วิสุทธิมรรค_08_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

ลิงค์ไปยังการเปรียบเทียบนี้

การแก้ไขก่อนหน้าทั้งสองฝั่ง การแก้ไขก่อนหน้า
การแก้ไขถัดไป
การแก้ไขก่อนหน้า
วิสุทธิมรรค_08_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส [2020/10/29 21:23] – [คำบริกรรมกรรมฐาน] dhammaวิสุทธิมรรค_08_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส [2021/01/02 13:14] (ฉบับปัจจุบัน) – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
-{{wst>วสธมฉปส head| }} +{{template:วสธมฉปส head| }} 
-{{wst>วสธมฉปส sidebar}}+{{template:บับรับำนวน head|}}
 =มรณานุสสติกถา= =มรณานุสสติกถา=
  
บรรทัด 257: บรรทัด 257:
 *พระพุทธโฆสาจารย์จะบอกว่า คำว่ากายคตาสติในพระสูตรทั่วไป คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 14 บรรพะ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในกายคตาสติสูตร. แต่คำว่ากายคตาสติในที่นี้ มุ่งหมายเอาเฉพาะปฏิกูลมนสิการบรรพะ 1 บรรพะเท่านั้น ส่วนอีก 13 บรรพะนั้น บางบรรพะท่านได้อธิบายไปในลำดับก่อนๆ แล้ว และบางบรรพะก็ยังไม่ถึงลำดับที่จะอธิบาย. *พระพุทธโฆสาจารย์จะบอกว่า คำว่ากายคตาสติในพระสูตรทั่วไป คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 14 บรรพะ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในกายคตาสติสูตร. แต่คำว่ากายคตาสติในที่นี้ มุ่งหมายเอาเฉพาะปฏิกูลมนสิการบรรพะ 1 บรรพะเท่านั้น ส่วนอีก 13 บรรพะนั้น บางบรรพะท่านได้อธิบายไปในลำดับก่อนๆ แล้ว และบางบรรพะก็ยังไม่ถึงลำดับที่จะอธิบาย.
  
-*ท่านกล่าวว่า "อิริยาถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะตรัสไว้เป็นวิปัสสนา" ท่านกล่ตามมหาอรรถกถของ[[มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน|มหาสติปัฏฐานสูตร]] ซึ่งตานิทานของสูตรนี้ '''ตรัสกับผู้ทีทำกรรมฐานมาก่อนแล้ว''' จึงสามารถทำวิปัสสนาทั้งนกรรมฐานที่ำนาญแล้ว ทั้งในอิริยาบถ 4 และทั้งในฐานะ 7 ได้โดยไมยาก. แต่เมื่อว่าตามคำอธิบายบทว่า "วิหติ" ในปฏิัมภิทามรค สติปัฏฐนกถา, และเมื่อว่าตามสีหวิกกีฬิตนัยของ[[กายคตาสติสูตร_ฉบับปรับสำนวน|กายคตาสติสูตร]] ซึ่งตามนิทานขอสูตรนี้'''ตรัสกับผู้เพิ่งเิ่มทำกรรมฐาน'''ไวนั้น  อิริยบถบรรพะแะสมปชัญญะบรรพะ ็คือบทว่า"วิหรติ"นั่นเอง ซึ่งบทว่"วิหรติ"นี้ต้องโยคตามไปในทุกกรรมฐานด้วย. กล่าวคือ ทำกรรมฐานแ่ละกองๆ ในทุกอิริยาบถ 4 และทุกฐานะ 7 ก่อน พอได้ฌานเป็นีตาที่ตรสไวยคตาสติสูตรแล้ว ก็ทำวิปัสสาในทุกๆ กรรมฐน ในทุกอิริยาบถ 4 แะทุฐานะ 7 ีกทีหนึ่ตามมหาสติปัฏฐานสูตรต่ไป. รายละเอียดให้ท่องจำบาลีของพระสูรนั้นๆ ให้ชำนาญ วิเคราะห์ามหักเนตติปกรณ์แล้ว จึง่านคำอธิบาในลิงก์ที่ข้าเจ้ทำไว้นั้นเถิด.+*ท่ว่า "1.อิริยาถบรรพะ 2.จตุสัมปชัญญบรรพะ 3.ธาตุมนสิการบรรพะ ทรงตรัสไว้ด้วยอำาจวิปัสสนา" นี้ ท่านหมายเอาตามโคงสาง[[มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน|มหาสติปัฏฐานสูตร]] ม่ใช่ตามครสรของ[[กายคตาสติสูตร_ฉบับปรับสำนวน|กายคตาสติสูตร]] เพราะโคงสร้างหลักองายคตาติสูตรเป็นสมถะถึงขั้นน 4 วิชชา วนโคงสงหองมหาสติปัฏฐานสูตร คือตั้งแ่พลวอุทพยญณขึ้นไป.
  
