความโศก ความคร่ำครวญ และความคับแค้นใจเป็นธรรมดา''' | 29. โดยปราศจากความเจริญ เพราะปราศจากความเจริญ และเพราะให้เกิดความไม่เจริญ |
| |
เพราะเป็นเหตุแห่งความโศกเศร้า ความ | 30. โดยมีอาสวะ เพราะเป็นฐานไปสู่อาสวะ |
| |
คร่ำครวญและความคับแค้นใจ | 31. โดยเป็นของถูกปรุงแต่งไว้ เพราะเป็นสิ่งที่เหตุและปัจจัยปรุงแต่งขึ้น |
| |
'''40. โดยมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา''' | 32. โดยเป็นเหยื่อล่อของมาร เพราะเป็นเหยื่อล่อของมัจจุมารและกิเลสมาร |
| |
เพราะเป็นธรรมที่เป็นที่วิสัย (หรืออารมณ์) | 33–36. โดยมีความเกิด ความแก่ ความเจ็บป่วยและความตายเป็นธรรมดา เพราะมีความเกิด แก่ เจ็บป่วยและตายเป็นปกติ |
| |
ของสังกิเลส คือ ตัณหา ทิฏฐิและทุจริตทั้ง | 37–39. โดยมีความโศก ความคร่ำครวญ และความคับแค้นใจเป็นธรรมดา เพราะเป็นเหตุแห่งความโศกเศร้า ความคร่ำครวญและความคับแค้นใจ |
| |
หลาย | 40. โดยมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา เพราะเป็นธรรมที่เป็นที่วิสัย (หรืออารมณ์) ของสังกิเลส คือ ตัณหา ทิฏฐิและทุจริตทั้งหลาย |
| |
'''[สงเคราะห์สัมมสนะ 40 ลงในอนุปัสสนา 3]''' | '''[สงเคราะห์สัมมสนะ 40 ลงในอนุปัสสนา 3]''' |
แท้จริง ในการกำหนดรู้ (คือสัมมสนะ) โดยอาการ 40 (ที่กล่าวมา) นี้ การกำหนดรู้โดยอาการ (10 ขยายต่อไปอีก) คือ | แท้จริง ในการกำหนดรู้ (คือสัมมสนะ) โดยอาการ 40 (ที่กล่าวมา) นี้ การกำหนดรู้โดยอาการ (10 ขยายต่อไปอีก) คือ |
| |
โดยความไม่เที่ยง | # โดยความไม่เที่ยง |
| |
โดยแตกทำลาย | # โดยแตกทำลาย |
| |
โดยความหวั่นไหว | # โดยความหวั่นไหว |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 284)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 284)''</fs></sub> |
| |
โดยผุพัง | # โดยผุพัง |
| |
โดยไม่ยั่งยืน | # โดยไม่ยั่งยืน |
| |
โดยความแปรผันไปเป็นธรรมดา | # โดยความแปรผันไปเป็นธรรมดา |
| |
โดยไม่มีสาระ | # โดยไม่มีสาระ |
| |
โดยปราศจากความเจริญ | # โดยปราศจากความเจริญ |
| |
โดยเป็นของถูกปรุงแต่งไว้ | # โดยเป็นของถูกปรุงแต่งไว้ |
| |
โดยมีความตายเป็นธรรมดา | # โดยมีความตายเป็นธรรมดา |
| |
'''ในขันธ์หนึ่ง ๆ (แต่ละขันธ์) ทำเป็นอาการละ 10 (รวมทั้ง 5 ขันธ์) เป็นอนิจจานุปัสสนา 50 การกำหนดรู้โดยอาการ (5 ต่อไปอีก) คือ''' | ในขันธ์หนึ่ง ๆ (แต่ละขันธ์) ทำเป็นอาการละ 10 (รวมทั้ง 5 ขันธ์) เป็นอนิจจานุปัสสนา 50 การกำหนดรู้โดยอาการ (5 ต่อไปอีก) คือ |
| |
โดยเป็นปรปักษ์ | # โดยเป็นปรปักษ์ |
| |
โดยเป็นของเปล่า | # โดยเป็นของเปล่า |
| |
โดยเป็นของว่าง | # โดยเป็นของว่าง |
| |
โดยเป็นของสูญ | # โดยเป็นของสูญ |
| |
โดยไม่มีอัตตา | # โดยไม่มีอัตตา |
| |
'''ในขันธ์หนึ่ง ๆ (แต่ละขันธ์) ทำเป็นอาการละ 5 (รวม 5 ขันธ์) เป็นอนัตตานุปัสสนา 25''' | ในขันธ์หนึ่ง ๆ (แต่ละขันธ์) ทำเป็นอาการละ 5 (รวม 5 ขันธ์) เป็นอนัตตานุปัสสนา 25 |
| |
การกำหนดรู้ที่เหลือ (อีก 25 อาการ) กล่าวคือ โดยเป็นทุกข์ โดยเป็นโร5 เป็นต้น ในขันธ์หนึ่งๆ (แต่ละขันธ์) ทำเป็นอาการละ 25 (รวม 5 ขันธ์) เป็นทุกขานุปัสสนา ย25 ด้วยประการฉะนี้ (รวมทั้ง 3 อนุปัสสนา เป็น 200 อาการ) | การกำหนดรู้ที่เหลือ (อีก 25 อาการ) กล่าวคือ โดยเป็นทุกข์ โดยเป็นโร5 เป็นต้น ในขันธ์หนึ่งๆ (แต่ละขันธ์) ทำเป็นอาการละ 25 (รวม 5 ขันธ์) เป็นทุกขานุปัสสนา ย25 ด้วยประการฉะนี้ (รวมทั้ง 3 อนุปัสสนา เป็น 200 อาการ) |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 285)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 285)''</fs></sub> |
| |
'''[ทำอินทรีย์ให้แก่กล้าด้วยอาการ 9]''' | ==ทำอินทรีย์ให้แก่กล้าด้วยอาการ 9== |
| |
แต่ทว่า โยคีผู้ใดเมื่อทำโยคะโดย นยวิปัสสนา ดังกล่าวมานั้น นยวิปัสสนา ไม่ถึงพร้อม (คืออุทยพยญาณยังไม่เกิด) โยคีผู้นั้นพึงทำอินทรีย์ (5 มีศรัทธาเป็นต้น) ให้แกกล้าด้วยอาการ 9 อย่าง ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า "อินทรีย์ทั้งหลาย (มีศรัทธาเป็นต้น) จะแก่กล้าด้วยอาการ 9 คือ | แต่ทว่า โยคีผู้ใดเมื่อทำโยคะโดย นยวิปัสสนา ดังกล่าวมานั้น นยวิปัสสนา ไม่ถึงพร้อม (คืออุทยพยญาณยังไม่เกิด) โยคีผู้นั้นพึงทำอินทรีย์ (5 มีศรัทธาเป็นต้น) ให้แกกล้าด้วยอาการ 9 อย่าง ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า "อินทรีย์ทั้งหลาย (มีศรัทธาเป็นต้น) จะแก่กล้าด้วยอาการ 9 คือ |
8. ในการไม่อาลัยในร่างกายและชีวิตนั้นโยคีจะทำให้เกิดวิปัสสนาภาวนาด้วยการข่มไว้ (ซึ่งทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นๆ) แล้วผ่านพ้น (ทุกขเวทนานั้นๆ)ออกไป | 8. ในการไม่อาลัยในร่างกายและชีวิตนั้นโยคีจะทำให้เกิดวิปัสสนาภาวนาด้วยการข่มไว้ (ซึ่งทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นๆ) แล้วผ่านพ้น (ทุกขเวทนานั้นๆ)ออกไป |
| |
9. และด้วยการไม่ละเลิก (หรือหยุดพัก) เสียในระหว่าง" | 9. และด้วยการไม่ละเลิก (หรือหยุดพัก) เสียในระหว่าง |
| |
'''แล้ว (โยคีนั้น) พึงหลีกเลี่ยงอาสัปปายะ (คือสิ่งไม่เป็นที่สบาย) 7 อย่าง ตามนัยที่กล่าวไว้แล้วใน ปฐวีกสิณนิทเทส (ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค) ทำสัมมสนะรูปในเวลาหนึ่ง ทำสัมมสนะอรูป ในเวลาหนึ่ง (คนละเวลา ไม่ควรกำหนดรู้ด้วยกันในเวลาเดียวกัน)''' | แล้ว (โยคีนั้น) พึงหลีกเลี่ยงอาสัปปายะ (คือสิ่งไม่เป็นที่สบาย) 7 อย่าง ตามนัยที่กล่าวไว้แล้วใน ปฐวีกสิณนิทเทส (ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค) ทำสัมมสนะรูปในเวลาหนึ่ง ทำสัมมสนะอรูป ในเวลาหนึ่ง (คนละเวลา ไม่ควรกำหนดรู้ด้วยกันในเวลาเดียวกัน) |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 286)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 286)''</fs></sub> |
| |
====วิธีเห็นนิพพัตติของรูป==== | ===วิธีเห็นนิพพัตติของรูป=== |
=====การณะ 4===== | '''การณะ 4''' |
| |
โยคีย่อม[[สัมมสนะ]][[รูป]]ว่า: รูปย่อม[[นิพพัตติ]]ด้วยการณะ(เหตุ) 4 มีกรรมเป็นต้น. ในเหตุ 4 อย่างนั้น รูปของสัตว์ทั้งปวงย่อมนิพพัตติด้วย[[กรรม]]ตั้งแต่'''จิตดวงที่ 1''' คือ: | โยคีย่อม[[สัมมสนะ]][[รูป]]ว่า: รูปย่อม[[นิพพัตติ]]ด้วยการณะ(เหตุ) 4 มีกรรมเป็นต้น. ในเหตุ 4 อย่างนั้น รูปของสัตว์ทั้งปวงย่อมนิพพัตติด้วย[[กรรม]]ตั้งแต่'''จิตดวงที่ 1''' คือ: |
อนึ่ง รูป 70 ที่เกิดพร้อมกันทั้ง 7 ทสกะของโอปปาติกะสัตว์ก็ดำเนินไปอย่างนั้นเช่นกัน. (ดู: [[วิสุทธิมรรค_ฉบับปรับสำนวน_ปริจเฉท_17_ปัญญาภูมินิทเทส#สังขารเป็นปัจจัยแห่งวิญญาณ|สังขารเป็นปัจจัยแห่งวิญญาณ]]) | อนึ่ง รูป 70 ที่เกิดพร้อมกันทั้ง 7 ทสกะของโอปปาติกะสัตว์ก็ดำเนินไปอย่างนั้นเช่นกัน. (ดู: [[วิสุทธิมรรค_ฉบับปรับสำนวน_ปริจเฉท_17_ปัญญาภูมินิทเทส#สังขารเป็นปัจจัยแห่งวิญญาณ|สังขารเป็นปัจจัยแห่งวิญญาณ]]) |
| |
'''[[การจำแนกเกิดจากกรรม]] ''' | '''[การจำแนกเกิดจากกรรม]''' |
| |
ในเรื่องรูปที่เป็นไปอาศัยกรรมนั้น โยคีต้องทำความเข้าใจการจำแนก คือ | ในเรื่องรูปที่เป็นไปอาศัยกรรมนั้น โยคีต้องทำความเข้าใจการจำแนก คือ |
พึงเห็นความเกิดขึ้นของรูปที่เกิดจากกรรมด้วยประการดังกล่าวนี้ก่อน | พึงเห็นความเกิดขึ้นของรูปที่เกิดจากกรรมด้วยประการดังกล่าวนี้ก่อน |
| |
'''[[การจำแนกรูปเกิดจากจิต]]''' | '''[การจำแนกรูปเกิดจากจิต]''' |
| |
แม้ในรูปเกิดจากจิตทั้งหลาย ก็พึงทราบวิภาคดังนี้ คือ | แม้ในรูปเกิดจากจิตทั้งหลาย ก็พึงทราบวิภาคดังนี้ คือ |
1. จิต 89 ดวง ชื่อว่า จิต (และ) ในจิตทั้งหลาย 89 ดวงนั้น (จำแนกไว้ดังนี้) | 1. จิต 89 ดวง ชื่อว่า จิต (และ) ในจิตทั้งหลาย 89 ดวงนั้น (จำแนกไว้ดังนี้) |
| |
ทวตตึส จิตตานิ ฉพพีเส –กูนวีสติ โสฬส | <blockquote>ทวตตึส จิตตานิ ฉพพีเส –กูนวีสติ โสฬส |
| |
รูปิริยาปถวิญญตติ - ชนกาชนกา มตา. | รูปิริยาปถวิญญตติ - ชนกาชนกา มตา. |
'''แปลความว่า''' | '''แปลความว่า''' |
| |
จิต 32 ดวง (พวกหนึ่ง) จิต 26 ดวง (พวกหนึ่ง) จิต | จิต 32 ดวง (พวกหนึ่ง) จิต 26 ดวง (พวกหนึ่ง) จิต 19 ดวง (พวกหนึ่ง) จิต 16 ดวง (พวกหนึ่ง) ปรากฏว่า เป็นจิตที่ทำรูป ทำอิริยาบถและทำวิญญัตติให้เกิดก็มีและ ไม่ทำให้เกิดก็มี</blockquote> |
