การแก้ไขก่อนหน้าทั้งสองฝั่ง การแก้ไขก่อนหน้า การแก้ไขถัดไป | การแก้ไขก่อนหน้า |
วิสุทธิมรรค_07_ฉอนุสสตินิทเทส [2020/07/07 06:09] – [1. อธิบายบท สวากฺขาโต] dhamma | วิสุทธิมรรค_07_ฉอนุสสตินิทเทส [2021/01/02 13:14] (ฉบับปัจจุบัน) – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 |
---|
{{wst>วสธมฉปส head| }} | {{template:วสธมฉปส head| }} |
{{wst>วสธมฉปส sidebar}} | {{template:ฉบับปรับสำนวน head|}} |
=อนุสสติ 10 ประการ= | =อนุสสติ 10 ประการ= |
| |
'''ฉอนุสสตินิทเทส ปริจเฉทที่ 7''' | '''ฉอนุสสตินิทเทส ปริจเฉทที่ 7''' |
| |
ก็แหละ นักศึกษาพึงทราบอรรถาธิบายในอนุสสติ 10 ประการ ที่ทรงแสดงไว้ในลำดับอสุภกัมมัฏฐาน ดังต่อไปนี้ | [[วิสุทธิมรรค_03_กัมมัฏฐานคหณนิทเทส?h=อนุสสติกัมมัฏฐาน 10,อสุภกัมมัฏฐาน#hl|ต่อจาก]][[วิสุทธิมรรค_06_อสุภกัมมัฏฐานนิทเทส|อสุภกัมมัฏฐานนิทเทส]] ข้าพเจ้าจะ[[นิทเทส]][[อนุสสติ]][[กัมมัฏฐาน]] 10 แต่ละอย่างดังนี้: |
| |
สตินั่นเอง ชื่อว่า อนุสสติ เพราะเกิดขึ้นบ่อย ๆ อีกอย่างหนึ่ง สติอันสมควรแก่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา เพราะเป็นไปในฐานอันควรที่จะเป็นไป แม้เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนุสสติ | * อนุสสติ คือ [[สติ]]ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ นั่นเอง, |
| * อีกอย่างหนึ่ง อนุสสติ คือ สติอันสมควรแก่[[กุลบุตร]]ผู้[[บวช]]ด้วย[[ศรัทธา]] เพราะเป็นสติที่เป็นไปใน[[ฐาน]] (10 อย่างมีพุทธคุณเป็นต้น) อันควรที่จะเป็นไป. |
| |
1. ความระลึกเนือง ๆ เกิดขึ้นปรารภพระพุทธเจ้า ชื่อว่า พุทธานุสสติ คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ | 1. [[พุทธานุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงพระพุทธเจ้าบ่อยๆ. คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระพุทธคุณ(คุณธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า)เป็น[[อารมณ์]]. |
| |
2. ความระลึกเนือง ๆ เกิดขึ้นปรารภพระธรรม ชื่อว่า ธัมมานุสสติ คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระธรรมคุณเป็นอารมณ์ มีความเป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น | 2. [[ธัมมานุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงพระธรรมบ่อยๆ. คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระธรรมคุณเป็นอารมณ์ มีความเป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว (สวากฺขาโต) เป็นต้น. |
| |
3. ความระลึกเนือง ๆ เกิดขึ้นปรารภพระสงฆ์ ชื่อว่า สังฆานุสสติ คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระสังฆคุณเป็นอารมณ์ มีความเป็นผู้ปฏิบัติดีเป็นต้น | 3. [[สังฆานุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงพระสงฆ์บ่อยๆ. คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระสังฆคุณเป็นอารมณ์ มีความเป็นผู้ปฏิบัติดี (สุปฏิปนฺโน) เป็นต้น. |
| |
4. ความระลึกเนือง ๆ เกิดขึ้นปรารภศีล ชื่อว่า สีลานุสสติ คำนี้เป็นชื่อของสติ อันมีคุณแห่งศีลเป็นอารมณ์ มีความเป็นของไม่ขาดเป็นต้น | 4. [[สีลานุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึง[[ศีล]]บ่อยๆ. คำนี้เป็นชื่อของสติ อันมีคุณแห่งศีลเป็นอารมณ์ มีความเป็นของไม่ขาดเป็นต้น. |
