การแก้ไขถัดไป | การแก้ไขก่อนหน้า |
วิสุทธิมรรค_17_ปัญญาภูมินิทเทส [2020/06/27 09:27] – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 | วิสุทธิมรรค_17_ปัญญาภูมินิทเทส [2021/01/02 13:14] (ฉบับปัจจุบัน) – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 |
---|
{{wst>วสธมฉปส head| }} | {{template:วสธมฉปส head| }} |
{{wst>วสธมฉปส sidebar}} | {{template:ฉบับปรับสำนวน head|}} |
| |
'''ปริจเฉทที่ 17 ปัญญาภูมินิทเทส''' | '''ปริจเฉทที่ 17 ปัญญาภูมินิทเทส''' |
==ปัจจยสูตร== | ==ปัจจยสูตร== |
===ปฏิจจสมุปบาท=== | ===ปฏิจจสมุปบาท=== |
ในธรรมสองอย่างนั้น ธรรมทั้งหลายมีอวิชชาเป็นต้น พึงทราบว่า ชื่อปฏิจจสมุปบทาเป็นอันดับแรก จริงอยู่ คำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้[http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=16&siri=16 ตรัสไว้ว่า] "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย | ในธรรมสองอย่างนั้น ธรรมทั้งหลายมีอวิชชาเป็นต้น พึงทราบว่า ชื่อปฏิจจสมุปบทาเป็นอันดับแรก จริงอยู่ คำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=10&siri=2 ตรัสไว้ว่า] "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย |
| |
สังขารทั้งหลาย มีเพราะปัจจัยคือ อวิชชา | สังขารทั้งหลาย มีเพราะปัจจัยคือ อวิชชา |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 130)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 130)''</fs></sub> |
| |
'''ค้านความหมายปฏิจจสมุปบาทในลัทธิเดียรถีย์''' | ===ค้านปฏิจจสมุปบาทในลัทธิเดียรถีย์=== |
| |
เจ้าลัทธิบางพวกกล่าวกิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น (เฉย ๆ ไม่มีเหตุ) ว่าเป็นปฏิจจสมุปบาท โดยนัยดังนี้ว่า "ความอิง (สิ่งต่าง ๆ) เกิดขึ้น และเกิดขึ้นอย่างถูกต้องด้วย (โดย) ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุ เช่นความเกิดแห่งปกติ (ประพฤติ – มูลเดิม) และปุริส (อาตมัน) เป็นต้น ซึ่งเดียรถีย์กำหนดขึ้น ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" คำของเจ้าลัทธินั้นไม่ชอบ เพราะอะไร ? เพราะไม่มีพระสูตร (อ้าง) เพราะผิดต่อพระสูตร เพราะไม่เกิดความลึกซึ้งและนัย และเพราะเป็นสัททเภท (ศัพท์แตก) ด้วย | เจ้าลัทธิบางพวกกล่าวกิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น (เฉย ๆ ไม่มีเหตุ) ว่าเป็นปฏิจจสมุปบาท โดยนัยดังนี้ว่า "ความอิง (สิ่งต่าง ๆ) เกิดขึ้น และเกิดขึ้นอย่างถูกต้องด้วย (โดย) ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุ เช่นความเกิดแห่งปกติ (ประพฤติ – มูลเดิม) และปุริส (อาตมัน) เป็นต้น ซึ่งเดียรถีย์กำหนดขึ้น ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" คำของเจ้าลัทธินั้นไม่ชอบ เพราะอะไร ? |
| |
'''ไม่มีพระสูตรอ้างและผิดต่อพระสูตร''' | # เพราะไม่มีพระสูตร (อ้าง) |
| # เพราะผิดต่อพระสูตร |
| # เพราะไม่เกิดความลึกซึ้งและนัย และ |
| # เพราะทำลายหลักภาษา (สัททเภท) |