 +*ท่านกล่าวว่า "อิริยาบถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะตรัสไว้เป็นวิปัสสนา" ท่านกล่าวตามมหาอรรถกถาของ[[มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน|มหาสติปัฏฐานสูตร]] ซึ่งตามนิทานของสูตรนี้ '''ตรัสกับผู้ที่ทำกรรมฐานมาก่อนแล้ว''' จึงสามารถทำวิปัสสนาทั้งในกรรมฐานที่ชำนาญแล้ว ทั้งในอิริยาบถ 4 และทั้งในฐานะ 7 ได้โดยไม่ยาก. แต่เมื่อว่าตามคำอธิบายบทว่า "วิหรติ" ในปฏิสัมภิทามรรค สติปัฏฐานกถา, และเมื่อว่าตามสีหวิกกีฬิตนัยของ[[กายคตาสติสูตร_ฉบับปรับสำนวน|กายคตาสติสูตร]] ซึ่งตามนิทานขอสูตรนี้'''ตรัสกับผู้เพิ่งเริ่มทำกรรมฐาน'''ไว้นั้น  อิริยาบถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะ ก็คือบทว่า"วิหรติ"นั่นเอง ซึ่งบทว่า"วิหรติ"นี้ต้องโยคตามไปในทุกกรรมฐานด้วย. กล่าวคือ ทำกรรมฐานแต่ละกองๆ ในทุกอิริยาบถ 4 และทุกฐานะ 7 ก่อน พอได้ฌานเป็นวสีตามที่ตรัสไว้ในกายคตาสติสูตรแล้ว ก็ทำวิปัสสนาในทุกๆ กรรมฐาน ในทุกอิริยาบถ 4 และทุกฐานะ 7 อีกทีหนึ่งตามมหาสติปัฏฐานสูตรต่อไป. รายละเอียดให้ท่องจำบาลีของพระสูตรนั้นๆ ให้ชำนาญ วิเคราะห์ตามหลักเนตติปกรณ์แล้ว จึงอ่านคำอธิบายในลิงก์ที่ข้าพเจ้าทำไว้นั้นเถิด.
 ==อธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน== ==อธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน==
 พึงทราบการแสดงวิธีเจริญในกายคตาสตินั้น  มีการพรรณนาตามบาลีเป็นหลักดังต่อไปนี้ – พึงทราบการแสดงวิธีเจริญในกายคตาสตินั้น  มีการพรรณนาตามบาลีเป็นหลักดังต่อไปนี้ –
บรรทัด 269: บรรทัด 270:
 ==วิธีภาวนากายคตาสติกัมมัฏฐาน== ==วิธีภาวนากายคตาสติกัมมัฏฐาน==
  
-ก็กุลบุตรผู้ริเริ่มบำเพ็ญเพียรใคร่จะเจริญกัมมัฏฐานนี้  พึงเข้าไปหากัลยาณมิตรด้วยวิธีการที่ข้าพเจ้าบอกไว้แล้วในกัมมัฏฐานคหณนิทเทส แล้วท่องจำเอากัมมัฏฐานนี้เถิด  ฝ่ายอาจารย์นั้น  เมื่อจะบอกกัมมัฏฐานพึงบอกอุคคหโกสัลละโดยอาการ 7  และมนสิการโกสัลละโดยส่วน 10+ก็กุลบุตรผู้ริเริ่มบำเพ็ญเพียรใคร่จะเจริญกัมมัฏฐานนี้  [[วิสุทธิมรรค_03_กัมมัฏฐานคหณนิทเทส#คุณสมบัติอาจารย์กัมมัฏฐานที่เป็นกัลยาณมิตร|พึงเข้าไปหากัลยาณมิตร(อาจารย์)ด้วยวิธีการที่ข้าพเจ้าบอกไว้แล้วในกัมมัฏฐานคหณนิทเทส]] แล้วท่องจำเอากัมมัฏฐานนี้เถิด  ฝ่ายอาจารย์นั้น  เมื่อจะบอกกัมมัฏฐานพึงบอกอุคคหโกสัลละโดยอาการ 7  และมนสิการโกสัลละโดยส่วน 10
  
 ===อุคคหโกสัลละ 7=== ===อุคคหโกสัลละ 7===
บรรทัด 278: บรรทัด 279:
  