| |
5 ความระลึกเนือง ๆ เกิดขึ้นปรารภการบริจาค ชื่อว่า จาคานุสสติ คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณแห่งการบริจาคเป็นอารมณ์ มีความเป็นผู้เสียสละอย่างเด็ดขาดเป็นต้น | 5 [[จาคานุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงการบริจาคบ่อยๆ. คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณแห่งการบริจาคเป็นอารมณ์ มีความเป็นผู้เสียสละอย่างเด็ดขาดเป็นต้น. |
| |
6. ความระลึกเนือง ๆ เกิดขึ้นปรารภเทวดาทั้งหลาย ชื่อว่า เทวตานุสสติ คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณคือศรัทธาเป็นต้นของตนโดยตั้งเทวดาทั้งหลายไว้ในฐานเป็นพยาน เป็นอารมณ์ | 6. [[เทวตานุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงเทวดาทั้งหลายบ่อยๆ. คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณคือ[[ศรัทธา]]เป็นต้นของตน โดยตั้งเทวดาทั้งหลายไว้ในฐานเป็นพยาน เป็นอารมณ์. |
| |
7. ความระลึกเนือง ๆ เกิดขึ้นปรารภมรณะ ชื่อว่ามรณานุสสติ คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีความขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิตเป็นอารมณ์ | 7. [[มรณานุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงมรณะบ่อยๆ. คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีความขาดแห่งชีวิตินทรีย์เป็นอารมณ์. |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 330)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 330)''</fs></sub> |
| |
8. สติอันนึกถึงรูปกายอันต่างด้วยผมเป็นต้น หรือสติอันนึกไปในกาย ชื่อว่า กายคตาสติ นั้นด้วย นึกถึงซึ่งรูปกายหรือนึกไปในกายด้วย ชื่อว่า กายคตาสติ แทนที่จะกล่าวว่า กายคตสติ กล่าวเสียว่า กายคตาสติ เพราะไม่ทำรัสสะ คำนี้เป็นชื่อของสติ อันมีนิมิต คือชิ้นส่วนของกายมีผมเป็นต้นเป็นอารมณ์ | 8. สภาพรู้รูปกายต่างๆ มีผมเป็นต้น หรือสภาพรู้ในกาย ชื่อว่า กายคตา ((เย คตฺยตฺถา เต พุทฺธฺยตฺถา ปวตฺติปาปุณตฺถกา. ([[ธาตฺวตฺถสงฺคห]]. ๑๙) )). กายคตานั้นด้วย สติด้วย ชื่อว่า กายคตสติ แทนที่ท่านจะกล่าวว่า กายคตสติ กลับกล่าวเสียว่า [[กายคตาสติ]] เพราะไม่ทำ[[รัสสะ]]. คำนี้เป็นชื่อของสติ อันมีนิมิตคือชิ้นส่วนของกายมีผมเป็นต้นเป็นอารมณ์. |
| |
9. ความระลึกเกิดขึ้นปรารภลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ชื่อว่า อานาปานสติ คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีนิมิตคือลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นอารมณ์ | 9. [[อานาปานสติ]] คือ ความระลึกเกิดขึ้นปรารภลมหายใจเข้าและลมหายใจออก. คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีนิมิตคือลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นอารมณ์. |
| |
10. ความระลึกเนือง ๆ เกิดขึ้นปรารภความสงบ ชื่อว่า อุปสมานุสสติ คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีนิพพานอันเป็นที่สงบทุกข์ทั้งปวงเป็นอารมณ์ | 10. [[อุปสมานุสสติ]] คือ ความระลึกเนือง ๆ เกิดขึ้นปรารภความสงบ(จากทุกข์ทั้งปวง). คำนี้เป็นชื่อของสติอันมี[[นิพพาน]]อันเป็นที่สงบทุกข์ทั้งปวงเป็นอารมณ์. |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 331)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 331)''</fs></sub> |
