ความแตกต่าง
นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น
Next revision | Previous revision | ||
วิสุทธิมรรค_13_อภิญญานิทเทส [2020/06/27 16:27] 127.0.0.1 แก้ไขภายนอก |
วิสุทธิมรรค_13_อภิญญานิทเทส [2021/01/02 20:14] (ฉบับปัจจุบัน) |
||
---|---|---|---|
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
- | {{wst>วสธมฉปส head| }} | + | {{template:วสธมฉปส head|}} |
- | {{wst>วสธมฉปส sidebar}} | + | {{template:ฉบับปรับสำนวน head|}} |
- | == อภิญญานิทเทส ปริจเฉทที่ 13 == | + | ''' อภิญญานิทเทส ปริจเฉทที่ 13 ''' |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 280)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 280)''</fs></sub> | ||
บรรทัด 9: | บรรทัด 9: | ||
บัดนี้ ถึงวาระแสดงเรื่องทิพพโสตธาตุต่อไป นักศึกษาพึงทราบความแห่งพระบาลี เป็นต้นว่า พระโยคีนั้นเมื่อมีจิตตั้งมั่นอย่างนี้ ดังในทิพพโสตธาตุนิทเทสนั้นก็ดี ในอภิญญา 3 ต่อนั้นไปก็ดี ด้วยความหมายดังที่กล่าวไว้แล้วในตอนว่าด้วยอิทธิวิธนิทเทสเถิด ในพระบาลีว่าด้วยเรื่องอภิญญาทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าจักขยายเฉพาะข้อความที่แปลกกันเท่านั้น | บัดนี้ ถึงวาระแสดงเรื่องทิพพโสตธาตุต่อไป นักศึกษาพึงทราบความแห่งพระบาลี เป็นต้นว่า พระโยคีนั้นเมื่อมีจิตตั้งมั่นอย่างนี้ ดังในทิพพโสตธาตุนิทเทสนั้นก็ดี ในอภิญญา 3 ต่อนั้นไปก็ดี ด้วยความหมายดังที่กล่าวไว้แล้วในตอนว่าด้วยอิทธิวิธนิทเทสเถิด ในพระบาลีว่าด้วยเรื่องอภิญญาทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าจักขยายเฉพาะข้อความที่แปลกกันเท่านั้น | ||
- | '''ทิพพโสตธาตุกถา''' | + | =ทิพพโสตธาตุกถา= |
บรรดาคำเหล่านั้น ในคำว่า ด้วยโสตธาตุอันเป็นทิพย์ นี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ | บรรดาคำเหล่านั้น ในคำว่า ด้วยโสตธาตุอันเป็นทิพย์ นี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ | ||
บรรทัด 25: | บรรทัด 25: | ||
จบทิพพโสตธาตุกถา | จบทิพพโสตธาตุกถา | ||
- | '''เจโตปริยญาณกถา''' | + | =เจโตปริยญาณกถา= |
คำว่า ด้วยเจโตปริยญาณ ในเจโตปริญาณกถานี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ ญาณชื่อว่า ปริยะ เพราะอรรถว่าไปรอบ อธิบายว่า ย่อมกำหนดด้วยญาณอันกำหนดใจของผู้อื่นได้ ชื่อว่า เจโตปริยะ ญาณนั้นด้วย กำหนดใจของผู้อื่นได้ด้วย เหตุนั้นชื่อว่า เจโตปริยญาณ อธิบายว่าเพื่อประโยชน์แก่เจโตปริยญาณนั้น คำว่า ของสัตว์อื่น คือของสัตว์พวกที่เหลือ เว้นตนเสีย แม้คำว่า แห่งบุคคลอื่นนี้ ก็มีความหมายเป็นอันเดียวกันกับบทว่าของสัตว์พวกอื่นนี้เหมือนกัน แต่ที่ท่านทำพยัญชนะให้ต่างกัน ก็ด้วยอำนาจแห่งเวไนยสัตว์และด้วยความไพเราะแห่งเทศนา