ความแตกต่าง
นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น
Both sides previous revision Previous revision Next revision | Previous revision Next revision Both sides next revision | ||
วิสุทธิมรรค_17_ปัญญาภูมินิทเทส [2020/09/26 13:17] dhamma |
วิสุทธิมรรค_17_ปัญญาภูมินิทเทส [2020/09/26 13:21] dhamma |
||
---|---|---|---|
บรรทัด 65: | บรรทัด 65: | ||
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 130)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 130)''</fs></sub> | ||
- | '''ค้านความหมายปฏิจจสมุปบาทในลัทธิเดียรถีย์''' | + | ===ค้านปฏิจจสมุปบาทในลัทธิเดียรถีย์=== |
เจ้าลัทธิบางพวกกล่าวกิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น (เฉย ๆ ไม่มีเหตุ) ว่าเป็นปฏิจจสมุปบาท โดยนัยดังนี้ว่า "ความอิง (สิ่งต่าง ๆ) เกิดขึ้น และเกิดขึ้นอย่างถูกต้องด้วย (โดย) ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุ เช่นความเกิดแห่งปกติ (ประพฤติ – มูลเดิม) และปุริส (อาตมัน) เป็นต้น ซึ่งเดียรถีย์กำหนดขึ้น ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" คำของเจ้าลัทธินั้นไม่ชอบ เพราะอะไร ? | เจ้าลัทธิบางพวกกล่าวกิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น (เฉย ๆ ไม่มีเหตุ) ว่าเป็นปฏิจจสมุปบาท โดยนัยดังนี้ว่า "ความอิง (สิ่งต่าง ๆ) เกิดขึ้น และเกิดขึ้นอย่างถูกต้องด้วย (โดย) ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุ เช่นความเกิดแห่งปกติ (ประพฤติ – มูลเดิม) และปุริส (อาตมัน) เป็นต้น ซึ่งเดียรถีย์กำหนดขึ้น ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" คำของเจ้าลัทธินั้นไม่ชอบ เพราะอะไร ? | ||
บรรทัด 74: | บรรทัด 74: | ||
# เพราะทำลายหลักภาษา (สัททเภท) | # เพราะทำลายหลักภาษา (สัททเภท) | ||
- | ====ไม่มีพระสูตรอ้าง==== | + | ====เพราะไม่มีพระสูตรอ้าง==== |
จริงอยู่ พระสูตรว่า "กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น (ไม่มีเหตุ) ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" ดังนี้หามีไม่ และความผิดต่อปเทสวิหารสูตร (พระสูตรที่กล่าวถึงปเทสวิหารธรรม) ก็ต้อง (มี) ก็ผู้ที่กล่าวว่า กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้นนั้นชื่อว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นปฐมาภิสัมพุทธวิหาร (วิหารธรรมเมื่อแรกตรัสรู้) แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยบาลีว่า "ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาททั้งอนุโลมและปฏิโลมตลอดปฐมยามแห่งราตรี" ดังนี้ เป็นอาทิ อนึ่ง วิหารธรรมเป็นส่วนหนึ่งปฏจจสมุปบาทนั้น ชื่อว่าปเทสวิหารธรรม ดังที่ตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแรกตรัสรู้ พักผ่อนอยู่ด้วยวิหารธรรมใด เราพักผ่อนอยู่แล้วด้วยปเทส (ส่วนหนึ่ง) แห่งวิหารธรรมนั้น" ก็แลพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพักผ่อนอยู่ในปเทสวิหารธรรมนั้น ก็โดยทรง (พิจารณา) ดูปัจจยาการ (อาการแห่งปัจจยธรรม) หาใช่ทรง (พิจารณา) ดูกิริยาจักว่าความเกิดขึ้นไม่แล ดังที่ตรัสว่า "เรานั้นรู้ทั่วถึงอย่างนี้ว่า ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยคือมิจฉาทิฏฐิก็มี ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยคือสัมมาทิฏฐิก็มี ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยมิจฉาสังกัปปะก็มี ดังนี้เป็นต้น คำบาลีทั้งปวงบัณฑิตพึง (นำมากล่าว) ให้พิสดารเถิด ความผิดต่อปเทสวิหารสูตร ต้อง (มี) แก่ผู่กล่าวว่ากิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" ด้วยประการฉะนี้ | จริงอยู่ พระสูตรว่า "กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น (ไม่มีเหตุ) ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" ดังนี้หามีไม่ และความผิดต่อปเทสวิหารสูตร (พระสูตรที่กล่าวถึงปเทสวิหารธรรม) ก็ต้อง (มี) ก็ผู้ที่กล่าวว่า กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้นนั้นชื่อว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นปฐมาภิสัมพุทธวิหาร (วิหารธรรมเมื่อแรกตรัสรู้) แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยบาลีว่า "ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาททั้งอนุโลมและปฏิโลมตลอดปฐมยามแห่งราตรี" ดังนี้ เป็นอาทิ อนึ่ง วิหารธรรมเป็นส่วนหนึ่งปฏจจสมุปบาทนั้น ชื่อว่าปเทสวิหารธรรม ดังที่ตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแรกตรัสรู้ พักผ่อนอยู่ด้วยวิหารธรรมใด เราพักผ่อนอยู่แล้วด้วยปเทส (ส่วนหนึ่ง) แห่งวิหารธรรมนั้น" ก็แลพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพักผ่อนอยู่ในปเทสวิหารธรรมนั้น ก็โดยทรง (พิจารณา) ดูปัจจยาการ (อาการแห่งปัจจยธรรม) หาใช่ทรง (พิจารณา) ดูกิริยาจักว่าความเกิดขึ้นไม่แล ดังที่ตรัสว่า "เรานั้นรู้ทั่วถึงอย่างนี้ว่า ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยคือมิจฉาทิฏฐิก็มี ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยคือสัมมาทิฏฐิก็มี ความเสวยอารมณ์มีเพราะปัจจัยมิจฉาสังกัปปะก็มี ดังนี้เป็นต้น คำบาลีทั้งปวงบัณฑิตพึง (นำมากล่าว) ให้พิสดารเถิด ความผิดต่อปเทสวิหารสูตร ต้อง (มี) แก่ผู่กล่าวว่ากิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้น ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท" ด้วยประการฉะนี้ | ||
บรรทัด 94: | บรรทัด 94: | ||
กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้นไม่เป็นปฏิจจสมุปบาท เพราะไม่เกิดความลึกซึ้งและนัย ดังกล่าวมาฉะนี้ ประการ 1 | กิริยาเพียงแต่ความเกิดขึ้นไม่เป็นปฏิจจสมุปบาท เพราะไม่เกิดความลึกซึ้งและนัย ดังกล่าวมาฉะนี้ ประการ 1 | ||
- | ==ทุกขสูตร== | + | ====เพราะทำลายหลักภาษา==== |
- | ข้อว่า '''เพราะทำลายหลักภาษา''' สัททเภท ความว่า ก็แล '''ปฏิจจ'''ศัพท์นี้ เพราะกัตตาเสมอกัน (คือหากมีกัตตาเดียวกันกับอุปปาท) ประกอบไว้ในบุพกาล (คือใช้เป็นบุพกาลกิริยา) จึงทำความสำเร็จแห่งอรรถได้ (คือได้ความเป็นภาษา) [http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=16&siri=39 เช่นกับพากย์นี้ว่า] '''"จกฺขุญจ ปฏิจฺจรูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณํ''' จักขุวิญญาณย่อมอาศัยจักษุและรูปเกิดขึ้น" แต่ใน | + | ข้อว่า '''เพราะทำลายหลักภาษา''' (สัททเภท) ความว่า ก็แล '''ปฏิจจ'''ศัพท์นี้ เพราะกัตตาเสมอกัน (คือหากมีกัตตาเดียวกันกับอุปปาท) ประกอบไว้ในบุพกาล (คือใช้เป็นบุพกาลกิริยา) จึงทำความสำเร็จแห่งอรรถได้ (คือได้ความเป็นภาษา) [http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=16&siri=39 เช่นกับพากย์นี้ว่า] '''"จกฺขุญจ ปฏิจฺจรูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณํ''' จักขุวิญญาณย่อมอาศัยจักษุและรูปเกิดขึ้น" แต่ใน |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 132)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 132)''</fs></sub> |