| |
19 ดวง (พวกหนึ่ง) จิต 16 ดวง (พวกหนึ่ง) ปรากฏว่า เป็น | |
| |
จิตที่ทำรูป ทำอิริยาบถและทำวิญญัตติให้เกิดก็มีและ ไม่ทำให้ | |
| |
เกิดก็มี | |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 289)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 289)''</fs></sub> |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 290)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 290)''</fs></sub> |
| |
'''[[การจำแนกรูปเกิดจากอาหาร]]''' | '''[การจำแนกรูปเกิดจากอาหาร]''' |
| |
แม้ในรูปเกิดจากอาหารทั้งหลาย ก็พึงทราบวิภาคดังนี้ คือ | แม้ในรูปเกิดจากอาหารทั้งหลาย ก็พึงทราบวิภาคดังนี้ คือ |
พึงเห็นความเกิดขึ้นของรูปเกิดจากอาหารด้วยประการดังกล่าวนี้ | พึงเห็นความเกิดขึ้นของรูปเกิดจากอาหารด้วยประการดังกล่าวนี้ |
| |
'''[[การจำแนกรูปเกิดจากฤดู]]''' | '''[การจำแนกรูปเกิดจากฤดู]''' |
| |
แม้ในรูปเกิดจากฤดูทั้งหลาย ก็พึงทราบวิภาคดังนี้ คือ | แม้ในรูปเกิดจากฤดูทั้งหลาย ก็พึงทราบวิภาคดังนี้ คือ |
4. อุตุปัจจยอุตุสมุฏฐาน คือ รูปมีฤดูซึ่งมีฤดูเป็นปัจจัยเป็นสมุฏฐาน | 4. อุตุปัจจยอุตุสมุฏฐาน คือ รูปมีฤดูซึ่งมีฤดูเป็นปัจจัยเป็นสมุฏฐาน |
| |
5. อุตุปัจจยอาหารสมุฏฐาน คือ รูปมีอาหารซึ่งมีฤดูเป็นปัจจัยเป็นสมุฏฐาน | 5. อุตุปัจจยอาหารสมุฏฐาน คือ รูปมีอาหารซึ่งมีฤดูเป็นปัจจัยเป็นสมุฏฐานในวิภาคนั้น |
| |
ในวิภาคนั้น | |
| |
1. เตโชธาตุมีสมุฏฐาน 4 ชื่อว่า อุตุ – ฤดู แต่ฤดูนี้มีอยู่ 2 อย่าง ดังนี้ คือ ฤดูร้อน 1 ฤดูหนาว 1 | 1. เตโชธาตุมีสมุฏฐาน 4 ชื่อว่า อุตุ – ฤดู แต่ฤดูนี้มีอยู่ 2 อย่าง ดังนี้ คือ ฤดูร้อน 1 ฤดูหนาว 1 |
ความจริง โยคาวจรเมื่อเห็นซึ่งความเกิดของรูปด้วยอาการดังกล่าวมานี้ ก็ชื่อว่ากำหนดรู้รูปตามกาล (คือ ในเวลาหนึ่ง) | ความจริง โยคาวจรเมื่อเห็นซึ่งความเกิดของรูปด้วยอาการดังกล่าวมานี้ ก็ชื่อว่ากำหนดรู้รูปตามกาล (คือ ในเวลาหนึ่ง) |
| |
'''[[วิธีกำหนดรู้อรูป]]''' | ===วิธีเห็นนิพพัตติของอรูป=== |
| |
อนึ่ง เมื่อโยคาวจรกำหนดรู้รูปอยู่ ก็พึงเห็นความเกิดของรูปด้วย ฉันใด แม้เมื่อโยคาวจรกำหนดรู้อรูปอยู่ ก็พึงเห็นความเกิดของอรูปไปด้วย ฉันนั้น และความเกิดของอรูปนั้น พึงเห็นโดยทางจิตตุปบาทฝ่ายโลกิยะ 81 ดวงนั่นเอง เช่นตัวอย่างดังต่อไปนี้ ความจริงที่เรียกว่า อรูปนี้ ก็คือ จิตตุปบาท 19 ประเภท เกิดขึ้นก่อนในปฏิสนธิด้วยกรรมที่ประมวลไว้ในภพก่อน แต่อาการเกิดของอรูปนั้น พึงทราบตามนัยดังกล่าวไว้แล้วในนิทเทสแห่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง | อนึ่ง เมื่อโยคาวจรกำหนดรู้รูปอยู่ ก็พึงเห็นความเกิดของรูปด้วย ฉันใด แม้เมื่อโยคาวจรกำหนดรู้อรูปอยู่ ก็พึงเห็นความเกิดของอรูปไปด้วย ฉันนั้น และความเกิดของอรูปนั้น พึงเห็นโดยทางจิตตุปบาทฝ่ายโลกิยะ 81 ดวงนั่นเอง เช่นตัวอย่างดังต่อไปนี้ ความจริงที่เรียกว่า อรูปนี้ ก็คือ จิตตุปบาท 19 ประเภท เกิดขึ้นก่อนในปฏิสนธิด้วยกรรมที่ประมวลไว้ในภพก่อน แต่อาการเกิดของอรูปนั้น พึงทราบตามนัยดังกล่าวไว้แล้วในนิทเทสแห่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง |
โยคาวจรท่านหนึ่ง แม้กำหนดรู้รูปตามกาล (ในเวลาหนึ่ง) (ด้วยสัมมสนญาณ) โดยอาการดังกล่าวนี้แล้ว ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ปฏิบัติอยู่โดยลำดับ (จนบรรลุอุทยพญสณขึ้นไป) ก็ทำปัญญาภาวนาให้ถึงพร้อมได้ | โยคาวจรท่านหนึ่ง แม้กำหนดรู้รูปตามกาล (ในเวลาหนึ่ง) (ด้วยสัมมสนญาณ) โดยอาการดังกล่าวนี้แล้ว ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ปฏิบัติอยู่โดยลำดับ (จนบรรลุอุทยพญสณขึ้นไป) ก็ทำปัญญาภาวนาให้ถึงพร้อมได้ |
| |
'''[[ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ทางรูปสัตตกะ]]''' | ===สัมมสนะรูป 7 วิธี=== |
| |
โยคาวจรอีกท่านหนึ่งยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์แล้วกำหนดรู้สังขารทั้งหลาย (ด้วยสัมมสนญาณ) โดยทาง รูปสัตตกะ (คือ มนสิการโดยอาการ 7 ในรูป) และทาง อรูปสัตตกะ (คือ มนสิการโดยอาการ 7 ในอรูป) | โยคาวจรอีกท่านหนึ่งยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์แล้วกำหนดรู้สังขารทั้งหลาย (ด้วยสัมมสนญาณ) โดยทาง รูปสัตตกะ (คือ มนสิการโดยอาการ 7 ในรูป) และทาง อรูปสัตตกะ (คือ มนสิการโดยอาการ 7 ในอรูป) |
เพราะฉะนั้น ท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวไว้ว่า | เพราะฉะนั้น ท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวไว้ว่า |
| |
อาทานนิกเขปโต วยวุฑฒตถคามิโต | <blockquote>อาทานนิกเขปโต วยวุฑฒตถคามิโต |
| |
อาหารโต จ อุตุโต กมมโต จาปิ จิตตโต | อาหารโต จ อุตุโต กมมโต จาปิ จิตตโต |
เติบโตขึ้นตามวัย 1 โดยอาหาร 1 โดยฤดู 1 โดยกรรม 1 | เติบโตขึ้นตามวัย 1 โดยอาหาร 1 โดยฤดู 1 โดยกรรม 1 |
| |
โดยจิต 1 โดยรูปธรรมดา 1 | โดยจิต 1 โดยรูปธรรมดา 1</blockquote> |
| |
'''[[1. โดยความยึดถือไว้และปล่อยวาง]]''' | '''[1. โดยความยึดถือไว้และปล่อยวาง]''' |
| |
ในอาการ 7 นั้น คำว่า "การยึดถือไว้" หมายถึง ปฏิสนธิ คำว่า "ปล่อยวาง" หมายถึง จุติ โยคาวจรกำหนดแบ่ง 100 ปี (ออกเป็น 2 ตอน) โดยการยึดถือไว้ (ปฏิสนธิ) และการปล่อยวาง (จุติ) เหล่านี้ แล้วยกพระไตรลักษณ์เข้าในสังขารทั้งหลาย (ถามว่า) ยกพระ | ในอาการ 7 นั้น คำว่า "การยึดถือไว้" หมายถึง ปฏิสนธิ คำว่า "ปล่อยวาง" หมายถึง จุติ โยคาวจรกำหนดแบ่ง 100 ปี (ออกเป็น 2 ตอน) โดยการยึดถือไว้ (ปฏิสนธิ) และการปล่อยวาง (จุติ) เหล่านี้ แล้วยกพระไตรลักษณ์เข้าในสังขารทั้งหลาย (ถามว่า) ยกพระ |
'''สังขารทั้งหลายว่างเปล่าจากอาการเป็นไปในอำนาจนั้นนั่นแล เพราะฉะนั้นจึงเป็นอนัตตา เพราะเป็นของว่างเปล่า 1 เพราะไม่มีเจ้าของ 1 เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ 1 และเพราะปฏิเสธอัตตา 1 ฉะนี้แล''' | '''สังขารทั้งหลายว่างเปล่าจากอาการเป็นไปในอำนาจนั้นนั่นแล เพราะฉะนั้นจึงเป็นอนัตตา เพราะเป็นของว่างเปล่า 1 เพราะไม่มีเจ้าของ 1 เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ 1 และเพราะปฏิเสธอัตตา 1 ฉะนี้แล''' |
| |
'''[[2. โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย]]''' | '''[2. โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย]''' |
| |
ครั้นยกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปที่กำหนด 100 ปี โดยการยึดถือไว้และปล่อยวางด้วยประการดังนั้นแล้ว ถัดจากนั้น โยคาวจรก็ยกขึ้นโดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย | ครั้นยกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปที่กำหนด 100 ปี โดยการยึดถือไว้และปล่อยวางด้วยประการดังนั้นแล้ว ถัดจากนั้น โยคาวจรก็ยกขึ้นโดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 296)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 296)''</fs></sub> |
| |
'''[[จำแนก 100 ปี โดย 3 วัย]]''' | '''[จำแนก 100 ปี โดย 3 วัย]''' |
| |
(ตอบว่า) โยคาวจรนั้นกำหนดจำแนก 100 ปีนั้นนั่นแล โดย 3 วัย คือ โดยปฐมวัย - วัยต้น 1 มัชฌิมวัย – วัยกลาง 1 ปัจฉิมวัย – วัยสุดท้าย 1 ใน 3 วัยนั้น 33 ปีข้างต้น ชื่อว่าปฐมวัย 34 ปีจากนั้นไป ชื่อว่ามัชฌิมวัย 33 ปีจากมัชฌิมวัยนั้นไป ชื่อว่าปัจฉิมวัยฉะนี้แล ครั้นกำหนดจำแนกโดย 3 วัยเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล้วจึงยกขึ้นสู่พระไตรลักษณืว่า "รูปที่เป็นไปในปฐมวัย ไม่ทันถึงมัชฌิมวัย ก็ดับไปเสียในปฐมวัยนั่นเอง เพราะฉะนั้นรูปนั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้ไม่มีอัตตา แม้รุปที่เป็นไปในมัชฌิมวัย ไม่ทันถึงปัจฉิมวัยนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น แม้รูป นั้นก็เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถึงแม้รูปที่เป็นไปตลอด 33 ปีในปัจฉิมวัย ชื่อว่าสามารถดำเนินไปได้ภายหลัง แต่ตายแล้วหามีไม่ เพราะฉะนั้น แม้รูปนั้นก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา" ดังนี้ | (ตอบว่า) โยคาวจรนั้นกำหนดจำแนก 100 ปีนั้นนั่นแล โดย 3 วัย คือ โดยปฐมวัย - วัยต้น 1 มัชฌิมวัย – วัยกลาง 1 ปัจฉิมวัย – วัยสุดท้าย 1 ใน 3 วัยนั้น 33 ปีข้างต้น ชื่อว่าปฐมวัย 34 ปีจากนั้นไป ชื่อว่ามัชฌิมวัย 33 ปีจากมัชฌิมวัยนั้นไป ชื่อว่าปัจฉิมวัยฉะนี้แล ครั้นกำหนดจำแนกโดย 3 วัยเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล้วจึงยกขึ้นสู่พระไตรลักษณืว่า "รูปที่เป็นไปในปฐมวัย ไม่ทันถึงมัชฌิมวัย ก็ดับไปเสียในปฐมวัยนั่นเอง เพราะฉะนั้นรูปนั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้ไม่มีอัตตา แม้รุปที่เป็นไปในมัชฌิมวัย ไม่ทันถึงปัจฉิมวัยนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น แม้รูป นั้นก็เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถึงแม้รูปที่เป็นไปตลอด 33 ปีในปัจฉิมวัย ชื่อว่าสามารถดำเนินไปได้ภายหลัง แต่ตายแล้วหามีไม่ เพราะฉะนั้น แม้รูปนั้นก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา" ดังนี้ |