| |
| ====ไม่มีพระสูตรอ้าง==== |
| |
จริงอยู่ พระสูตรว่า "กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น (ไม่มีเหตุ) ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" ดังนี้หามีไม่ และความผิดต่อปเทสวิหารสูตร (พระสูตรที่กล่าวถึงปเทสวิหารธรรม) ก็ต้อง (มี) ก็ผู้ที่กล่าวว่า กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้นนั้นชื่อว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นปฐมาภิสัมพุทธวิหาร (วิหารธรรมเมื่อแรกตรัสรู้) แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยบาลีว่า "ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาททั้งอนุโลมและปฏิโลมตลอดปฐมยามแห่งราตรี" ดังนี้ เป็นอาทิ อนึ่ง วิหารธรรมเป็นส่วนหนึ่งปฏจจสมุปบาทนั้น ชื่อว่าปเทสวิหารธรรม ดังที่ตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแรกตรัสรู้ พักผ่อนอยู่ด้วยวิหารธรรมใด เราพักผ่อนอยู่แล้วด้วยปเทส (ส่วนหนึ่ง) แห่งวิหารธรรมนั้น" ก็แลพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพักผ่อนอยู่ในปเทสวิหารธรรมนั้น ก็โดยทรง (พิจารณา) ดูปัจจยาการ (อาการแห่งปัจจยธรรม) หาใช่ทรง (พิจารณา) ดูกิริยาจักว่าความเกิดขึ้นไม่แล ดังที่ตรัสว่า "เรานั้นรู้ทั่วถึงอย่างนี้ว่า ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยคือมิจฉาทิฏฐิก็มี ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยคือสัมมาทิฏฐิก็มี ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยมิจฉาสังกัปปะก็มี ดังนี้เป็นต้น คำบาลีทั้งปวงบัณฑิตพึง (นำมากล่าว) ให้พิสดารเถิด ความผิดต่อปเทสวิหารสูตร ต้อง (มี) แก่ผู่กล่าวว่ากิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" ด้วยประการฉะนี้ | จริงอยู่ พระสูตรว่า "กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น (ไม่มีเหตุ) ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" ดังนี้หามีไม่ และความผิดต่อปเทสวิหารสูตร (พระสูตรที่กล่าวถึงปเทสวิหารธรรม) ก็ต้อง (มี) ก็ผู้ที่กล่าวว่า กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้นนั้นชื่อว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นปฐมาภิสัมพุทธวิหาร (วิหารธรรมเมื่อแรกตรัสรู้) แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยบาลีว่า "ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาททั้งอนุโลมและปฏิโลมตลอดปฐมยามแห่งราตรี" ดังนี้ เป็นอาทิ อนึ่ง วิหารธรรมเป็นส่วนหนึ่งปฏจจสมุปบาทนั้น ชื่อว่าปเทสวิหารธรรม ดังที่ตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแรกตรัสรู้ พักผ่อนอยู่ด้วยวิหารธรรมใด เราพักผ่อนอยู่แล้วด้วยปเทส (ส่วนหนึ่ง) แห่งวิหารธรรมนั้น" ก็แลพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพักผ่อนอยู่ในปเทสวิหารธรรมนั้น ก็โดยทรง (พิจารณา) ดูปัจจยาการ (อาการแห่งปัจจยธรรม) หาใช่ทรง (พิจารณา) ดูกิริยาจักว่าความเกิดขึ้นไม่แล ดังที่ตรัสว่า "เรานั้นรู้ทั่วถึงอย่างนี้ว่า ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยคือมิจฉาทิฏฐิก็มี ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยคือสัมมาทิฏฐิก็มี ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยมิจฉาสังกัปปะก็มี ดังนี้เป็นต้น คำบาลีทั้งปวงบัณฑิตพึง (นำมากล่าว) ให้พิสดารเถิด ความผิดต่อปเทสวิหารสูตร ต้อง (มี) แก่ผู่กล่าวว่ากิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" ด้วยประการฉะนี้ |
| |
| ====ผิดต่อพระสูตร==== |
| |
นัยเดียวกัน ผิดต่อกัจจานสูตรด้วย จริงอยู่ แม้ในกัจจานสูตรก็กล่าวว่า "ดูกรกัจจานะ อนึ่ง เมื่อบุคคลเห็นโลกสมุทัย (เหตุเกิดขึ้นแห่งโลก)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอยู่ | นัยเดียวกัน ผิดต่อกัจจานสูตรด้วย จริงอยู่ แม้ในกัจจานสูตรก็กล่าวว่า "ดูกรกัจจานะ อนึ่ง เมื่อบุคคลเห็นโลกสมุทัย (เหตุเกิดขึ้นแห่งโลก)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอยู่ |
นัตถิตา (ความเห็นว่าไม่มี เห็นว่าขาดสูญ) อันใดในโลก นัตถิตาอันนั้นย่อมไม่มี" ดังนี้ ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายอนุโลม ชื่อว่าโลกสมุทัย เพราะเป็นปัจจัยแห่งโลก เพราะฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายอนุโลมนั้น จึงเป็นธรรมที่ทรงประกาศเพื่อถอนอุจเฉททิฏฐิ มิใช่ทรงประกาศกิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น (เฉย ๆ) เหตุว่าความถอนอุจเฉททิฏฐิจะมีขึ้นด้วยการ (พิจารณา) เห็นแต่เพียงความเกิดขึ้นหาได้ไม่ แต่ย่อมมีได้ด้วยการ (พิจารณา) เห็นความสืบต่อกันแห่งปัจจัย เพราะความสืบต่อแห่งผลย่อมมีในเพราะความสืบต่อแห่งปัจจัยแล แม้ความผิดต่อกัจจานสูตรก็ต้อง (มี) แก่ผู้กล่าวว่า "กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท" ด้วยประการฉะนี้ | นัตถิตา (ความเห็นว่าไม่มี เห็นว่าขาดสูญ) อันใดในโลก นัตถิตาอันนั้นย่อมไม่มี" ดังนี้ ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายอนุโลม ชื่อว่าโลกสมุทัย เพราะเป็นปัจจัยแห่งโลก เพราะฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายอนุโลมนั้น จึงเป็นธรรมที่ทรงประกาศเพื่อถอนอุจเฉททิฏฐิ มิใช่ทรงประกาศกิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น (เฉย ๆ) เหตุว่าความถอนอุจเฉททิฏฐิจะมีขึ้นด้วยการ (พิจารณา) เห็นแต่เพียงความเกิดขึ้นหาได้ไม่ แต่ย่อมมีได้ด้วยการ (พิจารณา) เห็นความสืบต่อกันแห่งปัจจัย เพราะความสืบต่อแห่งผลย่อมมีในเพราะความสืบต่อแห่งปัจจัยแล แม้ความผิดต่อกัจจานสูตรก็ต้อง (มี) แก่ผู้กล่าวว่า "กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท" ด้วยประการฉะนี้ |
| |
==นิทานสูตร== | ====ไม่เกิดความลึกซึ้งและนัย==== |
| '''นิทานสูตร''' |