คำว่า กำหนดใจด้วยใจ คือ กำหนดใจเหล่านั้นของสัตว์ด้วยใจของตนเอง คำว่า รู้ชัด คือรู้ทุกสิ่งทุกประการ ด้วยอำนาจแห่งสัตว์ผู้มีราคะเป็นต้น | คำว่า ด้วยเจโตปริยญาณ ในเจโตปริญาณกถานี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ ญาณชื่อว่า ปริยะ เพราะอรรถว่าไปรอบ อธิบายว่า ย่อมกำหนดด้วยญาณอันกำหนดใจของผู้อื่นได้ ชื่อว่า เจโตปริยะ ญาณนั้นด้วย กำหนดใจของผู้อื่นได้ด้วย เหตุนั้นชื่อว่า เจโตปริยญาณ อธิบายว่าเพื่อประโยชน์แก่เจโตปริยญาณนั้น คำว่า ของสัตว์อื่น คือของสัตว์พวกที่เหลือ เว้นตนเสีย แม้คำว่า แห่งบุคคลอื่นนี้ ก็มีความหมายเป็นอันเดียวกันกับบทว่าของสัตว์พวกอื่นนี้เหมือนกัน แต่ที่ท่านทำพยัญชนะให้ต่างกัน ก็ด้วยอำนาจแห่งเวไนยสัตว์และด้วยความไพเราะแห่งเทศนา คำว่า กำหนดใจด้วยใจ คือ กำหนดใจเหล่านั้นของสัตว์ด้วยใจของตนเอง คำว่า รู้ชัด คือรู้ทุกสิ่งทุกประการ ด้วยอำนาจแห่งสัตว์ผู้มีราคะเป็นต้น | ||
บรรทัด 45: | บรรทัด 45: | ||
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 284)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 284)''</fs></sub> | ||
- | '''ปุพเพนิวาสานุสสติญาณกถา''' | + | =ปุพเพนิวาสานุสสติญาณกถา= |
นักศึกษาพึงทราบวินิจฉัยใน ปุพเพนิวาสานุสสติญาณกถา ดังต่อไปนี้ คำว่า เพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณกถา นี้คือเพื่อประโยชน์แก่ญาณในการนึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยมาในกาลก่อน ที่ชื่อว่า ขันธ์ที่เคยอาศัยมาในกาลก่อน ก็คือขันธ์ที่เคยอยู่ครอบครองในกาลก่อน ได้แก่ชาติที่ล่วงไปแล้วนับไม่ถ้วน คำว่า อยู่ครอง คือ ที่ตนได้เคยครอบครองมา ที่ตนได้เคยเสวยผลมา ได้แก่ที่เกิดดับในสันดานของตน หรืออาการต่าง ๆ ที่อาศัยขันธ์ คำว่า อยู่ครอบครอง คือ อยู่ประจำโดยการอยู่อาศัยเป็นโคจร ได้แก่ที่กำหนดรู้ชัดด้วยวิญญาณของตน หรือ ที่กำหนดรู้ชัดได้ด้วยวิญญาณของผู้อื่น ในเวลาที่อนุสรณ์ถึงท่านผู้ตัดขาดวัฏสงสารถึงนิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้นจึงจะมีนิวุฏฐธรรมเหล่านั้นได้ คำว่า นึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยมาในกาลก่อน คือ พระโยคีนึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยมาในกาลก่อนได้ด้วยสติใด สตินั้นชื่อว่า ปุพเพนิวาสานุสสติ ญาณอันสัมปยุตด้วยสตินั้นชื่อว่า ญาณ เพื่อประโยชน์แก่ญาณอันสัมปยุตด้วยสติ นึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยมาในกาลก่อนนี้ดังบรรยายมานี้ มีอธิบายว่า เพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือเพื่อการบรรลุถึงซึ่งญาณนี้ คำว่า มิใช่อย่างเดียว คือหลายอย่าง หรือที่ท่านให้เป็นไป คือพรรณนาได้หลายอย่าง คำว่า ขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยมาในกาลก่อน คือ สันดานที่ตนเคยอาศัยอยู่อาศัยครอบครองในภพนั้น ๆ ตั้งต้นแต่ภพที่เป็นอดีตล่วงมานี่เอง คำว่า นึกได้ คือระลึกย้อนไปตามลำดับแห่งขันธ์ หรือว่าตามลำดับจุติและปฏิสนธิ | นักศึกษาพึงทราบวินิจฉัยใน ปุพเพนิวาสานุสสติญาณกถา ดังต่อไปนี้ คำว่า เพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณกถา นี้คือเพื่อประโยชน์แก่ญาณในการนึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยมาในกาลก่อน ที่ชื่อว่า ขันธ์ที่เคยอาศัยมาในกาลก่อน ก็คือขันธ์ที่เคยอยู่ครอบครองในกาลก่อน ได้แก่ชาติที่ล่วงไปแล้วนับไม่ถ้วน คำว่า อยู่ครอง คือ ที่ตนได้เคยครอบครองมา ที่ตนได้เคยเสวยผลมา ได้แก่ที่เกิดดับในสันดานของตน หรืออาการต่าง ๆ ที่อาศัยขันธ์ คำว่า อยู่ครอบครอง คือ อยู่ประจำโดยการอยู่อาศัยเป็นโคจร ได้แก่ที่กำหนดรู้ชัดด้วยวิญญาณของตน หรือ ที่กำหนดรู้ชัดได้ด้วยวิญญาณของผู้อื่น ในเวลาที่อนุสรณ์ถึงท่านผู้ตัดขาดวัฏสงสารถึงนิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้นจึงจะมีนิวุฏฐธรรมเหล่านั้นได้ คำว่า นึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยมาในกาลก่อน คือ พระโยคีนึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยมาในกาลก่อนได้ด้วยสติใด สตินั้นชื่อว่า ปุพเพนิวาสานุสสติ ญาณอันสัมปยุตด้วยสตินั้นชื่อว่า ญาณ เพื่อประโยชน์แก่ญาณอันสัมปยุตด้วยสติ นึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยมาในกาลก่อนนี้ดังบรรยายมานี้ มีอธิบายว่า เพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือเพื่อการบรรลุถึงซึ่งญาณนี้ คำว่า มิใช่อย่างเดียว คือหลายอย่าง หรือที่ท่านให้เป็นไป คือพรรณนาได้หลายอย่าง คำว่า ขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยมาในกาลก่อน คือ สันดานที่ตนเคยอาศัยอยู่อาศัยครอบครองในภพนั้น ๆ ตั้งต้นแต่ภพที่เป็นอดีตล่วงมานี่เอง คำว่า นึกได้ คือระลึกย้อนไปตามลำดับแห่งขันธ์ หรือว่าตามลำดับจุติและปฏิสนธิ | ||
บรรทัด 177: | บรรทัด 177: | ||
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 299)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 299)''</fs></sub> | ||
- | '''จุตูปปาตญาณกถา''' | + | =จุตูปปาตญาณกถา= |
เนื้อความในเรื่องความรู้ในจุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลายนักศึกษาพึงทราบดังต่อไปนี้ คำว่า เพื่อจุตูปปาตญาณ คือ เพื่อรู้การตายและการเกิด อธิบายว่า จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลายที่พระโยคีรู้ได้ด้วยญาณใด ก็น้อมนำจิตเข้าไปเพื่อญาณนั้น คือ เพื่อทิพยจักษุญาณ คำว่า น้อมนำจิต คือ นำเข้าไปเฉพาะ ได้แก่นำบริกรรมจิตมุ่งเข้าไป