| |
'''[[จำแนก 100 ปี โดยกำหนดช่วงละ 10ปี]]''' | '''[จำแนก 100 ปี โดยกำหนดช่วงละ 10ปี]''' |
| |
ครั้นยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย โดยทางวัยมีปฐมวัยเป็นต้น อย่างนั้นแล้ว โยคาวจรยกขึ้นสุ่พระไตรลักษณ์โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย โดยช่วงละ 10 ปี 10 ช่วง เหล่านี้ ต่อไปอีกดังนี้ คือ | ครั้นยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย โดยทางวัยมีปฐมวัยเป็นต้น อย่างนั้นแล้ว โยคาวจรยกขึ้นสุ่พระไตรลักษณ์โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย โดยช่วงละ 10 ปี 10 ช่วง เหล่านี้ ต่อไปอีกดังนี้ คือ |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 298)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 298)''</fs></sub> |
| |
'''[[จำแนก 100 ปีเป็น 20 ส่วน]]''' | '''[จำแนก 100 ปีเป็น 20 ส่วน]''' |
| |
ครั้นยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย โดยกำหนดช่วงละ 10 ปี 10 ช่วงอย่างนั้นแล้ว โยคีนั้นจึงทำ 100 ปีนั้นนั่นแหละให้เป็น 20 ส่วน โดย (แบ่งเป็นส่วนละ) 5 ปี – 5 ปี แล้วยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัยต่อไปอีก ยกขึ้นอย่างไร ? แท้จริง โยคีท่านนั้นใคร่ครวญอยู่ดังนี้ว่า "รูปที่เป็นไปในช่วง 5 ปีแรก ยังไม่ทันถึงช่วง 5 ปีที่ 2 ก็ดับไปเสียในช่วง 5 ปีแรกนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา รูปที่เป็นไปในช่วง 5 ปีที่ 2 ยังไม่ทันถึงช่วง 5 ปีที่ 3…..ฯลฯ…..รูปที่เป็นไปในช่วง 5 ปีที่ 19 ยังไม่ทันถึงช่วง 5 ปีที่ 20 ก็ดับไปเสียในช่วงที่ 5 ปีที่ ย9 นั้นนั่นเอง รูปที่เป็นไปในช่วง 5 ปีที่ 20 ชื่อว่าสามารถเลยไปเกินความตายหามีไม่ เพราะฉะนั้น แม้รูปนั้นก็เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา" ดังนี้ | ครั้นยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย โดยกำหนดช่วงละ 10 ปี 10 ช่วงอย่างนั้นแล้ว โยคีนั้นจึงทำ 100 ปีนั้นนั่นแหละให้เป็น 20 ส่วน โดย (แบ่งเป็นส่วนละ) 5 ปี – 5 ปี แล้วยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัยต่อไปอีก ยกขึ้นอย่างไร ? แท้จริง โยคีท่านนั้นใคร่ครวญอยู่ดังนี้ว่า "รูปที่เป็นไปในช่วง 5 ปีแรก ยังไม่ทันถึงช่วง 5 ปีที่ 2 ก็ดับไปเสียในช่วง 5 ปีแรกนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา รูปที่เป็นไปในช่วง 5 ปีที่ 2 ยังไม่ทันถึงช่วง 5 ปีที่ 3…..ฯลฯ…..รูปที่เป็นไปในช่วง 5 ปีที่ 19 ยังไม่ทันถึงช่วง 5 ปีที่ 20 ก็ดับไปเสียในช่วงที่ 5 ปีที่ ย9 นั้นนั่นเอง รูปที่เป็นไปในช่วง 5 ปีที่ 20 ชื่อว่าสามารถเลยไปเกินความตายหามีไม่ เพราะฉะนั้น แม้รูปนั้นก็เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา" ดังนี้ |
| |
'''[[จำแนก 100 ปีออกเป็น 25, 33, 50 และ 100 ส่วน]]''' | '''[จำแนก 100 ปีออกเป็น 25, 33, 50 และ 100 ส่วน]''' |
| |
ครั้นยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย โดยทาง (จำแนก) 20 ส่วนอย่างนั้นแล้ว โยคีนั้นจึงทำ 100 ปี นั้นให้เป็น 25 ส่วน แล้วยกขึ้นโดย (แบ่งส่วนละ) 4 ปี -4 ปี ต่อไปอีก อนึ่ง แล้วทำให้เป็น 33 ส่วน…..โดย (แบ่งส่วนละ) 3 ปี – 3 ปี…..ทำให้เป็น 50 ส่วน…..โดย (แบ่งส่วนละ) 2 ปี - 2 ปี…..ทำให้เป็น 100 ส่วน…..โดย (แบ่งส่วนละ) 1 ปี - 1 ปี….. | ครั้นยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์โดยถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัย โดยทาง (จำแนก) 20 ส่วนอย่างนั้นแล้ว โยคีนั้นจึงทำ 100 ปี นั้นให้เป็น 25 ส่วน แล้วยกขึ้นโดย (แบ่งส่วนละ) 4 ปี -4 ปี ต่อไปอีก อนึ่ง แล้วทำให้เป็น 33 ส่วน…..โดย (แบ่งส่วนละ) 3 ปี – 3 ปี…..ทำให้เป็น 50 ส่วน…..โดย (แบ่งส่วนละ) 2 ปี - 2 ปี…..ทำให้เป็น 100 ส่วน…..โดย (แบ่งส่วนละ) 1 ปี - 1 ปี….. |
| |
'''[[จำแนก 1 ปี ตาม 3 ฤดู]]''' | '''[จำแนก 1 ปี ตาม 3 ฤดู]''' |
| |
จากนั้น ทำปีหนึ่งๆ ให้เป็น 3 ส่วน แล้วยกขึ้นพระไตรลักษณ์เข้าในรูปที่ถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัยนั้น โดยฤดู 3 ฤดู คือ ฤดูวัสสานะ 1 ฤดูเหมันต์ 1 ฤดูคิมหะ 1 ตามแต่ละฤดู ๆ ยกเข้าอย่างไร ? โยคีท่านนั้นใคร่ครวญอยู่อย่างนี้ว่า "รูปที่เป็นไปตลอด 4 เดือนในฤดูวัสสานะ (ฤดูฝน) ยังไม่ทันถึงฤดูเหมันต์ (ฤดูหนาว) ก็ดับเสียแล้วในฤดูวัสสานะนั้นนั่นเอง รูปที่เป็นไปในฤดูเหมันต์ ยังไม่ทันถึงฤดูคิมหะ (ฤดูร้อน) ก็ดับเสียแล้วในฤดุเหมันต์นั้นนั่นเอง รูปที่เป็นไปในฤดูคิมหะ ยังไม่ทันถึงฤดูวัสสานะใหม่ ก็ดับเสียแล้วในฤดูคิมหะนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา" ดังนี้ | จากนั้น ทำปีหนึ่งๆ ให้เป็น 3 ส่วน แล้วยกขึ้นพระไตรลักษณ์เข้าในรูปที่ถึงความแตกดับของรูปที่เติบโตขึ้นตามวัยนั้น โดยฤดู 3 ฤดู คือ ฤดูวัสสานะ 1 ฤดูเหมันต์ 1 ฤดูคิมหะ 1 ตามแต่ละฤดู ๆ ยกเข้าอย่างไร ? โยคีท่านนั้นใคร่ครวญอยู่อย่างนี้ว่า "รูปที่เป็นไปตลอด 4 เดือนในฤดูวัสสานะ (ฤดูฝน) ยังไม่ทันถึงฤดูเหมันต์ (ฤดูหนาว) ก็ดับเสียแล้วในฤดูวัสสานะนั้นนั่นเอง รูปที่เป็นไปในฤดูเหมันต์ ยังไม่ทันถึงฤดูคิมหะ (ฤดูร้อน) ก็ดับเสียแล้วในฤดุเหมันต์นั้นนั่นเอง รูปที่เป็นไปในฤดูคิมหะ ยังไม่ทันถึงฤดูวัสสานะใหม่ ก็ดับเสียแล้วในฤดูคิมหะนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา" ดังนี้ |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 299)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 299)''</fs></sub> |
| |
'''[[จำแนก 1 ปี ตามฤดู 6]]''' | '''[จำแนก 1 ปี ตามฤดู 6]''' |
| |
ครั้นยกขึ้น (โดน 3 ฤดู) อย่างนั้นแล้วจึงทำ 1 ปี เป็น 6 ส่วนต่อไปอีก แล้วยกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปที่ถึงความแตกดับด้วยความเติบโตตามวัยนั้นอย่างนี้ว่า "รูปที่เป็นไปตลอด 2 เดือน ในฤดูวัสสานะ (ฤดูฝน) ยังไม่ทันถึงฤดูสารท (ฤดูใบไม้ร่วง) ก็ดับเสียแล้วในฤดูวัสสานะนั้นนั่นเอง รูปที่เป็นไปในฤดูเหมันต์ (ฤดูหนาว)…..รูปที่เป็นไปในฤดูเหมันต์ ยังไม่ทันถึงฤดูสิสิระ (ฤดูเย็น)…..รูปที่เป็นไปในฤดูสิสิระ ยังไม่ทันถึงฤดูวัสสันต์ ยังไม่ทันถึงฤดูคิมหะ (ฤดูร้อน)…..รูปที่เป็นฤดูคิมหะยังไม่ถึงฤดูวัสสานะ ถัดไป ก็ดับเสียแล้วในฤดูคิมหะนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ดังนี้ | ครั้นยกขึ้น (โดน 3 ฤดู) อย่างนั้นแล้วจึงทำ 1 ปี เป็น 6 ส่วนต่อไปอีก แล้วยกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปที่ถึงความแตกดับด้วยความเติบโตตามวัยนั้นอย่างนี้ว่า "รูปที่เป็นไปตลอด 2 เดือน ในฤดูวัสสานะ (ฤดูฝน) ยังไม่ทันถึงฤดูสารท (ฤดูใบไม้ร่วง) ก็ดับเสียแล้วในฤดูวัสสานะนั้นนั่นเอง รูปที่เป็นไปในฤดูเหมันต์ (ฤดูหนาว)…..รูปที่เป็นไปในฤดูเหมันต์ ยังไม่ทันถึงฤดูสิสิระ (ฤดูเย็น)…..รูปที่เป็นไปในฤดูสิสิระ ยังไม่ทันถึงฤดูวัสสันต์ ยังไม่ทันถึงฤดูคิมหะ (ฤดูร้อน)…..รูปที่เป็นฤดูคิมหะยังไม่ถึงฤดูวัสสานะ ถัดไป ก็ดับเสียแล้วในฤดูคิมหะนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ดังนี้ |
| |