ข้อว่า '''"เพราะไม่เกิดความลึกซึ้งและนัย"''' ความว่า ก็แลคำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า[http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=16&siri=56 ตรัสไว้ว่า] "ดูกรอานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นธรรมลึกซึ้งทั้งอาการที่ปรากฏก็ลึกด้วย" ดังนี้ ก็อันความลึกซึ้ง (แห่งปฏิจจสมุปบาทนั้น) มี 4 ประการ ข้าพเจ้าทั้งหลายจักพรรณนาความลึกซึ้งนั้นข้างหน้า ความลึกซึ้งนั้นหามีในกิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้นไม่ | ข้อว่า '''"เพราะไม่เกิดความลึกซึ้งและนัย"''' ความว่า ก็แลคำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า[http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=16&siri=56 ตรัสไว้ว่า] "ดูกรอานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นธรรมลึกซึ้งทั้งอาการที่ปรากฏก็ลึกด้วย" ดังนี้ ก็อันความลึกซึ้ง (แห่งปฏิจจสมุปบาทนั้น) มี 4 ประการ ข้าพเจ้าทั้งหลายจักพรรณนาความลึกซึ้งนั้นข้างหน้า ความลึกซึ้งนั้นหามีในกิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้นไม่ |
| |
กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้นไม่เป็นปฏิจจสมุปบาท เพราะไม่เกิดความลึกซึ้งและนัย ดังกล่าวมาฉะนี้ ประการ 1 | กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้นไม่เป็นปฏิจจสมุปบาท เพราะไม่เกิดความลึกซึ้งและนัย ดังกล่าวมาฉะนี้ ประการ 1 |
| |
==ทุกขสูตร== | ====ทำลายหลักภาษา==== |
| |
ข้อว่า '''เพราะเป็นสัททเภท''' (ศัพท์แตก) "ความว่า ก็แล '''ปฏิจจ'''ศัพท์นี้ เพราะกัตตาเสมอกัน (คือหากมีกัตตาเดียวกันกับอุปปาท) ประกอบไว้ในบุพกาล (คือใช้เป็นบุพกาลกิริยา) จึงทำความสำเร็จแห่งอรรถได้ (คือได้ความเป็นภาษา) [http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=16&siri=39 เช่นกับพากย์นี้ว่า] '''"จกฺขุญจ ปฏิจฺจรูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณํ''' จักขุวิญญาณย่อมอาศัยจักษุและรูปเกิดขึ้น" แต่ใน | ข้อว่า '''เพราะทำลายหลักภาษา''' (สัททเภท) ความว่า ก็แล '''ปฏิจจ'''ศัพท์นี้ เพราะกัตตาเสมอกัน (คือหากมีกัตตาเดียวกันกับอุปปาท) ประกอบไว้ในบุพกาล (คือใช้เป็นบุพกาลกิริยา) จึงทำความสำเร็จแห่งอรรถได้ (คือได้ความเป็นภาษา) [http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=16&siri=39 เช่นกับพากย์นี้ว่า] '''"จกฺขุญจ ปฏิจฺจรูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณํ''' จักขุวิญญาณย่อมอาศัยจักษุและรูปเกิดขึ้น" แต่ใน |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 132)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 132)''</fs></sub> |
'''เหตุที่ทรงแสดงเช่นนี้''' | '''เหตุที่ทรงแสดงเช่นนี้''' |
| |
ถามว่า ก็เพาะเหตุไฉนจึงทรงแสดงอย่างนี้ ? แก้ว่า เพราะปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรม (สมันตภัทร) มีความงามรอบตัว และเพราะพระองค์เองก็ทรงถึงซึ่ง (เทสนาวิลาส) ความงามใน (กระบวน) เทศนาด้วย จริงอยู่ ปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมมีความงามรอบตัว จึงเป็นไปเพื่อแทงตลอดซึ่งธรรมที่ถูกต้อง เพราะ (กระบวน) เทศนานั้น ๆ โดยแท้ พระผู้มีพระภาคเล่าก็ทรงถึงซึ่งความงามใน (กระบวน) เทศนา เพราะทรงประกอบด้วยพระเวสารัชชญาณ 4 และพระปฏิสัมปิทาญาณ 4 และเพราะทรงถึงซึ่งพระคัมภีรภาพ 4 ประการด้วย เพราะทรงถึงซึ่งความงามใน (กระบวน) เทศนา พระองค์จึงทรงแสดงธรรมได้โดยนัยต่าง ๆ แท้ | ถามว่า ก็เพาะเหตุไฉนจึงทรงแสดงอย่างนี้ ? แก้ว่า เพราะปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรม (สมันตภัทร) มีความงามรอบตัว และเพราะพระองค์เองก็ทรงถึงซึ่ง (เทสนาวิลาส) ความงามใน (กระบวน) เทศนาด้วย จริงอยู่ ปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมมีความงามรอบตัว จึงเป็นไปเพื่อแทงตลอดซึ่งธรรมที่ถูกต้อง เพราะ (กระบวน) เทศนานั้น ๆ โดยแท้ พระผู้มีพระภาคเล่าก็ทรงถึงซึ่งความงามใน (กระบวน) เทศนา เพราะทรงประกอบด้วยพระเวสารัชชญาณ 4 และพระปฏิสัมภิทาญาณ 4 และเพราะทรงถึงซึ่งพระคัมภีรภาพ 4 ประการด้วย เพราะทรงถึงซึ่งความงามใน (กระบวน) เทศนา พระองค์จึงทรงแสดงธรรมได้โดยนัยต่าง ๆ แท้ |
| |
แต่ (เมื่อว่า) โดยความแปลกกัน (แห่งเทศนาทั้ง 4) '''อนุโลมเทศนา''' (การแสดงปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลม) ตั้งแต่ต้นไปอันใด อนุโลมเทศนานั้นบัณฑิตพึงทราบว่าเป็นไปแก่พระองค์ผู้ทรงพิจารณาเห็นเวไนยชนซึ่งยังเขลาอยู่ในการจำแนกเหตุแห่งปวัตติ (ความหมุนไป) ตามเหตุทั้งหลายที่เป็นของตน และเพื่อทรงชี้แจงลำดับแห่งความเกิดขึ้นด้วย | แต่ (เมื่อว่า) โดยความแปลกกัน (แห่งเทศนาทั้ง 4) '''อนุโลมเทศนา''' (การแสดงปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลม) ตั้งแต่ต้นไปอันใด อนุโลมเทศนานั้นบัณฑิตพึงทราบว่าเป็นไปแก่พระองค์ผู้ทรงพิจารณาเห็นเวไนยชนซึ่งยังเขลาอยู่ในการจำแนกเหตุแห่งปวัตติ (ความหมุนไป) ตามเหตุทั้งหลายที่เป็นของตน และเพื่อทรงชี้แจงลำดับแห่งความเกิดขึ้นด้วย |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 146)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 146)''</fs></sub> |
| |
อวิชชา มีความไม่รู้เป็นลักษณะ มีการทำให้หลงเป็นรส มีการปกปิด (เสียซึ่งสภาวะ) เป็นปัจจุปัฏฐาน มีอาสวะเป็นปทัฏฐาน | '''อวิชชา''' |
| # ลักษณะ คือ ไม่รู้(ไม่รู้เหตุผลแบบปฏิจจสมุปบาท 12 เป็นต้น) |
| # (กิจ)รส คือ ทำให้หลง(หลงเหตุผลแบบปฏิจจสมุปบาท 12 เป็นต้น((ผู้เรียบเรียบ: มุสฺสน-ขาดสติ มีกิจรสคือ ทำให้หลงลืมอารมณ์ของกุศล, สมฺโมห-ขาดปัญญา มีกิจรสคือ ทำให้หลงลืมเหตุผล,ในบาลีบางที่ใช้เป็นเววจนะกัน แต่ในเรื่องลักขณาทิจตุกกะนี้ อรรถกถาใช้ต่างกัน เพื่อแยกสภาวธรรม))) |
| # ปัจจุปัฏฐาน คือ ปกปิด (เหตุผลแบบปฏิจจสมุปบาท 12 เป็นต้น) |
| # ปทัฏฐาน คือ อาสวะ (กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ) |
| |
สังขาร มีการปรุงแต่งเป็นลักษณะ มีความพยายาม (เพื่อก่อปฏิสนธิ) เป็นรส มีเจตนาเป็นปัจจุปัฏฐาน มีอวิชชาเป็นปทัฏฐาน | สังขาร มีการปรุงแต่งเป็นลักษณะ มีความพยายาม (เพื่อก่อปฏิสนธิ) เป็นรส มีเจตนาเป็นปัจจุปัฏฐาน มีอวิชชาเป็นปทัฏฐาน |