 ก็ในกัมมัฏฐานที่ต้องมนสิการโดยเป็นสิ่งปฏิกูลนี้  พระโยคาวจรถึงแม้จะทรงพระไตรปิฏก  ในการมนสิการก็ควรทำการสาธยายด้วยวาจาก่อน  เพราะพระโยคาวจรบางท่าน  เพียงทำการสาธยายเท่านั้น  กัมมัฏฐานก็ย่อมปรากฏ  เหมือนพระเถระ 2 รูปผู้เรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักของพระมหาเทวเถระผู้อยู่ในมลยวิหาร  เล่ากันมาว่า  พระเถระอันท่านทั้ง 2  นั้นขอกัมมัฏฐานแล้ว  ได้ให้คำบาลีในอาการ 32  โดยสั่งว่า  ท่านจงทำการสาธยายข้อนี้แหละตลอด 4  เดือน  ก็ท่านทั้ง 2  นั้นแม้ถึงท่านจะชำนาญตั้ง 2 – 3  นิกายนี้ก็จริงแล  แต่เพราะเหตุที่ท่านเป็นผู้มีปกติรับโอวาทโดยเบื้องขวา  จึงหมั่นสาธยายในอาการ 32  ตลอด 4 เดือน  ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว  เพราะฉะนั้น  อาจารย์เมื่อจะบอกกัมมัฏฐาน  จึงควรบอกอันเตวาสิกว่า  ชั้นต้นจงสาธยายด้วยวาจาเป็นอันดับแรก ก็ในกัมมัฏฐานที่ต้องมนสิการโดยเป็นสิ่งปฏิกูลนี้  พระโยคาวจรถึงแม้จะทรงพระไตรปิฏก  ในการมนสิการก็ควรทำการสาธยายด้วยวาจาก่อน  เพราะพระโยคาวจรบางท่าน  เพียงทำการสาธยายเท่านั้น  กัมมัฏฐานก็ย่อมปรากฏ  เหมือนพระเถระ 2 รูปผู้เรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักของพระมหาเทวเถระผู้อยู่ในมลยวิหาร  เล่ากันมาว่า  พระเถระอันท่านทั้ง 2  นั้นขอกัมมัฏฐานแล้ว  ได้ให้คำบาลีในอาการ 32  โดยสั่งว่า  ท่านจงทำการสาธยายข้อนี้แหละตลอด 4  เดือน  ก็ท่านทั้ง 2  นั้นแม้ถึงท่านจะชำนาญตั้ง 2 – 3  นิกายนี้ก็จริงแล  แต่เพราะเหตุที่ท่านเป็นผู้มีปกติรับโอวาทโดยเบื้องขวา  จึงหมั่นสาธยายในอาการ 32  ตลอด 4 เดือน  ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว  เพราะฉะนั้น  อาจารย์เมื่อจะบอกกัมมัฏฐาน  จึงควรบอกอันเตวาสิกว่า  ชั้นต้นจงสาธยายด้วยวาจาเป็นอันดับแรก
 +
 +(ผู้ปรับสำนวน: ที่ท่านผู้ทรงจำนิกายทั้งสองบรรลุด้วยการสาธยายนั้น เพราะธรรมดาผู้ทรงจำนิกายย่อมเข้าใจหลักเนตติปกรณ์ ซึ่งว่าโดยย่อก็คือ[[วิสุทธิมรรค_03_กัมมัฏฐานคหณนิทเทส#โยคีบุคคลต้องจำให้แม่นยำ|วิธีท่องจำผูกใจในกรรมฐานที่ท่านกล่าวไว้ในกัมมัฏฐานคหณนิทเทส]]แล้วนั่นเองว่า "ก็แหละ เมื่ออาจารย์สอนกัมมัฏฐานให้อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ โยคีบุคคลนั้นพึงตั้งใจฟัง เพื่อท่องจำเอานิมิตนั้นให้ได้ คือ เอาอาการ 9 อย่างนั้นแต่ละอย่างๆ มาผูกไว้ในใจอย่างนี้ว่า "คำนี้เป็นบทหลัง, คำนี้เป็นบทหน้า, ความหมายของบทนั้นๆ เป็นอย่างนี้, จุดมุ่งหมายของบทนั้นเป็นอย่างนี้, และบทนี้เป็นคำอุปมาอุปไมย" (จดจำได้ชำนาญนึกหัวถึงท้าย นึกท้ายถึงหัว เหมือนในบทธรรมคุณข้อว่า ความงาม 3 ของปริยัติธรรม ได้แสดงไว้), ฉะนั้น ท่านทั้งสองจึงบรรลุได้ในขณะสาธยาย.)"
  
 <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 18)''</fs></sub> <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 18)''</fs></sub>