'''[[จำแนก 1 เดือน เป็น 2 ปักษ์]] ''' | '''[จำแนก 1 เดือน เป็น 2 ปักษ์]] ''' |
| |
ครั้นยกขึ้น (โดย 6 ฤดู) อย่างนั้นถูกแล้ว แต่นั้นโยคีก็ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ โดย (จำแนก 1 เดือนเป็น) ข้างแรมและข้างขึ้นว่า "รูปที่เป็นไปในข้างแรม ยังไม่ทันถึงข้างขึ้น…..รูปที่เป็นไปในข้างขึ้น ยังไม่ทันถึงข้างแรม ก็ดับเสียแล้วในข้างขึ้นนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ดังนี้ | ครั้นยกขึ้น (โดย 6 ฤดู) อย่างนั้นถูกแล้ว แต่นั้นโยคีก็ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ โดย (จำแนก 1 เดือนเป็น) ข้างแรมและข้างขึ้นว่า "รูปที่เป็นไปในข้างแรม ยังไม่ทันถึงข้างขึ้น…..รูปที่เป็นไปในข้างขึ้น ยังไม่ทันถึงข้างแรม ก็ดับเสียแล้วในข้างขึ้นนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ดังนี้ |
| |
'''[[จำแนก 1 วันเป็นกลางคืนและกลางวัน]]''' | '''[จำแนก 1 วันเป็นกลางคืนและกลางวัน]''' |
| |
แต่นั้น โยคีก็ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์โดย (กำหนด) วันและคืนว่า "รูปที่เป็นไปในกลางคืน ยังไม่ทันถึงกลางวัน ก็ดับเสียแล้วในกลางคืนนั้นนั่นเอง แม้รูปที่เป็นไปในกลางวัน ยังไม่ทันถึงกลางคืน ก็ดับเสียแล้วในกลางวันนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ดังนี้ | แต่นั้น โยคีก็ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์โดย (กำหนด) วันและคืนว่า "รูปที่เป็นไปในกลางคืน ยังไม่ทันถึงกลางวัน ก็ดับเสียแล้วในกลางคืนนั้นนั่นเอง แม้รูปที่เป็นไปในกลางวัน ยังไม่ทันถึงกลางคืน ก็ดับเสียแล้วในกลางวันนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ดังนี้ |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 300)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 300)''</fs></sub> |
| |
'''[[จำแนก 1 วันเป็น 6 ส่วน]]''' | '''[จำแนก 1 วันเป็น 6 ส่วน]''' |
| |
แต่นั้น โยคีก็ทำ (จำแนก) คืนและวันนั้นนั่นแลออกเป็น 6 โดยเวลามีตอนเช้าเป็นต้น แล้วยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ว่า "รูปที่เป็นไปในตอนเช้า ยังไม่ทันถึงตอนกลางวัน…..รูปที่เป็นไปในตอนกลางวัน ยังไม่ทันถึงตอนเย็น…..รูปที่เป็นไปในตอนเย็น ยังไม่ทันถึงปฐมยาม….. รูปที่เป็นไปในปฐมยาม ยังไม่ทันถึงมัชฌิมยาม…..รูปที่เป็นไปในมัชฌิมยาม ยังไม่ทันถึงปัจฉิมยาม ยังไม่ทันถึงตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ดับเสียแล้วในปัจฉิมยมนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ดังนี้ | แต่นั้น โยคีก็ทำ (จำแนก) คืนและวันนั้นนั่นแลออกเป็น 6 โดยเวลามีตอนเช้าเป็นต้น แล้วยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ว่า "รูปที่เป็นไปในตอนเช้า ยังไม่ทันถึงตอนกลางวัน…..รูปที่เป็นไปในตอนกลางวัน ยังไม่ทันถึงตอนเย็น…..รูปที่เป็นไปในตอนเย็น ยังไม่ทันถึงปฐมยาม….. รูปที่เป็นไปในปฐมยาม ยังไม่ทันถึงมัชฌิมยาม…..รูปที่เป็นไปในมัชฌิมยาม ยังไม่ทันถึงปัจฉิมยาม ยังไม่ทันถึงตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ดับเสียแล้วในปัจฉิมยมนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ดังนี้ |
| |
'''[[จำแนกโดยอาการ 6]] ''' | '''[จำแนกโดยอาการ 6]] ''' |
| |
ครั้นโยคีนั้นยกขึ้น (สู่พระไตรลักษณ์) อย่างนั้นแล้ว ก็ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์โดยการเดินไปข้างหน้า ถอยกลับ แลดู เหลียวดู การคู้ และเหยียดออก (ซึ่งมือและเท้า) ในรูปนั้นนั่นแหละ ต่อไปอีกว่า "รูปที่เป็นไปในการเดินไปข้างหน้า ยังไม่ทันถอยกลับ ก็ดับไปในการเดินไปข้างหน้านั้นนั่นเอง รูปที่เป็นไปในการถอยกลับ ยังไม่ทันถึงการดูแล…..รูปที่เป็นไปในการดูแล ยังไม่ทันถึงการเหลียวดู ยังไม่ทันถึงการคู้…..รูปที่เป็นไปในการคู้ ยังไม่ทันถึงการเหยียดออกก็ดับไปในการคู้นั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นรูปนั้นจึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ดังนี้ | ครั้นโยคีนั้นยกขึ้น (สู่พระไตรลักษณ์) อย่างนั้นแล้ว ก็ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์โดยการเดินไปข้างหน้า ถอยกลับ แลดู เหลียวดู การคู้ และเหยียดออก (ซึ่งมือและเท้า) ในรูปนั้นนั่นแหละ ต่อไปอีกว่า "รูปที่เป็นไปในการเดินไปข้างหน้า ยังไม่ทันถอยกลับ ก็ดับไปในการเดินไปข้างหน้านั้นนั่นเอง รูปที่เป็นไปในการถอยกลับ ยังไม่ทันถึงการดูแล…..รูปที่เป็นไปในการดูแล ยังไม่ทันถึงการเหลียวดู ยังไม่ทันถึงการคู้…..รูปที่เป็นไปในการคู้ ยังไม่ทันถึงการเหยียดออกก็ดับไปในการคู้นั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นรูปนั้นจึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ดังนี้ |
| |
'''[[จำแนกก้าวเท้า 6 ระยะ]]''' | '''[จำแนกก้าวเท้า 6 ระยะ]''' |
| |
ครั้นแล้ว โยคีก็ทำระยะของก้าวเท้าก้าวหนึ่งออกเป็น 6 ส่วน โดย (แบ่งเป็น) | ครั้นแล้ว โยคีก็ทำระยะของก้าวเท้าก้าวหนึ่งออกเป็น 6 ส่วน โดย (แบ่งเป็น) |
การกำหนดรู้รูปของโยคีท่านนั้นผู้เห็นแจ้งสังขารทั้งหลายเป็นปล้อง ๆ อย่างนี้ เป็นการกำหนดรู้ที่ละเอียดอ่อน ก็แล ในความละเอียดอ่อน ก็แล ในความละเอียดอ่อนของการกำหนดรู้รูปนั้นมีอุปมาดังนี้ | การกำหนดรู้รูปของโยคีท่านนั้นผู้เห็นแจ้งสังขารทั้งหลายเป็นปล้อง ๆ อย่างนี้ เป็นการกำหนดรู้ที่ละเอียดอ่อน ก็แล ในความละเอียดอ่อน ก็แล ในความละเอียดอ่อนของการกำหนดรู้รูปนั้นมีอุปมาดังนี้ |
| |
'''[[อุปมาในความละเอียดอ่อนของการกำหนดรู้รูป]]''' | '''[อุปมาในความละเอียดอ่อนของการกำหนดรู้รูป]''' |
| |
สมมติว่า ชายผู้อยู่ปลายแดนคนหนึ่ง มีความเคยชินที่ทำมาแต่ใน (เรื่อง) ใช้ไต้ทำด้วยไม้และหญ้าเป็นต้น ไม่เคยเห็นดวงประทีป (ตะเกียง) ครั้นมาถึงนครหลวงได้เห็นดวงประทีปที่เขาจุดไว้ในย่านการค้า จึงถามบุรุษท่านหนึ่ง (คนที่ 1) ว่า "ท่านผู้เจริญ นี่เขาเรียกว่าอะไร ? น่าชอบใจจริง" บุรุษผู้นั้นจึงบอกกะชายชาวปลายแดนผู้นั้นว่า "ชอบใจในสิ่งนี้หรือ ? นี่เขาเรียกว่าดวงประทีป ครั้นหมดน้ำมันและสิ้นไส้ แม้แต่ทางไปของมันก็จักไม่ปรากฏ (ให้เห็น)" บุรุษอีกผู้หนึ่ง (คนที่ 2) บอกกะชายชาวปลายแดนคนนั้นว่า "การที่ดวงประทีปไม่ปรากฏเพราะหมดน้ำมันและสิ้นไส้นี้ เป็นเรื่องหยาบ ความจริง เมื่อไส้ (ตะเกียง) นี้ถูกเผาไป ๆโดยลำดับ เปลวไฟจักดับไปในส่วนที่ 3 (และ) ส่วนที่ 3 ยังไม่ทันถึงส่วนนอกนี้ (และ) นอกนี้แน่แท้" บุรุษอีกผู้หนึ่ง (ที่ 3) บอกกะเขาอย่างนี้ว่า "ถึงแม้เรื่องนี้ก็ยังหยาบเหมือนกัน เพราะว่าเปลวไฟจักดับไปในระหว่างองคุลีองคุลี…..ในระหว่างครึ่งองคุลีทุกครึ่งองคุลี…..ในเส้นด้าย | สมมติว่า ชายผู้อยู่ปลายแดนคนหนึ่ง มีความเคยชินที่ทำมาแต่ใน (เรื่อง) ใช้ไต้ทำด้วยไม้และหญ้าเป็นต้น ไม่เคยเห็นดวงประทีป (ตะเกียง) ครั้นมาถึงนครหลวงได้เห็นดวงประทีปที่เขาจุดไว้ในย่านการค้า จึงถามบุรุษท่านหนึ่ง (คนที่ 1) ว่า "ท่านผู้เจริญ นี่เขาเรียกว่าอะไร ? น่าชอบใจจริง" บุรุษผู้นั้นจึงบอกกะชายชาวปลายแดนผู้นั้นว่า "ชอบใจในสิ่งนี้หรือ ? นี่เขาเรียกว่าดวงประทีป ครั้นหมดน้ำมันและสิ้นไส้ แม้แต่ทางไปของมันก็จักไม่ปรากฏ (ให้เห็น)" บุรุษอีกผู้หนึ่ง (คนที่ 2) บอกกะชายชาวปลายแดนคนนั้นว่า "การที่ดวงประทีปไม่ปรากฏเพราะหมดน้ำมันและสิ้นไส้นี้ เป็นเรื่องหยาบ ความจริง เมื่อไส้ (ตะเกียง) นี้ถูกเผาไป ๆโดยลำดับ เปลวไฟจักดับไปในส่วนที่ 3 (และ) ส่วนที่ 3 ยังไม่ทันถึงส่วนนอกนี้ (และ) นอกนี้แน่แท้" บุรุษอีกผู้หนึ่ง (ที่ 3) บอกกะเขาอย่างนี้ว่า "ถึงแม้เรื่องนี้ก็ยังหยาบเหมือนกัน เพราะว่าเปลวไฟจักดับไปในระหว่างองคุลีองคุลี…..ในระหว่างครึ่งองคุลีทุกครึ่งองคุลี…..ในเส้นด้าย |
'''ทุกเส้นด้าย…..ในใยด้ายทุกใยด้ายของไส้ (ตะเกียง) นี้ ไม่ทันถึงใยด้ายนอกนี้ (และ) นอกนี้แน่แท้ แต่พ้น (ปราศจาก) ใยด้ายแล้ว ไม่สามารถทำเปลวไฟให้ปรากฏได้" ฉะนั้นแล''' | '''ทุกเส้นด้าย…..ในใยด้ายทุกใยด้ายของไส้ (ตะเกียง) นี้ ไม่ทันถึงใยด้ายนอกนี้ (และ) นอกนี้แน่แท้ แต่พ้น (ปราศจาก) ใยด้ายแล้ว ไม่สามารถทำเปลวไฟให้ปรากฏได้" ฉะนั้นแล''' |
| |
'''[[อุปมาอุปไมย]]''' | '''[อุปมาอุปไมย]''' |
| |