คำว่า นั้น คือ ภิกษุผู้มีการนำจิตมุ่งไปได้ทำแล้วนั้น ก็ในคำว่า เป็นทิพย์เป็นต้น มีอธิบายว่า ชื่อว่าเป็นทิพย์เพราะเป็นเหมือนของทิพย์ คือปสาทจักษุของพวกเทพเจ้าซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจสุจริตกรรม มิได้เกลือกกลั้วด้วยดี, เสมหะ, เลือดเป็นต้น สามารถจะรับอารมณ์แม้ในที่ไกล ๆ ได้ เพราะพ้นจากอุปกิเลส เป็นปสาทจักษุทิพย์ แม้ญาณจักษุนี้ของภิกษุนั้นบังเกิดได้ด้วยกำลังแห่งวิริยภาวนา เช่นเดียวกับปสาทจักษุนั้น เหตุนั้น จึงชื่อว่าเป็นทิพย์ เพราะเหมือนของทิพย์ อนึ่ง ชื่อว่า เป็นทิพย์ เพราะได้ด้วยอำนาจทิพพวิหารและเพราะตนได้อาศัยทิพพวิหาร ชื่อว่า เป็นทิพย์ แม้เพราะเหตุที่สว่างไสวมากด้วยการกำหนดถือด้วยอาโลกกสิณ ชื่อว่า เป็นทิพย์ แม้เพราะเหตุที่มีภูมิที่ไปได้มาก เพราะเห็นรูปที่อยู่ในภายนอกฝาเป็นต้นได้ชัดเจน ข้อความนั้นทั้งหมดนักศึกษาพึงทราบตามแนวแห่งคัมภีร์ศัพทศาสตร์นั้นเถิด ญาณนั้นชื่อว่าจักษุ เพราะอรรถว่าเห็น อนึ่ง ชื่อว่าจักษุ เพราะเป็นดังตาเหตุทำหน้าที่ของตา จักษุนั้นจัดว่าหมดจดเพราะเป็นเหตุแห่งทิฏฐิวิสุทธิด้วยการเห็นได้ทั้งจุติทั้งอุปบัติ เพราะว่าผู้ใดเห็นแต่จุติอย่างเดียวไม่เห็นอุปบัติ ผู้นั้นย่อมยึดมั่นอุจเฉททิฏฐิ ผู้ใดเห็นแต่อุบัติอย่างเดียวไม่เห็นจุติ ผู้นั้นย่อมยึดมั่นสัสสตทิฏฐิ เพราะความเกิดปรากฏขึ้นแห่งสัตว์ใหม่ ส่วนผู้ใดเห็นทั้ง 2 อย่าง ผู้นั้นย่อมล่วงพ้นจากทิฏฐิ 2 อย่างนั้นเสียได้ เหตุนั้นความเห็นของผู้นั้นจึงเป็นเหตุแห่งทิฏฐิวิสุทธิ | เนื้อความในเรื่องความรู้ในจุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลายนักศึกษาพึงทราบดังต่อไปนี้ คำว่า เพื่อจุตูปปาตญาณ คือ เพื่อรู้การตายและการเกิด อธิบายว่า จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลายที่พระโยคีรู้ได้ด้วยญาณใด ก็น้อมนำจิตเข้าไปเพื่อญาณนั้น คือ เพื่อทิพยจักษุญาณ คำว่า น้อมนำจิต คือ นำเข้าไปเฉพาะ ได้แก่นำบริกรรมจิตมุ่งเข้าไป คำว่า นั้น คือ ภิกษุผู้มีการนำจิตมุ่งไปได้ทำแล้วนั้น ก็ในคำว่า เป็นทิพย์เป็นต้น มีอธิบายว่า ชื่อว่าเป็นทิพย์เพราะเป็นเหมือนของทิพย์ คือปสาทจักษุของพวกเทพเจ้าซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจสุจริตกรรม มิได้เกลือกกลั้วด้วยดี, เสมหะ, เลือดเป็นต้น สามารถจะรับอารมณ์แม้ในที่ไกล ๆ ได้ เพราะพ้นจากอุปกิเลส เป็นปสาทจักษุทิพย์ แม้ญาณจักษุนี้ของภิกษุนั้นบังเกิดได้ด้วยกำลังแห่งวิริยภาวนา เช่นเดียวกับปสาทจักษุนั้น เหตุนั้น จึงชื่อว่าเป็นทิพย์ เพราะเหมือนของทิพย์ อนึ่ง ชื่อว่า เป็นทิพย์ เพราะได้ด้วยอำนาจทิพพวิหารและเพราะตนได้อาศัยทิพพวิหาร ชื่อว่า เป็นทิพย์ แม้เพราะเหตุที่สว่างไสวมากด้วยการกำหนดถือด้วยอาโลกกสิณ ชื่อว่า เป็นทิพย์ แม้เพราะเหตุที่มีภูมิที่ไปได้มาก