'''1. ข้อว่าเป็นผู้ไกล''' | '''1. ข้อว่าเป็นผู้ไกล''' |
| |
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ชื่อว่าเป็นผู้ไกล คือทรงดำรงอยู่ในที่ไกลแสนไกลจากสรรพกิเลสทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ทรงกำจัดเสียแล้วซึ่งกิเลสทั้งหลายพร้อมทั้งวาสนาด้วยพระอริยมรรค เพราะเหตุนั้นจึงทรงได้พระนามว่า อรหํ เพราะเหตุเป็นผู้ไกล | จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ชื่อว่าเป็นผู้ไกล คือทรงดำรงอยู่ในที่ไกลแสนไกลจากสรรพ[[กิเลส]]ทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ทรงกำจัดเสียแล้วซึ่งกิเลสทั้งหลายพร้อมทั้ง[[วาสนา]]ด้วยพระ[[อริยมรรค]] เพราะเหตุนั้นจึงทรงได้พระนามว่า อรหํ เพราะเหตุเป็นผู้ไกล |
| |
พระผู้มีพระภาคพระองค์ใด ไม่ทรงประกอบด้วยกิเลสอันใด และไม่ทรงประกอบด้วยโทษสิ่งใด พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้เป็นพระนาถะของโลก เป็นผู้ไกลจากกิเลสและโทษเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงทรงปรากฏพระนามว่า อรหํ | พระผู้มีพระภาคพระองค์ใด ไม่ทรงประกอบด้วยกิเลสอันใด และไม่ทรงประกอบด้วยโทษสิ่งใด พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้เป็นพระ[[นาถะ]]ของ[[โลก]] เป็นผู้ไกลจากกิเลสและโทษเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงทรงปรากฏพระนามว่า อรหํ |
| |
'''2. ข้อว่าเป็นผู้กำจัดอริทั้งหลาย''' | '''2. ข้อว่าเป็นผู้กำจัดอริทั้งหลาย''' |
| |
อนึ่ง อริ คือกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงกำจัดแล้วด้วยพระอริยมรรค เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า อรหํ แม้เพราะเหตุเป็นผู้กำจัดซึ่งอริทั้งหลาย | อนึ่ง [[อริ]] คือกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงกำจัดแล้วด้วยพระอริยมรรค เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า อรหํ แม้เพราะเหตุเป็นผู้กำจัดซึ่งอริทั้งหลาย แม้เหตุที่อริทั้งหลาย อันได้แก่กิเลสมีราคะเป็นต้น แม้ทุก ๆ อย่างอันพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระนาถะของโลก ทรงกำจัดแล้วด้วย[[ศาสตรา]]คือพระปัญญา ฉะนั้น พระองค์จึงทรงปรากฏพระนามว่า อรหํ ฉะนี้ |
| |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 333)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 333)''</fs></sub> |
| |
แม้เหตุที่อริทั้งหลาย อันได้แก่กิเลสมีราคะเป็นต้น แม้ทุก ๆ อย่างอันพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระนาถะของโลก ทรงกำจัดแล้วด้วยศาสตราคือพระปัญญา ฉะนั้น พระองค์จึงทรงปรากฏพระนามว่า อรหํ ฉะนี้ | |
| |
'''3. ข้อว่าเป็นผู้หักซึ่งกำทั้งหลาย''' | '''3. ข้อว่าเป็นผู้หักซึ่งกำทั้งหลาย''' |
| |
อนึ่ง สังสารจักรนี้ใด มี ดุม สำเร็จด้วยอวิชชาและภวตัณหา มี กำ สำเร็จด้วยอภิสังขารมีปุญญาภิสังขารเป็นต้น มี กง สำเร็จด้วยชราและมรณะ เอา เพลา อันสำเร็จด้วยอาสวะและสมุทัยสอดเข้าแล้ว ประกอบเข้าใน ตัวรถ คือภพทั้งสาม แล่นไปตลอดกาลไม่มีเบื้องต้นและที่สุด | อนึ่ง [[สังสารจักร]]นี้ใด มี [[ดุม]] สำเร็จด้วย[[อวิชชา]]และ[[ภวตัณหา]] มี ซี่[[กำ]] สำเร็จด้วย[[อภิสังขาร]]มีปุญญาภิสังขารเป็นต้น มี กง สำเร็จด้วย[[ชรามรณะ]] เอา [[เพลา]] อันสำเร็จด้วย[[อาสวสมุทัย]]สอดเข้าแล้ว ประกอบเข้าใน ตัวรถ คือภพทั้งสาม แล่นไปตลอดกาลไม่มีเบื้องต้นและที่สุด |