ในอุปมานั้น การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปซึ่งจำแนกโดย 100 ปี ตั้งแต่การยึดถือไว้ (ปฏิสนธิ) จนถึงการปล่อยวาง (จุติ) เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษ (คนที่1) รู้ว่า "ครั้นหมดน้ำมันและสิ้นไส้ แม้แต่ทางไปของดวงประทีปก็จักไม่ปรากฏ" การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปที่ถึงความแตกดับด้วยการเติบโตขึ้นตามวัย ซึ่งจำแนก 100 ปีออกเป็นส่วนที่ 3 และที่ 3 (3 ส่วนๆ) เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษ (คนที่ 2)รู้ว่า "เปลวไฟจักดับไปในส่วนที่ 3 (และ) ส่วนที่ 3 ของไส้ ยังไม่ทันถึงส่วนนอกนี้(และ) นอกนี้" การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปซึ่งจำแนกโดยช่วงละ 10 ปี 5 ปี 3 ปี 2 ปี และ 1 ปี เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษ (คนที่ 3) รู้ว่า "เปลวไฟจักดับไปในระหว่างองคุลีองคุลียังไม่ทันถึงระหว่างนอกนี้ (และ) นอกนี้" การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปซึ่งแบ่ง 1 ปี ออกเป็น 3 ส่วนและ 6 ส่วน ตามฤดูหนึ่งๆ แล้วจำแนกเป็น 4 เดือน และ 2 เดือน เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษที่ว่า "เปลวไฟจักดับไปในระหว่างครึ่งองคุลีทุกครึ่งองคุลีๆ ไม่ทันถึงครึ่งองคุลีนอกนี้ (และ) นอกนี้เป็นแน่" การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปซึ่งจำแนกโดยข้างแรมและข้างขึ้น และโดยกลางคืนและกลางวัน และทำคืนและวันหนึ่งเป็น 6 ส่วนแล้วกำหนดจำแนกโดยเวลามีตอนเช้าเป็นต้น เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษ (ที่รู้) ว่า "เปลวไฟจักดับไปในเส้นด้ายทุกเส้นด้าย ไม่ทันถึงเส้นด้ายนอกนี้ (และ) นอกนี้เป็นแน่" การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปซึ่งจำแนกโดยอาการมีการเดินไปข้างหน้าเป็นต้น และโดยส่วนหนึ่งๆ ในระยะของก้าวเท้าก้าวหนึ่งมีการยกเท้าขึ้นเป็นต้น เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษ (ที่รู้) ว่า "เปลวไฟจักดับไปในไยด้ายทุกไยด้าย ไม่ทันถึงไยด้ายนอกนี้ (และ) นอกนี้แน่แท้" ฉะนี้แล | ในอุปมานั้น การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปซึ่งจำแนกโดย 100 ปี ตั้งแต่การยึดถือไว้ (ปฏิสนธิ) จนถึงการปล่อยวาง (จุติ) เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษ (คนที่1) รู้ว่า "ครั้นหมดน้ำมันและสิ้นไส้ แม้แต่ทางไปของดวงประทีปก็จักไม่ปรากฏ" การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปที่ถึงความแตกดับด้วยการเติบโตขึ้นตามวัย ซึ่งจำแนก 100 ปีออกเป็นส่วนที่ 3 และที่ 3 (3 ส่วนๆ) เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษ (คนที่ 2)รู้ว่า "เปลวไฟจักดับไปในส่วนที่ 3 (และ) ส่วนที่ 3 ของไส้ ยังไม่ทันถึงส่วนนอกนี้(และ) นอกนี้" การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปซึ่งจำแนกโดยช่วงละ 10 ปี 5 ปี 3 ปี 2 ปี และ 1 ปี เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษ (คนที่ 3) รู้ว่า "เปลวไฟจักดับไปในระหว่างองคุลีองคุลียังไม่ทันถึงระหว่างนอกนี้ (และ) นอกนี้" การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปซึ่งแบ่ง 1 ปี ออกเป็น 3 ส่วนและ 6 ส่วน ตามฤดูหนึ่งๆ แล้วจำแนกเป็น 4 เดือน และ 2 เดือน เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษที่ว่า "เปลวไฟจักดับไปในระหว่างครึ่งองคุลีทุกครึ่งองคุลีๆ ไม่ทันถึงครึ่งองคุลีนอกนี้ (และ) นอกนี้เป็นแน่" การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปซึ่งจำแนกโดยข้างแรมและข้างขึ้น และโดยกลางคืนและกลางวัน และทำคืนและวันหนึ่งเป็น 6 ส่วนแล้วกำหนดจำแนกโดยเวลามีตอนเช้าเป็นต้น เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษ (ที่รู้) ว่า "เปลวไฟจักดับไปในเส้นด้ายทุกเส้นด้าย ไม่ทันถึงเส้นด้ายนอกนี้ (และ) นอกนี้เป็นแน่" การที่โยคียกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปซึ่งจำแนกโดยอาการมีการเดินไปข้างหน้าเป็นต้น และโดยส่วนหนึ่งๆ ในระยะของก้าวเท้าก้าวหนึ่งมีการยกเท้าขึ้นเป็นต้น เปรียบเหมือนความรู้ของบุรุษ (ที่รู้) ว่า "เปลวไฟจักดับไปในไยด้ายทุกไยด้าย ไม่ทันถึงไยด้ายนอกนี้ (และ) นอกนี้แน่แท้" ฉะนี้แล |
| |
'''[[จำแนกรูปเป็น 4 ส่วน]] ''' | '''[จำแนกรูปเป็น 4 ส่วน]] ''' |
| |
ครั้นโยคียกเอาพระไตรลักษณ์เข้าในรูปที่ถึงความแตกดับด้วยการเติบโตขึ้นตามวัยโดยอาการต่างๆอย่างนี้แล้ว จึงจำแนกรูปนั้นนั่นแหละ ทำให้เป็น 4 ส่วนโดยรูปมีรูปเกิดด้วยอาหารเป็นต้น แล้วยกพระไตรลักษณ์เข้าในแต่ละส่วนเข้าไปอีก | ครั้นโยคียกเอาพระไตรลักษณ์เข้าในรูปที่ถึงความแตกดับด้วยการเติบโตขึ้นตามวัยโดยอาการต่างๆอย่างนี้แล้ว จึงจำแนกรูปนั้นนั่นแหละ ทำให้เป็น 4 ส่วนโดยรูปมีรูปเกิดด้วยอาหารเป็นต้น แล้วยกพระไตรลักษณ์เข้าในแต่ละส่วนเข้าไปอีก |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 309)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 309)''</fs></sub> |
| |
'''(ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ทางอรูปสัตตกะ)''' | ===สัมมสนะอรูป 7 วิธี=== |
| |
อนึ่ง คำใดที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้ว (ข้างต้น) ว่า "ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์แล้ว กำหนดรู้สังขารทั้งหลาย) โดยทาง อรูปสัตตกะ" ในคำนั้นมีมาติกาดังนี้ คือ | อนึ่ง คำใดที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้ว (ข้างต้น) ว่า "ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์แล้ว กำหนดรู้สังขารทั้งหลาย) โดยทาง อรูปสัตตกะ" ในคำนั้นมีมาติกาดังนี้ คือ |
ในวิปัสสนาญาณทั้งหลายที่เหลือ (จากที่กล่าวถึงนี้ อีก 10 มีนิพพิทานุปัสสนาเป็นต้น) บางญาณก็แทงทะลุ (โดยเอกเทศ) แล้ว บางญาณก็มิได้แทงทะลุ เราจักทำการจำแนกวิปัสสนาญาณทั้งหลายเหล่านั้นให้แจ่มแจ้งข้างหน้า เพราะคำว่าที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วว่า "โยคีท่านนั้นเป็นผู้มีทั้งรูปกัมมัฏฐานและอรูปกัมมัฏฐานคล่องแคล่วอย่างนี้ เมื่อแทงตลอด (รู้แจ้ง) เฉพาะ ณ ที่นี้ก่อน แต่เพียงเอกเทศของ มหาวิปัสสนา 18 ที่ตนพึงบรรลุโดยอาการทั้งปวงด้วยสามารถ ปหานปริญญา เริ่มต้นแต่ภังคานุปัสสนาญาณ (โดยลำดับ) ขึ้นไป ก็ละธรรมซึ่งเป็นปฏิปักษ์ของ มหาวิปัสสนา 18 นั้นได้" นี้ข้าพเจ้าหมายถึงวิปัสสนาญาณ ซึ่งโยคีท่านนี้แทงตลอดแล้วนั่นเอง | ในวิปัสสนาญาณทั้งหลายที่เหลือ (จากที่กล่าวถึงนี้ อีก 10 มีนิพพิทานุปัสสนาเป็นต้น) บางญาณก็แทงทะลุ (โดยเอกเทศ) แล้ว บางญาณก็มิได้แทงทะลุ เราจักทำการจำแนกวิปัสสนาญาณทั้งหลายเหล่านั้นให้แจ่มแจ้งข้างหน้า เพราะคำว่าที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วว่า "โยคีท่านนั้นเป็นผู้มีทั้งรูปกัมมัฏฐานและอรูปกัมมัฏฐานคล่องแคล่วอย่างนี้ เมื่อแทงตลอด (รู้แจ้ง) เฉพาะ ณ ที่นี้ก่อน แต่เพียงเอกเทศของ มหาวิปัสสนา 18 ที่ตนพึงบรรลุโดยอาการทั้งปวงด้วยสามารถ ปหานปริญญา เริ่มต้นแต่ภังคานุปัสสนาญาณ (โดยลำดับ) ขึ้นไป ก็ละธรรมซึ่งเป็นปฏิปักษ์ของ มหาวิปัสสนา 18 นั้นได้" นี้ข้าพเจ้าหมายถึงวิปัสสนาญาณ ซึ่งโยคีท่านนี้แทงตลอดแล้วนั่นเอง |
| |
'''(4.(ก)ตรุณอุทยพญาณ หรือ อุทยพยญาณ อย่างอ่อน)''' | =อุทยพยญาณ= |
| |
| ==ตรุณอุทยพญาณ== |
| |
| '''[อุทยพยญาณอย่างอ่อน]''' |
| |
เพราะละนิจจสัญญาเป็นต้น อันเป็นปฏิปักษ์ต่อวิปัสสนามีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น ด้วยประการดังกล่าวมานี้ โยคีท่านนั้นเป็นผู้มีญาณหมดจดวิเศษ ถึงฝั่งฟากแห่ง สัมมสนญาณ แล้ว จึงเริ่มทำโยคะเพื่อบรรลุ อุทยพยานุปัสสนาญาณ ซึ่งท่านกล่าวไว้ในลำดับแห่งสัมสนญาณว่า "ปัญญาในการเห็นเนืองๆ ซึ่งความแปรผันของปัจจุบันธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า อุทยพยานุปัสสนาญา" ดังนี้ และเมื่อเริ่มทำ ก็เริ่มต้นโดยสังเขปก่อน ในการเริ่มต้นโดยสังเขปนั้น มีพระบาลี (แปลความ) ดังต่อไปนี้ | เพราะละนิจจสัญญาเป็นต้น อันเป็นปฏิปักษ์ต่อวิปัสสนามีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น ด้วยประการดังกล่าวมานี้ โยคีท่านนั้นเป็นผู้มีญาณหมดจดวิเศษ ถึงฝั่งฟากแห่ง สัมมสนญาณ แล้ว จึงเริ่มทำโยคะเพื่อบรรลุ อุทยพยานุปัสสนาญาณ ซึ่งท่านกล่าวไว้ในลำดับแห่งสัมสนญาณว่า "ปัญญาในการเห็นเนืองๆ ซึ่งความแปรผันของปัจจุบันธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า อุทยพยานุปัสสนาญา" ดังนี้ และเมื่อเริ่มทำ ก็เริ่มต้นโดยสังเขปก่อน ในการเริ่มต้นโดยสังเขปนั้น มีพระบาลี (แปลความ) ดังต่อไปนี้ |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 317)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 317)''</fs></sub> |