เพราะเห็นรูปที่อยู่ในภายนอกฝาเป็นต้นได้ชัดเจน ข้อความนั้นทั้งหมดนักศึกษาพึงทราบตามแนวแห่งคัมภีร์ศัพทศาสตร์นั้นเถิด ญาณนั้นชื่อว่าจักษุ เพราะอรรถว่าเห็น อนึ่ง ชื่อว่าจักษุ เพราะเป็นดังตาเหตุทำหน้าที่ของตา จักษุนั้นจัดว่าหมดจดเพราะเป็นเหตุแห่งทิฏฐิวิสุทธิด้วยการเห็นได้ทั้งจุติทั้งอุปบัติ เพราะว่าผู้ใดเห็นแต่จุติอย่างเดียวไม่เห็นอุปบัติ ผู้นั้นย่อมยึดมั่นอุจเฉททิฏฐิ ผู้ใดเห็นแต่อุบัติอย่างเดียวไม่เห็นจุติ ผู้นั้นย่อมยึดมั่นสัสสตทิฏฐิ เพราะความเกิดปรากฏขึ้นแห่งสัตว์ใหม่ ส่วนผู้ใดเห็นทั้ง 2 อย่าง ผู้นั้นย่อมล่วงพ้นจากทิฏฐิ 2 อย่างนั้นเสียได้ เหตุนั้นความเห็นของผู้นั้นจึงเป็นเหตุแห่งทิฏฐิวิสุทธิ | ||
บรรทัด 227: | บรรทัด 227: | ||
จบ จุตูปปาตญาณกถา | จบ จุตูปปาตญาณกถา | ||
- | '''ความเบ็ดเตล็ดในอภิญญา''' | + | =ความเบ็ดเตล็ดในอภิญญา= |
พระโลกนาถเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งขันธ์ 5 ได้ทรงตรัสอภิญญา 5 เหล่าใดไว้ พระโยคีเข้าใจอภิญญาเหล่านั้น แล้วพึงทราบถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดในอภิญญาเหล่านี้ ดังต่อไปนี้ | พระโลกนาถเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งขันธ์ 5 ได้ทรงตรัสอภิญญา 5 เหล่าใดไว้ พระโยคีเข้าใจอภิญญาเหล่านั้น แล้วพึงทราบถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดในอภิญญาเหล่านี้ ดังต่อไปนี้ | ||
บรรทัด 257: | บรรทัด 257: | ||
ความเป็นไปแห่งอิทธิวิธญาณในอารมณ์ 7 อย่าง พึงทราบดังได้พรรณนามานี้แล | ความเป็นไปแห่งอิทธิวิธญาณในอารมณ์ 7 อย่าง พึงทราบดังได้พรรณนามานี้แล | ||
- | '''ทิพพโสตธาตุญาณ''' | + | =ทิพพโสตธาตุญาณ''' |
ทิพพโสตธาตุญาณย่อมเป็นในอารมณ์ 4 ด้วยอำนาจ ปริตตารมณ์ 1 ปัจจุปันนารมณ์ 1 อัชฌัตตารมณ์ 1 พหิทธารมณ์ 1 เป็นอย่างไร ? คือ ทิพพโสตธาตุญาณนั้นเป็นปริตตารมณ์ ได้แก่มีอารมณ์เป็นกามาวจร เพราะเหตุทำเสียงให้เป็นอารมณ์ และเพราะเหตุว่าเสียงเป็นปริตตะคือกามาวจร และชื่อว่าเป็นปัจจุปันนารมณ์เฉพาะที่ทำปัจจุบันให้เป็นอารมณ์แล้วเป็นไป ทิพพโสตธาตุญาณนั้นชื่อว่าเป็นอัชฌัตตารมณ์ ในเวลาฟังเสียงในท้องของตน ชื่อว่าเป็นพหิทธารมณ์ในเวลาฟังเสียงของผู้อื่น | ทิพพโสตธาตุญาณย่อมเป็นในอารมณ์ 4 ด้วยอำนาจ ปริตตารมณ์ 1 ปัจจุปันนารมณ์ 1 อัชฌัตตารมณ์ 1 พหิทธารมณ์ 1 เป็นอย่างไร ? คือ ทิพพโสตธาตุญาณนั้นเป็นปริตตารมณ์ ได้แก่มีอารมณ์เป็นกามาวจร เพราะเหตุทำเสียงให้เป็นอารมณ์ และเพราะเหตุว่าเสียงเป็นปริตตะคือกามาวจร และชื่อว่าเป็นปัจจุปันนารมณ์เฉพาะที่ทำปัจจุบันให้เป็นอารมณ์แล้วเป็นไป ทิพพโสตธาตุญาณนั้นชื่อว่าเป็นอัชฌัตตารมณ์ ในเวลาฟังเสียงในท้องของตน ชื่อว่าเป็นพหิทธารมณ์ในเวลาฟังเสียงของผู้อื่น |