| |
กำทั้งหลายในสังสารจักรนั้นทุก ๆ ซี่ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงประทับยืนอยู่บนพื้นปฐพีคือศีล ด้วยพระบาททั้ง 2 คือวิริยะ ณ ควงพระศรีมหาโพธิ์ ทรงจับขวัญคือพระพุทธญาณอันทำกรรมให้สิ้นสูญ ทรงหักแล้ว เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า อรหํ แม้เพราะเหตุที่ทรงหักซึ่งกำทั้งหลาย | กำทั้งหลายในสังสารจักรนั้นทุก ๆ ซี่ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นยืนอยู่บนพื้นปฐพีคือ[[ศีล]] ด้วยเท้าทั้ง 2 คือ[[วิริยะ]] ณ ควงพระ[[ศรีมหาโพธิ์]] ใช้มือถือขวานคือพระ[[พุทธญาณ]]อันทำ[[กรรม]]ให้สิ้นสูญ ทรงหักราญแล้ว เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า อรหํ แม้เพราะเหตุที่ทรงหักซึ่งกำทั้งหลาย |
| |
อีกประการหนึ่ง สังสารวัฏอันมีเบื้องต้นและที่สุดรู้ไม่ได้ เรียกว่า สังสารจักร แหละสังสารจักรนั้น มีอวิชชาเป็นดุม เพราะเป็นมูลเหตุ ชราและมรณะเป็นกง เพราะเป็นปลายเหตุ ปฏิจจสมุปบาทธรรมที่เหลือ 10 ประการเป็นกำ เพราะมีอวิชชาเป็นมูลเหตุ และเพราะมีชราและมรณะเป็นปลายเหตุ | อีกประการหนึ่ง [[สังสารวัฏ]]อันมีเบื้องต้นและที่สุดรู้ไม่ได้ เรียกว่า สังสารจักร แหละสังสารจักรนั้น มีอวิชชาเป็นดุม เพราะเป็นมูลเหตุ ชราและมรณะเป็นกง เพราะเป็นปลายเหตุ [[ปฏิจจสมุปบาท]]ธรรมที่เหลือ 10 ประการเป็นกำ เพราะมีอวิชชาเป็นมูลเหตุ และเพราะมีชราและมรณะเป็นปลายเหตุ |
| |
'''ในบรรดาปฏิจจสมุปบาทธรรมเหล่านั้น ความไม่รู้ในทุกข์ ''' | '''ในบรรดาปฏิจจสมุปบาทธรรมเหล่านั้น ความไม่รู้ในทุกข์ ''' |
'''(ทุกขอริยสัจจ์) เป็นต้น ชื่อว่า อวิชชา ''' | '''(ทุกข[[อริยสัจ]]) เป็นต้น ชื่อว่า อวิชชา ''' |
| |
'''อวิชชาในกามภพเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในกามภพ''' | '''อวิชชาใน[[กามภพ]]เป็น[[ปัจจัย]]แก่สังขารทั้งหลายในกามภพ''' |
| |
'''อวิชชาในรูปภพเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในรูปภพ''' | '''อวิชชาในรูปภพเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในรูปภพ''' |
สิ่งที่ควรเจริญเราได้เจริญแล้ว ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้ตรัสรู้ | สิ่งที่ควรเจริญเราได้เจริญแล้ว ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้ตรัสรู้ |
| |
อีกประการหนึ่ง จักษุ เป็นทุกขสัจ ตัณหาเก่าอันเป็นสมุฏฐานโดยความเป็นมูลเหตุแห่งจักษุนั้น เป็นสมุทยสัจ ความไม่ดำเนินไปแห่งจักษุและตัณหาทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาที่เป็นเหตุรู้นิโรธ เป็นมัคคสัจ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย แม้โดยการยกขึ้นทีละบท ๆ อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้ แม้ในโสตะ, ฆานะ, ชิวหา, กายและมโนทั้งหลาย ก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้ | # (ปิยรูปสาตรูป 60) อีกประการหนึ่ง จักษุ เป็นทุกขสัจ ตัณหาเก่าอันเป็นสมุฏฐานโดยความเป็นมูลเหตุแห่งจักษุนั้น เป็นสมุทยสัจ ความไม่ดำเนินไปแห่งจักษุและตัณหาทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาที่เป็นเหตุรู้นิโรธ เป็นมัคคสัจ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย แม้โดยการยกขึ้นทีละบท ๆ อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้ แม้ในโสตะ, ฆานะ, ชิวหา, กายและมโนทั้งหลาย ก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้ อายตนะ 6 มีรูปเป็นต้น กองแห่งวิญญาณ 6 มีจักษุวิญญาณเป็นต้น ผัสสะ 6 มีจักษุสัมผัสเป็นต้น เวทนา 6 มีจักษุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น สัญญา 6 มีรูปสัญญาเป็นต้น เจตนา 6 มีรูปสัญเจตนาเป็นต้น กองแห่งตัณหา 6 มีรูปตัณหาเป็นต้น วิตก 6 มีรูปวิตกเป็นต้น วิจาร 6 มีรูปวิจารเป็นต้น |
| # ขันธ์ 5 มีรูปขันธ์เป็นต้น |
อายตนะ 6 มีรูปเป็นต้น กองแห่งวิญญาณ 6 มีจักษุวิญญาณเป็นต้น ผัสสะ 6 มีจักษุสัมผัสเป็นต้น เวทนา 6 มีจักษุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น สัญญา 6 มีจักษุสัญญาเป็นต้น เจตนา 6 มีรูปสัญเจตนาเป็นต้น กองแห่งตัณหา 6 มีรูปตัณหาเป็นต้น วิตก 6 มีรูปวิตกเป็นต้น วิจาร 6 มีรูปวิจารเป็นต้น ขันธ์ 5 มีรูปขันธ์เป็นต้น กสิณ 10 อนุสสติ 10 สัญญา 10 ด้วยอำนาจแห่งอุทธุมาตกสัญญาเป็นต้น อาการ 32 มีผมเป็นต้น อายตนะ 12 ธาตุ 18 ภพ 9 มีกามภพเป็นต้น ฌาน 4 มีปฐมฌานเป็นต้น อัปปมัญญา 4 มีเมตตาภาวนาเป็นต้น อรูปสมาบัติ 4 และองค์แห่งปฏิจจสมุปบาทโดยปฏิโลมมีชาติและชราเป็นต้น โดยอนุโลมมีอวิชชาเป็นต้น นักศึกษาพึงประกอบเข้าโดนนัยนี้นั่นแล | # กสิณ 10 |
| # อนุสสติ 10 |
| # สัญญา 10 ด้วยอำนาจแห่งอุทธุมาตกสัญญาเป็นต้น |
| # อาการ 32 มีผมเป็นต้น |
| # อายตนะ 12 |
| # ธาตุ 18 |
| # ภพ 9 มีกามภพเป็นต้น |
| # ฌาน 4 มีปฐมฌานเป็นต้น |
| # อัปปมัญญา 4 มีเมตตาภาวนาเป็นต้น |
| # อรูปสมาบัติ 4 |
| # และองค์แห่งปฏิจจสมุปบาท (12) โดยปฏิโลมมีชาติและชราเป็นต้น โดยอนุโลมมีอวิชชาเป็นต้น นักศึกษาพึงประกอบเข้าโดนนัยนี้นั่นแล |
| |
การประกอบความบทหนึ่งในธรรมเหล่านั้น (มีตัวอย่าง) ดังต่อไปนี้ คือ ชรา และมรณะ เป็นทุกขสัจ ชาติ เป็นสมุทยสัจ ความสลัดออกซึ่งทุกขสัจและสมุทยสัจแมัทั้ง 2 เป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาเป็นเหตุรู้แจ้งซึ่งนิโรธสัจ เป็นมัคคสัจ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ คือทรงรู้โดยอนุโลม ทรงรู้โดยปฏิโลม ซึ่งสรรพธรรมทั้งหลายโดยการยกขึ้นทีละบท ๆ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า ก็แหละ พระผู้มีพระภาคทรงได้ พระนามว่า สัมมาสัมพุทโธ เพราะเหตุที่เป็นผู้ตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย ฉะนี้ | การประกอบความบทหนึ่งในธรรมเหล่านั้น (มีตัวอย่าง) ดังต่อไปนี้ คือ ชรา และมรณะ เป็นทุกขสัจ ชาติ เป็นสมุทยสัจ ความสลัดออกซึ่งทุกขสัจและสมุทยสัจแมัทั้ง 2 เป็นนิโรธสัจ ปฏิปทาเป็นเหตุรู้แจ้งซึ่งนิโรธสัจ เป็นมัคคสัจ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ คือทรงรู้โดยอนุโลม ทรงรู้โดยปฏิโลม ซึ่งสรรพธรรมทั้งหลายโดยการยกขึ้นทีละบท ๆ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า ก็แหละ พระผู้มีพระภาคทรงได้ พระนามว่า สัมมาสัมพุทโธ เพราะเหตุที่เป็นผู้ตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย ฉะนี้ |