| |
'''ของรูปนั้น เป็น อุทยะ (ความเกิดขึ้น) ลักษณะแห่งความแปรผัน (ของรูปนั้น) เป็น วยะ (ความดับไป) ปัญญาเห็นเนืองๆเป็น ญาณ เวทนาที่เกิดแล้ว…..สัญญาที่เกิดแล้ว…..สังขารที่เกิดแล้ว…..วิญญาณที่เกิดแล้ว….จักษุที่เกิดแล้ว ฯลฯ ภพที่เกิดแล้ว เป็นปัจจุบันลักษณะแห่งความเกิดของภพนั้น เป็น อุทยะ (ความเกิดขึ้น) ลักษณะแห่งความแปรผันเป็น วยะ (ความดับไป) ปัญญาเห็นเนืองๆเป็น ญาณ" ดังนี้''' | ของรูปนั้น เป็น อุทยะ (ความเกิดขึ้น) ลักษณะแห่งความแปรผัน (ของรูปนั้น) เป็น วยะ (ความดับไป) ปัญญาเห็นเนืองๆเป็น ญาณ เวทนาที่เกิดแล้ว…..สัญญาที่เกิดแล้ว…..สังขารที่เกิดแล้ว…..วิญญาณที่เกิดแล้ว….จักษุที่เกิดแล้ว ฯลฯ ภพที่เกิดแล้ว เป็นปัจจุบันลักษณะแห่งความเกิดของภพนั้น เป็น อุทยะ (ความเกิดขึ้น) ลักษณะแห่งความแปรผันเป็น วยะ (ความดับไป) ปัญญาเห็นเนืองๆเป็น ญาณ" ดังนี้ |
| |
โยคีท่านนั้นเห็นอยู่เสมอเนืองๆ ซึ่งมีลักษณะแห่งความเกิด ซึ่งความเกิด ซึ่งความเกิดขึ้น ซึ่งอาการใหม่เอี่ยมของนามและรูปที่เกิดแล้ว ว่า อุทยะ (ความเกิดขึ้น) เห็นอยู่เสมอเนืองๆ ซึ่งลักษณะแห่งความแปรผัน ซึ่งความสิ้นหวัง ซึ่งความแตกดับไปว่า วยะ (ความดับไป) ตามนัยแห่งพระบาลี (ดังกล่าว) นี้ | โยคีท่านนั้นเห็นอยู่เสมอเนืองๆ ซึ่งมีลักษณะแห่งความเกิด ซึ่งความเกิด ซึ่งความเกิดขึ้น ซึ่งอาการใหม่เอี่ยมของนามและรูปที่เกิดแล้ว ว่า อุทยะ (ความเกิดขึ้น) เห็นอยู่เสมอเนืองๆ ซึ่งลักษณะแห่งความแปรผัน ซึ่งความสิ้นหวัง ซึ่งความแตกดับไปว่า วยะ (ความดับไป) ตามนัยแห่งพระบาลี (ดังกล่าว) นี้ |
ด้วยภาวนาวิธีเท่าที่กล่าวมานี้ เป็นอันว่าโยคีท่านนี้ได้บรรลุแล้ว ซึ่ง ตรุณวิปัสสนาญาณ (วิปัสสนาญาณอย่างอ่อน) อันดับแรก มีชื่อว่า อุทยพยานุปัสสนาญาณ (อย่างอ่อน) ซึ่งแทงตลอดลักษณะครบถ้วน 50 โดอาการนี้ว่า "สิ่งที่มีความดับไปเป็นธรรมดานั่นเองเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ถึงความดับไป" ดังนี้ ซึ่งโดยเหตุที่ได้บรรลุ (ตรุณวิปัสสนาญาณนี้) โยคีท่านนั้นก็ถึงการนับว่า "อารทฺธวิปสฺสโก - ผู้เริ่มต้นบำเพ็ญวิปัสสนา" | ด้วยภาวนาวิธีเท่าที่กล่าวมานี้ เป็นอันว่าโยคีท่านนี้ได้บรรลุแล้ว ซึ่ง ตรุณวิปัสสนาญาณ (วิปัสสนาญาณอย่างอ่อน) อันดับแรก มีชื่อว่า อุทยพยานุปัสสนาญาณ (อย่างอ่อน) ซึ่งแทงตลอดลักษณะครบถ้วน 50 โดอาการนี้ว่า "สิ่งที่มีความดับไปเป็นธรรมดานั่นเองเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ถึงความดับไป" ดังนี้ ซึ่งโดยเหตุที่ได้บรรลุ (ตรุณวิปัสสนาญาณนี้) โยคีท่านนั้นก็ถึงการนับว่า "อารทฺธวิปสฺสโก - ผู้เริ่มต้นบำเพ็ญวิปัสสนา" |
| |
'''[[วิปัสสนูปกิเลส 10]]''' | ===วิปัสสนูปกิเลส 10=== |
| |
'''ในระยะนั้น ด้วยตรุณวิปัสสนานี้ วิปัสสนูปกิเลส สิ่งที่ทำให้วิปัสสนาหม่นหมอง) ก็เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น ผู้เริ่มต้นบำเพ็ญวิปัสสนา ความจริง วิปัสสนูปกิเลสจะไม่เกิดขึ้นแก่''' | '''ในระยะนั้น ด้วยตรุณวิปัสสนานี้ วิปัสสนูปกิเลส สิ่งที่ทำให้วิปัสสนาหม่นหมอง) ก็เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น ผู้เริ่มต้นบำเพ็ญวิปัสสนา ความจริง วิปัสสนูปกิเลสจะไม่เกิดขึ้นแก่''' |
ความจริง ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระก็ได้กล่าวคำนี้ ไว้แล้วว่า "ใจที่ถูกความฟุ้งซ่านในธรรม (คืออุปกิเลส) ครอบงำ เป็นอย่างไร ? พระภิกษุเมื่อกระทำในใจอยู่โดยความไม่เที่ยง โอภาสก็เกิดขึ้น พระภิกษุนั้นรำพึงถึงโอภาสอยู่ว่า "โอภาสเป็นธรรม" ความฟุ้งซ่านเพราะโอภาสเป็นเหตุนั้น เป็นอุทธัจจะ พระภิกษุผู้มีใจอันอุทธัจจะนั้นครอบงำแล้ว ไม่กำหนดรู้ความโดยไม่เที่ยงตามเป็นจริง ไม่กำหนดรู้ความปรากฏโดยความเป็นทุกข์..... โดยความเป็นอนัตตาตามเป็นจริง..... อนึ่ง เมื่อภิกษุนั้นกระทำในใจอยู่โดยความไม่เที่ยง ญาณก็เกิดขึ้น..... ปีติ..... ปัสสัทธิ..... สุข..... อธิโมกข์..... ปัคคาหะ...... อุปัฏฐานะ.... อุเบกขา..... นิกันติ ก็เกิดขึ้น พระภิกษุนั้นรำพึงถึงนิกันติอยู่ว่า "นิกันติเป็นธรรม" ความฟุ้งซ่านเพราะนิกันติเป็นเหตุนั้นเป็นอุทธัจจะ พระภิกษุผู้มีใจอันอุทธัจจะนั้นครอบงำแล้ว ไม่กำหนดรู้ความปรากฏโดยความไม่เที่ยงตามเป็นจริง ไม่กำหนดรู้ความปรากฏโดยความเป็นทุกข์....โดยความเป็นอนัตตาตามเป็นจริง" ดังนี้ | ความจริง ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระก็ได้กล่าวคำนี้ ไว้แล้วว่า "ใจที่ถูกความฟุ้งซ่านในธรรม (คืออุปกิเลส) ครอบงำ เป็นอย่างไร ? พระภิกษุเมื่อกระทำในใจอยู่โดยความไม่เที่ยง โอภาสก็เกิดขึ้น พระภิกษุนั้นรำพึงถึงโอภาสอยู่ว่า "โอภาสเป็นธรรม" ความฟุ้งซ่านเพราะโอภาสเป็นเหตุนั้น เป็นอุทธัจจะ พระภิกษุผู้มีใจอันอุทธัจจะนั้นครอบงำแล้ว ไม่กำหนดรู้ความโดยไม่เที่ยงตามเป็นจริง ไม่กำหนดรู้ความปรากฏโดยความเป็นทุกข์..... โดยความเป็นอนัตตาตามเป็นจริง..... อนึ่ง เมื่อภิกษุนั้นกระทำในใจอยู่โดยความไม่เที่ยง ญาณก็เกิดขึ้น..... ปีติ..... ปัสสัทธิ..... สุข..... อธิโมกข์..... ปัคคาหะ...... อุปัฏฐานะ.... อุเบกขา..... นิกันติ ก็เกิดขึ้น พระภิกษุนั้นรำพึงถึงนิกันติอยู่ว่า "นิกันติเป็นธรรม" ความฟุ้งซ่านเพราะนิกันติเป็นเหตุนั้นเป็นอุทธัจจะ พระภิกษุผู้มีใจอันอุทธัจจะนั้นครอบงำแล้ว ไม่กำหนดรู้ความปรากฏโดยความไม่เที่ยงตามเป็นจริง ไม่กำหนดรู้ความปรากฏโดยความเป็นทุกข์....โดยความเป็นอนัตตาตามเป็นจริง" ดังนี้ |
| |
'''[[1. โอภาส]]''' | '''[1. โอภาส]''' |
| |
ในอุปกิเลส 10 นั้น คำว่า "โอภาส - แสงสว่าง" ได้แก่ วิปัสสโนภาส (คือแสงสว่างในวิปัสสนา) เมื่อวิปัสสโนภาสนั้นเกิดขึ้น โยคาวจรก็คิดว่า "แสงสว่างเห็นปานนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแก่ฉันในกาลก่อนแต่นี้เลยหนอ ฉันเป็นผู้บรรลุมรรคแล้ว ฉันเป็นผู้บรรลุแล้วเป็นแน่" ดังนี้แล้วถือเอาสิ่งมิใช่มรรคนั่นแหละว่า "มรรค" และถือเอาสิ่งมิใช่ผลนั่นแลว่า "ผล" เมื่อ | ในอุปกิเลส 10 นั้น คำว่า "โอภาส - แสงสว่าง" ได้แก่ วิปัสสโนภาส (คือแสงสว่างในวิปัสสนา) เมื่อวิปัสสโนภาสนั้นเกิดขึ้น โยคาวจรก็คิดว่า "แสงสว่างเห็นปานนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแก่ฉันในกาลก่อนแต่นี้เลยหนอ ฉันเป็นผู้บรรลุมรรคแล้ว ฉันเป็นผู้บรรลุแล้วเป็นแน่" ดังนี้แล้วถือเอาสิ่งมิใช่มรรคนั่นแหละว่า "มรรค" และถือเอาสิ่งมิใช่ผลนั่นแลว่า "ผล" เมื่อ |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 325)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 325)''</fs></sub> |
| |
'''[[เรื่องท่านมหานาคเถระผู้อยู่ในอุจจังกวาลิก]]''' | '''[เรื่องท่านมหานาคเถระผู้อยู่ในอุจจังกวาลิก]''' |
| |
