การแก้ไขก่อนหน้าทั้งสองฝั่ง การแก้ไขก่อนหน้า การแก้ไขถัดไป | การแก้ไขก่อนหน้า |
วิสุทธิมรรค_07_ฉอนุสสตินิทเทส [2020/07/08 08:25] – [1. อธิบายบท อรหํ] dhamma | วิสุทธิมรรค_07_ฉอนุสสตินิทเทส [2021/01/02 13:14] (ฉบับปัจจุบัน) – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 |
---|
{{wst>วสธมฉปส head| }} | {{template:วสธมฉปส head| }} |
{{wst>วสธมฉปส sidebar}} | {{template:ฉบับปรับสำนวน head|}} |
=อนุสสติ 10 ประการ= | =อนุสสติ 10 ประการ= |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 330)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 330)''</fs></sub> |
| |
8. สภาพรู้รูปกายต่างๆ มีผมเป็นต้น หรือสภาพรู้ในกาย ชื่อว่า กายคตา ((เย คตฺยตฺถา เต พุทฺธฺยตฺถา ปวตฺติปาปุณตฺถกา. ([[ธาตฺวตฺถสงฺคห]]. ๑๙))). กายคตานั้นด้วย สติด้วย ชื่อว่า กายคตสติ แทนที่ท่านจะกล่าวว่า กายคตสติ กลับกล่าวเสียว่า [[กายคตาสติ]] เพราะไม่ทำ[[รัสสะ]]. คำนี้เป็นชื่อของสติ อันมีนิมิตคือชิ้นส่วนของกายมีผมเป็นต้นเป็นอารมณ์. | 8. สภาพรู้รูปกายต่างๆ มีผมเป็นต้น หรือสภาพรู้ในกาย ชื่อว่า กายคตา ((เย คตฺยตฺถา เต พุทฺธฺยตฺถา ปวตฺติปาปุณตฺถกา. ([[ธาตฺวตฺถสงฺคห]]. ๑๙) )). กายคตานั้นด้วย สติด้วย ชื่อว่า กายคตสติ แทนที่ท่านจะกล่าวว่า กายคตสติ กลับกล่าวเสียว่า [[กายคตาสติ]] เพราะไม่ทำ[[รัสสะ]]. คำนี้เป็นชื่อของสติ อันมีนิมิตคือชิ้นส่วนของกายมีผมเป็นต้นเป็นอารมณ์. |
| |
9. [[อานาปานสติ]] คือ ความระลึกเกิดขึ้นปรารภลมหายใจเข้าและลมหายใจออก. คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีนิมิตคือลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นอารมณ์. | 9. [[อานาปานสติ]] คือ ความระลึกเกิดขึ้นปรารภลมหายใจเข้าและลมหายใจออก. คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีนิมิตคือลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นอารมณ์. |
สิ่งที่ควรเจริญเราได้เจริญแล้ว ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้ตรัสรู้ | สิ่งที่ควรเจริญเราได้เจริญแล้ว ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้ตรัสรู้ |
| |
อีกประการหนึ่ง จักษุ เป็นทุกขสัจ ตัณหาเก่าอันเป็นสมุฏฐานโดยความเป็นมูลเหตุแห่งจักษุนั้น เป็นสมุทยสัจ ความไม่ดำเนินไปแห่งจักษุและตัณหาทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาที่เป็นเหตุรู้นิโรธ เป็นมัคคสัจ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย แม้โดยการยกขึ้นทีละบท ๆ อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้ แม้ในโสตะ, ฆานะ, ชิวหา, กายและมโนทั้งหลาย ก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้ | # (ปิยรูปสาตรูป 60) อีกประการหนึ่ง จักษุ เป็นทุกขสัจ ตัณหาเก่าอันเป็นสมุฏฐานโดยความเป็นมูลเหตุแห่งจักษุนั้น เป็นสมุทยสัจ ความไม่ดำเนินไปแห่งจักษุและตัณหาทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาที่เป็นเหตุรู้นิโรธ เป็นมัคคสัจ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย แม้โดยการยกขึ้นทีละบท ๆ อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้ แม้ในโสตะ, ฆานะ, ชิวหา, กายและมโนทั้งหลาย ก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้ อายตนะ 6 มีรูปเป็นต้น กองแห่งวิญญาณ 6 มีจักษุวิญญาณเป็นต้น ผัสสะ 6 มีจักษุสัมผัสเป็นต้น เวทนา 6 มีจักษุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น สัญญา 6 มีรูปสัญญาเป็นต้น เจตนา 6 มีรูปสัญเจตนาเป็นต้น กองแห่งตัณหา 6 มีรูปตัณหาเป็นต้น วิตก 6 มีรูปวิตกเป็นต้น วิจาร 6 มีรูปวิจารเป็นต้น |
| # ขันธ์ 5 มีรูปขันธ์เป็นต้น |
อายตนะ 6 มีรูปเป็นต้น กองแห่งวิญญาณ 6 มีจักษุวิญญาณเป็นต้น ผัสสะ 6 มีจักษุสัมผัสเป็นต้น เวทนา 6 มีจักษุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น สัญญา 6 มีจักษุสัญญาเป็นต้น เจตนา 6 มีรูปสัญเจตนาเป็นต้น กองแห่งตัณหา 6 มีรูปตัณหาเป็นต้น วิตก 6 มีรูปวิตกเป็นต้น วิจาร 6 มีรูปวิจารเป็นต้น ขันธ์ 5 มีรูปขันธ์เป็นต้น กสิณ 10 อนุสสติ 10 สัญญา 10 ด้วยอำนาจแห่งอุทธุมาตกสัญญาเป็นต้น อาการ 32 มีผมเป็นต้น อายตนะ 12 ธาตุ 18 ภพ 9 มีกามภพเป็นต้น ฌาน 4 มีปฐมฌานเป็นต้น อัปปมัญญา 4 มีเมตตาภาวนาเป็นต้น อรูปสมาบัติ 4 และองค์แห่งปฏิจจสมุปบาทโดยปฏิโลมมีชาติและชราเป็นต้น โดยอนุโลมมีอวิชชาเป็นต้น นักศึกษาพึงประกอบเข้าโดนนัยนี้นั่นแล | # กสิณ 10 |
| # อนุสสติ 10 |
| # สัญญา 10 ด้วยอำนาจแห่งอุทธุมาตกสัญญาเป็นต้น |
| # อาการ 32 มีผมเป็นต้น |
| # อายตนะ 12 |
| # ธาตุ 18 |
| # ภพ 9 มีกามภพเป็นต้น |
| # ฌาน 4 มีปฐมฌานเป็นต้น |
| # อัปปมัญญา 4 มีเมตตาภาวนาเป็นต้น |
| # อรูปสมาบัติ 4 |
| # และองค์แห่งปฏิจจสมุปบาท (12) โดยปฏิโลมมีชาติและชราเป็นต้น โดยอนุโลมมีอวิชชาเป็นต้น นักศึกษาพึงประกอบเข้าโดนนัยนี้นั่นแล |
| |
การประกอบความบทหนึ่งในธรรมเหล่านั้น (มีตัวอย่าง) ดังต่อไปนี้ คือ ชรา และมรณะ เป็นทุกขสัจ ชาติ เป็นสมุทยสัจ ความสลัดออกซึ่งทุกขสัจและสมุทยสัจแมัทั้ง 2 เป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาเป็นเหตุรู้แจ้งซึ่งนิโรธสัจ เป็นมัคคสัจ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ คือทรงรู้โดยอนุโลม ทรงรู้โดยปฏิโลม ซึ่งสรรพธรรมทั้งหลายโดยการยกขึ้นทีละบท ๆ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า ก็แหละ พระผู้มีพระภาคทรงได้ พระนามว่า สัมมาสัมพุทโธ เพราะเหตุที่เป็นผู้ตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย ฉะนี้ | การประกอบความบทหนึ่งในธรรมเหล่านั้น (มีตัวอย่าง) ดังต่อไปนี้ คือ ชรา และมรณะ เป็นทุกขสัจ ชาติ เป็นสมุทยสัจ ความสลัดออกซึ่งทุกขสัจและสมุทยสัจแมัทั้ง 2 เป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาเป็นเหตุรู้แจ้งซึ่งนิโรธสัจ เป็นมัคคสัจ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ คือทรงรู้โดยอนุโลม ทรงรู้โดยปฏิโลม ซึ่งสรรพธรรมทั้งหลายโดยการยกขึ้นทีละบท ๆ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า ก็แหละ พระผู้มีพระภาคทรงได้ พระนามว่า สัมมาสัมพุทโธ เพราะเหตุที่เป็นผู้ตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย ฉะนี้ |