เล่ากันว่า พระเถระท่านหนึ่งมีนามว่า ท่านธัมมทินนเถระ ผู้อยู่ในตลังคระ เป็นพระมหาขีณาสพ ผู้มีปฏิสัมภิทาแตกฉาน เป็นผู้ให้โอวาทแก่พระภิกษุหมู่ใหญ่ วันหนึ่ง ท่านนั่งอยู่บนอาสนะสำหรับพักกลางวันของตนแล้วรำพึงอยู่ว่า "พระอาจารย์ของเราคือท่านมหานาคเถระ ผู้อยู่ในอุจจังกวาลิก ถึงที่สุดกิจของความเป็นสมณะแล้ว หรือไม่หนอ" ก็เห็นว่า ท่านยังเป็นปุถุชนอยู่นั่นเอง และรู้ว่า "เมื่อเราไม่ไป ท่านก็จักทำกาลกิริยาของปุถุชนเป็นแท้" จึงเหาะขึ้นสู่เวหาสด้วยฤทธิ์ ไปลง ณ ที่ใกล้พระเถระซึ่งนั่งอยู่บนอาสนะสำหรับพักกลางวัน ไหว้แสดงวัตรแล้ว นั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง เมื่อพระเถระ (ผู้เป็นพระอาจารย์) พูดขึ้นว่า "อาวุโส ธัมมทินนะ เหตุไรจึงมาผิดเวลา ?" ท่านจึงกราบเรียนว่า "กระผมมาเพื่อถามปัญหาขอรับ" ครั้นแล้ว เมื่อพระเถระกล่าวอนุญาตว่า "ถามเถิด อาวุโส เมื่อรู้ก็จักบอก" ท่านธัมมทินนเถระจึงเรียกถามปัญหา 1.000 ปัญหา พระเถระก็กล่าวแก้ปัญหาที่ถามมา ๆ ได้ไม่ติดขัดเลย จากนั้น เมื่อท่านธัมมทินนเถระเรียนถามว่า "ความรู้ของท่านอาจารย์แก่กล้ามาก ท่านอาจารย์ได้บรรลุธรรมนี้แต่เมื่อไร" พระเถระก็กล่าวว่า "ในกาลแต่บัดนี้ไป 60 ปี อาวุโส" จึงกล่าวเรียนว่า "โปรดใช้สมาธิเถอะ ขอรับ" พระเถระบอกว่า "เรื่องนี้ไม่หนักหนาอะไร อาวุโส" ท่านธัมมทินนเถระกราบเรียนว่า "ถ้ากระนั้น นิมนต์นิรมิตช้างขึ้นสักเชือกเถิด ขอรับ" พระเถระก็นิรมิตช้างเผือกตลอกตลอดทั้งตัวขึ้น ท่านธัมมทินนเถระจึงกราบเรียนว่า "ท่านขอรับ คราวนี้ โปรดทำให้ช้างตัวนี้นั้นกางหูเหยียดหาง เอาวงใสไว้ในปาก ทำเสียงโกญจนาทอย่างน่ากลัว หันหน้าเดินตรงมาหาท่านอาจารย์" พระเถระก็ทำอย่างนั้น ครั้นเห็นอาการอันน่ากลัวของช้างเดินมาโดยเร็ว ก็ลุกขึ้นเริ่มจะหนีไป พระเถระผู้ขีณาสพจึงยื่นมือไปเหนี่ยวชายจีวรไว้ แล้วกราบเรียนท่านอาจารย์นั้นว่า "ท่านขอรับ ชื่อว่าความหวาดกลัวยังมีอยู่แก่พระขีณาสพหรือ" พระเถระนั้นจึงรู้ในเวลานั้นว่าตนยังเป็นปุถุชน แล้วพูดว่า "อาวุโสธัมมทินนะ โปรดเป็นที่พึงของฉันด้วย" นั่งกระหย่ง ณ ใกล้เท้าท่านธัมมทินนเถระจึงกราบเรียนว่า "ข้าแต่ท่านอาจารย์ กระผมก็มาด้วยตั้งใจจักเป็นที่พึ่งของท่านอาจารย์อยู่แล้ว โปรดอย่าคิดไปเลย" แล้วก็บอกกัมมัฏฐาน (แก่พระเถระผู้เป็นอาจารย์) พระเถระรับกัมมัฏฐานแล้ว ก็ขึ้นสู่ที่จงกรม ในวาระย่างเท้าก้าวที่ 3 (ท่าน) ก็บรรลุพระอรหัตตผลซึ่งเป็นผลชั้นยอด เขาว่า พระเถระเป็นคนโทสจริต พระภิกษุทั้งหลายเห็นปาน (ดังพระเถระ) นี้มัวเคลิบเคลิ้มอยู่ในโอภาสไปเสีย | เล่ากันว่า พระเถระท่านหนึ่งมีนามว่า ท่านธัมมทินนเถระ ผู้อยู่ในตลังคระ เป็นพระมหาขีณาสพ ผู้มีปฏิสัมภิทาแตกฉาน เป็นผู้ให้โอวาทแก่พระภิกษุหมู่ใหญ่ วันหนึ่ง ท่านนั่งอยู่บนอาสนะสำหรับพักกลางวันของตนแล้วรำพึงอยู่ว่า "พระอาจารย์ของเราคือท่านมหานาคเถระ ผู้อยู่ในอุจจังกวาลิก ถึงที่สุดกิจของความเป็นสมณะแล้ว หรือไม่หนอ" ก็เห็นว่า ท่านยังเป็นปุถุชนอยู่นั่นเอง และรู้ว่า "เมื่อเราไม่ไป ท่านก็จักทำกาลกิริยาของปุถุชนเป็นแท้" จึงเหาะขึ้นสู่เวหาสด้วยฤทธิ์ ไปลง ณ ที่ใกล้พระเถระซึ่งนั่งอยู่บนอาสนะสำหรับพักกลางวัน ไหว้แสดงวัตรแล้ว นั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง เมื่อพระเถระ (ผู้เป็นพระอาจารย์) พูดขึ้นว่า "อาวุโส ธัมมทินนะ เหตุไรจึงมาผิดเวลา ?" ท่านจึงกราบเรียนว่า "กระผมมาเพื่อถามปัญหาขอรับ" ครั้นแล้ว เมื่อพระเถระกล่าวอนุญาตว่า "ถามเถิด อาวุโส เมื่อรู้ก็จักบอก" ท่านธัมมทินนเถระจึงเรียกถามปัญหา 1.000 ปัญหา พระเถระก็กล่าวแก้ปัญหาที่ถามมา ๆ ได้ไม่ติดขัดเลย จากนั้น เมื่อท่านธัมมทินนเถระเรียนถามว่า "ความรู้ของท่านอาจารย์แก่กล้ามาก ท่านอาจารย์ได้บรรลุธรรมนี้แต่เมื่อไร" พระเถระก็กล่าวว่า "ในกาลแต่บัดนี้ไป 60 ปี อาวุโส" จึงกล่าวเรียนว่า "โปรดใช้สมาธิเถอะ ขอรับ" พระเถระบอกว่า "เรื่องนี้ไม่หนักหนาอะไร อาวุโส" ท่านธัมมทินนเถระกราบเรียนว่า "ถ้ากระนั้น นิมนต์นิรมิตช้างขึ้นสักเชือกเถิด ขอรับ" พระเถระก็นิรมิตช้างเผือกตลอกตลอดทั้งตัวขึ้น ท่านธัมมทินนเถระจึงกราบเรียนว่า "ท่านขอรับ คราวนี้ โปรดทำให้ช้างตัวนี้นั้นกางหูเหยียดหาง เอาวงใสไว้ในปาก ทำเสียงโกญจนาทอย่างน่ากลัว หันหน้าเดินตรงมาหาท่านอาจารย์" พระเถระก็ทำอย่างนั้น ครั้นเห็นอาการอันน่ากลัวของช้างเดินมาโดยเร็ว ก็ลุกขึ้นเริ่มจะหนีไป พระเถระผู้ขีณาสพจึงยื่นมือไปเหนี่ยวชายจีวรไว้ แล้วกราบเรียนท่านอาจารย์นั้นว่า "ท่านขอรับ ชื่อว่าความหวาดกลัวยังมีอยู่แก่พระขีณาสพหรือ" พระเถระนั้นจึงรู้ในเวลานั้นว่าตนยังเป็นปุถุชน แล้วพูดว่า "อาวุโสธัมมทินนะ โปรดเป็นที่พึงของฉันด้วย" นั่งกระหย่ง ณ ใกล้เท้าท่านธัมมทินนเถระจึงกราบเรียนว่า "ข้าแต่ท่านอาจารย์ กระผมก็มาด้วยตั้งใจจักเป็นที่พึ่งของท่านอาจารย์อยู่แล้ว โปรดอย่าคิดไปเลย" แล้วก็บอกกัมมัฏฐาน (แก่พระเถระผู้เป็นอาจารย์) พระเถระรับกัมมัฏฐานแล้ว ก็ขึ้นสู่ที่จงกรม ในวาระย่างเท้าก้าวที่ 3 (ท่าน) ก็บรรลุพระอรหัตตผลซึ่งเป็นผลชั้นยอด เขาว่า พระเถระเป็นคนโทสจริต พระภิกษุทั้งหลายเห็นปาน (ดังพระเถระ) นี้มัวเคลิบเคลิ้มอยู่ในโอภาสไปเสีย |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 326)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 326)''</fs></sub> |
| |
'''[[2. ญาณ]]''' | '''[2. ญาณ]''' |
| |
คำว่า "ญาณ" หมายถึง วิปัสสนาญาณ ทราบว่า เมื่อโยคีนั้นกำลังเทียบเคียงไตร่ตรองรูปธรรมและอรูปธรรม (รูปและนาม) ทั้งหลายอยู่ ญาณซึ่งมีกระแสปราดเปรียวแหลมคม แก่กล้า ชัดแจ้ง ก็เกิดขึ้น ประดุจดังวชิระของพระอินทร์ที่ทรงซัดออกไป | คำว่า "ญาณ" หมายถึง วิปัสสนาญาณ ทราบว่า เมื่อโยคีนั้นกำลังเทียบเคียงไตร่ตรองรูปธรรมและอรูปธรรม (รูปและนาม) ทั้งหลายอยู่ ญาณซึ่งมีกระแสปราดเปรียวแหลมคม แก่กล้า ชัดแจ้ง ก็เกิดขึ้น ประดุจดังวชิระของพระอินทร์ที่ทรงซัดออกไป |
| |
'''[[3. ปีติ]]''' | '''[3. ปีติ]''' |
| |
คำว่า "ปีติ" หมายถึง ปีติประกอบด้วยวิปัสสนา ทราบว่าในระยะนั้น ปีติ 5 อย่างนี้ คือ | คำว่า "ปีติ" หมายถึง ปีติประกอบด้วยวิปัสสนา ทราบว่าในระยะนั้น ปีติ 5 อย่างนี้ คือ |
'''เกิดขึ้นเต็มสรีรกายทั้งสิ้น''' | '''เกิดขึ้นเต็มสรีรกายทั้งสิ้น''' |
| |
'''[[4. ปัสสัทธิ]]''' | '''[4. ปัสสัทธิ]''' |
| |
คำว่า "ปัสสัทธิ" หมายถึง ปัสสัทธิในวิปัสสนา ทราบว่า เมื่อโยคีนั่งอยู่ในที่พักกลางคืนก็ดี ในที่พักกลางวันก็ดี ในสมัยนั้น ทั้งกายและจิตไม่มีความกระวนกระวาย 1 ไม่มีความหนัก 1 ไม่มีความกระด้าง 1 ไม่มีความไม่ควรแก่งาน (ในการปฏิบัติ) 1 ไม่มีความเจ็บไข้ 1 ไม่มีความคดโกง 1 แต่ทว่าในสมัยนั้นแล กายและจิตของโยคีนั้น สงบ 1 เบา 1 อ่อน 1 ควรแก่งาน 1 ผ่องใส 1 เที่ยงตรง 1 เป็นแท้เลย โยคีนั่นเป็นผู้มีกายและใจอันธรรมทั้งหลายมีปัสสัทธิเป็นต้นเหล่านี้อนุเคราะห์แล้ว ในสมัยนั้นก็เสวยความยินดีที่เรียกว่า มิใช่ของมีอยู่ในมนุษย์ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสระบุถึงไว้ว่า | คำว่า "ปัสสัทธิ" หมายถึง ปัสสัทธิในวิปัสสนา ทราบว่า เมื่อโยคีนั่งอยู่ในที่พักกลางคืนก็ดี ในที่พักกลางวันก็ดี ในสมัยนั้น ทั้งกายและจิตไม่มีความกระวนกระวาย 1 ไม่มีความหนัก 1 ไม่มีความกระด้าง 1 ไม่มีความไม่ควรแก่งาน (ในการปฏิบัติ) 1 ไม่มีความเจ็บไข้ 1 ไม่มีความคดโกง 1 แต่ทว่าในสมัยนั้นแล กายและจิตของโยคีนั้น สงบ 1 เบา 1 อ่อน 1 ควรแก่งาน 1 ผ่องใส 1 เที่ยงตรง 1 เป็นแท้เลย โยคีนั่นเป็นผู้มีกายและใจอันธรรมทั้งหลายมีปัสสัทธิเป็นต้นเหล่านี้อนุเคราะห์แล้ว ในสมัยนั้นก็เสวยความยินดีที่เรียกว่า มิใช่ของมีอยู่ในมนุษย์ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสระบุถึงไว้ว่า |
'''ปัสสัทธิอันประกอบด้วยธรรมมีลหุตา (ความเบา) เป็นต้น ซึ่งทำให้สำเร็จความยินดีที่มิใช่ของมนุษย์นี้เกิดขึ้นอยู่แก่โยคีนั้น ด้วยประการดังกล่าวนี้''' | '''ปัสสัทธิอันประกอบด้วยธรรมมีลหุตา (ความเบา) เป็นต้น ซึ่งทำให้สำเร็จความยินดีที่มิใช่ของมนุษย์นี้เกิดขึ้นอยู่แก่โยคีนั้น ด้วยประการดังกล่าวนี้''' |
| |
'''[[5. สุข]]''' | '''[5. สุข]''' |
| |
คำว่า "สุข" หมายถึง ความสุขประกอบด้วยวิปัสสนา ทราบว่า ในสมัยนั้น ความสุขอันประณีตยิ่งเกิดขึ้นท่วมท้นไปในสรีรกายทั้งสิ้น | คำว่า "สุข" หมายถึง ความสุขประกอบด้วยวิปัสสนา ทราบว่า ในสมัยนั้น ความสุขอันประณีตยิ่งเกิดขึ้นท่วมท้นไปในสรีรกายทั้งสิ้น |
| |
'''[[6. อธิโมกข์]]''' | '''[6. อธิโมกข์]''' |
| |
คำว่า "อธิโมกข์" หมายถึง ศรัทธา เพราะว่า ศรัทธาที่สัมปยุตด้วยวิปัสสนานั่นแลเป็นความผ่องใสอย่างยิ่งของจิตและเจตสิก เป็นศรัทธามีกำลัง ก็เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น | คำว่า "อธิโมกข์" หมายถึง ศรัทธา เพราะว่า ศรัทธาที่สัมปยุตด้วยวิปัสสนานั่นแลเป็นความผ่องใสอย่างยิ่งของจิตและเจตสิก เป็นศรัทธามีกำลัง ก็เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น |
| |
'''[[7. ปัคคาหะ]]''' | '''[7. ปัคคาหะ]''' |
| |
คำว่า "ปัคคาหะ" หมายถึง วิริยะ (คือความเพียร) เพราะว่า ความเพียรที่สัมปยุตด้วยวิปัสสนานั่นแล เป็นความเพียรที่ไม่หย่อนเกินไป ไม่ตึงเกินไป ประคับประคองไว้เป็นอย่างดี ก็เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น | คำว่า "ปัคคาหะ" หมายถึง วิริยะ (คือความเพียร) เพราะว่า ความเพียรที่สัมปยุตด้วยวิปัสสนานั่นแล เป็นความเพียรที่ไม่หย่อนเกินไป ไม่ตึงเกินไป ประคับประคองไว้เป็นอย่างดี ก็เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 328)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 328)''</fs></sub> |
| |
'''[[8. อุปัฏฐานะ]]''' | '''[8. อุปัฏฐานะ]''' |
| |
คำว่า "อุปัฏฐานะ" หมายถึง สติ เพราะว่า สติที่สัมปยุตด้วยวิปัสสนานั่นแล เข้าไปตั้งอยู่อย่างดี มั่นคง ฝังลึก ไม่หวั่นไหว ประหนึ่งภูเขาหลวง เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น โยคีท่านนั้นรำพึงถึง รำลึกถึง ทำในใจถึง เจาะจงนึกเห็น ซึ่งฐานะใด ๆ ฐานะนั้น ๆ ก็ลิ่วแล่นเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสติแก่โยคีนั้น ประหนึ่งปรโลกปรากฏแก่ท่านผู้มีทิพยจักษุ | คำว่า "อุปัฏฐานะ" หมายถึง สติ เพราะว่า สติที่สัมปยุตด้วยวิปัสสนานั่นแล เข้าไปตั้งอยู่อย่างดี มั่นคง ฝังลึก ไม่หวั่นไหว ประหนึ่งภูเขาหลวง เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น โยคีท่านนั้นรำพึงถึง รำลึกถึง ทำในใจถึง เจาะจงนึกเห็น ซึ่งฐานะใด ๆ ฐานะนั้น ๆ ก็ลิ่วแล่นเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสติแก่โยคีนั้น ประหนึ่งปรโลกปรากฏแก่ท่านผู้มีทิพยจักษุ |
| |
'''[[9. อุเบกขา]]''' | '''[9. อุเบกขา]''' |
| |
คำว่า "อุเบกขา" หมายถึง ทั้งวิปัสสนูเปกขาและทั้งอาวัชชนุเปกขา เพราะว่า ในสมัยนั้น ทั้งวิปัสสนูเปกขา ซึ่งมีความเป็นกลางในสังขารทั้งปวง ทั้งอาวัชชนูเปกขาในมโนทวารก็มีกำลัง เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น ความจริง เมื่อโยคีนั้นรำพึงถึงฐานะนั้น ๆ อยู่ อุเบกขานั้นก็ดำเนินอย่างแก่กล้าแหลมคม ประดุจดังวชิระของพระอินทร์ที่ทรงซัดออกไป และประดุจดังลูกศรที่เผาร้อนแล้วยิงไปในกองใบไม้ | คำว่า "อุเบกขา" หมายถึง ทั้งวิปัสสนูเปกขาและทั้งอาวัชชนุเปกขา เพราะว่า ในสมัยนั้น ทั้งวิปัสสนูเปกขา ซึ่งมีความเป็นกลางในสังขารทั้งปวง ทั้งอาวัชชนูเปกขาในมโนทวารก็มีกำลัง เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น ความจริง เมื่อโยคีนั้นรำพึงถึงฐานะนั้น ๆ อยู่ อุเบกขานั้นก็ดำเนินอย่างแก่กล้าแหลมคม ประดุจดังวชิระของพระอินทร์ที่ทรงซัดออกไป และประดุจดังลูกศรที่เผาร้อนแล้วยิงไปในกองใบไม้ |
| |
'''[[10. นิกันติ]]''' | '''[10. นิกันติ]''' |
| |
คำว่า "นิกันติ" หมายถึง วิปัสสนานิกันติ (ความใคร่ในวิปัสสนา) เพราะว่า นิกันติ มีอาการสงบ สุขุม ก็เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น ทำความอาลัยอยู่ในวิปัสสนาอันประดับด้วยอุปกิเลสมีโอภาสเป็นต้น ด้วยประการดังกล่าวนั้น ซึ่งเป็นความใคร่ที่ใคร ๆ ไม่สามารถแม้แต่กำหนดรู้ได้ว่าเป็นกิเลส | คำว่า "นิกันติ" หมายถึง วิปัสสนานิกันติ (ความใคร่ในวิปัสสนา) เพราะว่า นิกันติ มีอาการสงบ สุขุม ก็เกิดขึ้นแก่โยคีนั้น ทำความอาลัยอยู่ในวิปัสสนาอันประดับด้วยอุปกิเลสมีโอภาสเป็นต้น ด้วยประการดังกล่าวนั้น ซึ่งเป็นความใคร่ที่ใคร ๆ ไม่สามารถแม้แต่กำหนดรู้ได้ว่าเป็นกิเลส |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 329)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 329)''</fs></sub> |
| |
'''[[จำแนกอุปกิเลส 10 โดยคาหะ 3 เป็น 30]]''' | '''[จำแนกอุปกิเลส 10 โดยคาหะ 3 เป็น 30]''' |
| |
อนึ่ง ในอุปกิเลส 10 นี้ ธรรมทั้งหลายมีโอภาสเป็นต้น ท่านเรียกว่า "อุปกิเลส" เพราะเป็น สัตถุ (ที่ตั้ง) ของอุปกิเลส มิใช่เพราะเป็นอกุศล ส่วนนิกันติเป็นทั้งอุปกิเลส เป็นทั้งวัตถุของอุปกิเลสด้วย และอุปกิเลสเหล่านี้ มี 10 โดยทาง วัตถุ (ดังกล่าวแล้ว) แต่โดยทาง คาหะ (ความยึดถือ) มี 30 ถ้วน มี 30 ถ้วนโดยทางคาหะเป็นอย่างไร ? เพราะว่า เมื่อโยคีคาวจรยึดถืออยู่ว่า "โอภาสเกิดขึ้นแก่เราแล้ว" ดังนี้ เป็น ทิฏฐิคาหะ (ยึดถือด้วยทิฏฐิ) 1 เมื่อยึดถืออยู่ว่า "โอภาสน่าพึงพอใจจริงหนอเกิดขึ้นแล้ว" ดังนี้ เป็น มานคาหะ (ยึดถือด้วยมานะ) 1 เมื่อโยคาวจรชื่นชมโอภาสอยู่ เป็น ตัณหาคาหะ (ยึดถือด้วยตัณหา) 1 ในโอภาสมีคาหะ 3 โดยทางทิฏฐิ 1 มานะ 1 และตัณหา 1 ด้วยประการฉะนี้ แม้ในอุปกิเลสทั้งหลายที่เหลือก็มี (อย่างละ 3) เหมือนกัน เพราะเหตุนี้ จึงมีอุปกิเลสรวม 30 ถ้วน โดยทางคาหะ ด้วยอาการดังกล่าวนี้ | อนึ่ง ในอุปกิเลส 10 นี้ ธรรมทั้งหลายมีโอภาสเป็นต้น ท่านเรียกว่า "อุปกิเลส" เพราะเป็น สัตถุ (ที่ตั้ง) ของอุปกิเลส มิใช่เพราะเป็นอกุศล ส่วนนิกันติเป็นทั้งอุปกิเลส เป็นทั้งวัตถุของอุปกิเลสด้วย และอุปกิเลสเหล่านี้ มี 10 โดยทาง วัตถุ (ดังกล่าวแล้ว) แต่โดยทาง คาหะ (ความยึดถือ) มี 30 ถ้วน มี 30 ถ้วนโดยทางคาหะเป็นอย่างไร ? เพราะว่า เมื่อโยคีคาวจรยึดถืออยู่ว่า "โอภาสเกิดขึ้นแก่เราแล้ว" ดังนี้ เป็น ทิฏฐิคาหะ (ยึดถือด้วยทิฏฐิ) 1 เมื่อยึดถืออยู่ว่า "โอภาสน่าพึงพอใจจริงหนอเกิดขึ้นแล้ว" ดังนี้ เป็น มานคาหะ (ยึดถือด้วยมานะ) 1 เมื่อโยคาวจรชื่นชมโอภาสอยู่ เป็น ตัณหาคาหะ (ยึดถือด้วยตัณหา) 1 ในโอภาสมีคาหะ 3 โดยทางทิฏฐิ 1 มานะ 1 และตัณหา 1 ด้วยประการฉะนี้ แม้ในอุปกิเลสทั้งหลายที่เหลือก็มี (อย่างละ 3) เหมือนกัน เพราะเหตุนี้ จึงมีอุปกิเลสรวม 30 ถ้วน โดยทางคาหะ ด้วยอาการดังกล่าวนี้ |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 330)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 330)''</fs></sub> |
| |
| ==พลววิปัสสนา== |
| |
แต่โยคาวจรผู้ฉลาด ผู้เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ถึงพร้อมด้วยความรู้ เมื่ออุปกิเลสทั้งหลายมีโอภาสเป็นต้นเกิดขึ้น ก็กำหนดรู้ ใคร่ครวญเห็นมัน ด้วยปัญญาดังนี้ว่า "โอภาสนี้แลเกิดขึ้นแก่เราแล้ว แต่โอภาสนี้นั้นแล ไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่งไว้ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายราคะไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา" ด้วยประการฉะนี้บ้าง ก็หรือว่าโยคาวจรนั้นมีความคิดในขณะนั้นอย่างนี้ว่า "ถ้าโอภาสนี้พึงเป็นอัตตาไซร้ การถือ (โอภาสนั้น) ว่า "อัตตา" ก็ควร แต่โอภาสนี้ มิใช่อัตตาเลย ถือว่า "เป็นอัตตา" เพราะฉะนั้น โอภาสนั้นเป็นอนัตตา โดยความหมายว่าไม่เป็นไปในอำนาจ เป็นอนิจจัง โดยความหมายว่ามีแล้วหามีไม่ เป็นทุกขัง โดยความหมายว่าเบียดเบียนเฉพาะหน้าด้วยความเกิดและความดับ" ดังนี้ | แต่โยคาวจรผู้ฉลาด ผู้เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ถึงพร้อมด้วยความรู้ เมื่ออุปกิเลสทั้งหลายมีโอภาสเป็นต้นเกิดขึ้น ก็กำหนดรู้ ใคร่ครวญเห็นมัน ด้วยปัญญาดังนี้ว่า "โอภาสนี้แลเกิดขึ้นแก่เราแล้ว แต่โอภาสนี้นั้นแล ไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่งไว้ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายราคะไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา" ด้วยประการฉะนี้บ้าง ก็หรือว่าโยคาวจรนั้นมีความคิดในขณะนั้นอย่างนี้ว่า "ถ้าโอภาสนี้พึงเป็นอัตตาไซร้ การถือ (โอภาสนั้น) ว่า "อัตตา" ก็ควร แต่โอภาสนี้ มิใช่อัตตาเลย ถือว่า "เป็นอัตตา" เพราะฉะนั้น โอภาสนั้นเป็นอนัตตา โดยความหมายว่าไม่เป็นไปในอำนาจ เป็นอนิจจัง โดยความหมายว่ามีแล้วหามีไม่ เป็นทุกขัง โดยความหมายว่าเบียดเบียนเฉพาะหน้าด้วยความเกิดและความดับ" ดังนี้ |
==ดูเพิ่ม== | ==ดูเพิ่ม== |
*'''[http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/sutta23.php ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค]''' | *'''[http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/sutta23.php ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค]''' |
*'''[[วิสุทธิมรรค ฉบับปรับสำนวน]] (สารบัญ)''' | *'''[วิสุทธิมรรค ฉบับปรับสำนวน]] (สารบัญ)''' |
| |