วิสุทธิมรรค_07_ฉอนุสสตินิทเทส

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

ลิงค์ไปยังการเปรียบเทียบนี้

การแก้ไขถัดไป
การแก้ไขก่อนหน้า
วิสุทธิมรรค_07_ฉอนุสสตินิทเทส [2020/06/27 09:27] – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1วิสุทธิมรรค_07_ฉอนุสสตินิทเทส [2021/01/02 13:14] (ฉบับปัจจุบัน) – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
-{{wst>วสธมฉปส head| }} +{{template:วสธมฉปส head| }} 
-{{wst>วสธมฉปส sidebar}}+{{template:บับรับำนวน head|}}
 =อนุสสติ  10  ประการ= =อนุสสติ  10  ประการ=
  
บรรทัด 7: บรรทัด 7:
 '''ฉอนุสสตินิทเทส  ปริจเฉทที่ 7''' '''ฉอนุสสตินิทเทส  ปริจเฉทที่ 7'''
  
-ก็แหละ  นักศึกษาพึงราบอรรธิบายในอนุสสติ 10  ประการ  ที่ทรงแดงไว้ในลำดอสุภกัมมัฏฐาน  ดต่อไปนี้+[[วิสุธิมรรค_03_กัมมัฏฐานคหณนิทเทส?h=อนุสสติกัมมัฏฐาน 10,อสุภัมมัฏฐน#hl|ตอจาก]][[วิสุธิมรค_06_อุภกมมัฏฐานนิทเทส|อสุภกัมมัฏฐานนิทเทส]] ข้าพเจ้าจะ[[นิทเทส]][[อนุสสติ]][[กมมัฏฐาน]] 10 แต่ละย่างดังนี้:
  
-สตินั่นเอง ว่า  อนุสสติ  เพราะเกิดขึ้นบ่อย ๆ  อีกอย่างหนึ่ง  สติอันสมควรแก่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา  เพราะเป็นไปในฐานอันควรที่จะเป็นไป  แม้เพราะเหตุนั้น  จึงชื่อว่า  อนุสสติ+* อนุสสติ ือ [[สติ]]ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ นั่นเอง,  
 +อีกอย่างหนึ่ง อนุสสติ คือ สติอันสมควรแก่[[กุลบุตร]]ผู้[[บวช]]ด้วย[[ศรัทธา]]  เพราะเป็นสติที่เป็นไปใน[[ฐาน]] (10 อย่างมีพุทธคุณเป็นต้น) อันควรที่จะเป็นไป.
  
-1.  ควมระลึกเนือง ๆ  เกิดขึ้นารภพระพุทธเจ้า  ชื่อว่า  พุทธานุสสติ    คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์+1.  [[พุทธานุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงพระพุทธเจ้า่อยๆ.    คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระพุทธคุณ(คุณธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า)เป็น[[อารมณ์]].
  
-2.  ควาระลึกเนือง ๆ เกิดขึ้นารภพระธรรม  ชื่อว่า  ธัมมานุสสติ  คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระธรรมคุณเป็นอารมณ์  มีความเป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น+2.  [[ธัมาุสสติ]] ือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงพระธรรม่อยๆ.   คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระธรรมคุณเป็นอารมณ์  มีความเป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว (สวากฺขาโต) เป็นต้น.
  
-3.  ควมระลึกเนือง ๆ  เกิดขึ้นารภพระสงฆ์  ชื่อว่า  สังฆานุสสติ  คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระสังฆคุณเป็นอารมณ์  มีความเป็นผู้ปฏิบัติดีเป็นต้น+3.  [[สังฆานุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงพระสงฆ์่อยๆ.     คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระสังฆคุณเป็นอารมณ์  มีความเป็นผู้ปฏิบัติดี (สุปฏิปนฺโน) เป็นต้น.
  
-4.  ควมระลึกเนือง ๆ  เกิดขึ้นารภศีล  ชื่อว่า  สีลานุสสติ  คำนี้เป็นชื่อของสติ  อันมีคุณแห่งศีลเป็นอารมณ์  มีความเป็นของไม่ขาดเป็นต้น+4.  [[สีลานุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึง[[ศีล]]บ่อยๆ.  คำนี้เป็นชื่อของสติ  อันมีคุณแห่งศีลเป็นอารมณ์  มีความเป็นของไม่ขาดเป็นต้น.
  
-    มระลึกเนือง ๆ  เกิดขึ้นารภการบริจาค  ชื่อว่า  จาคานุสสติ  คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณแห่งการบริจาคเป็นอารมณ์  มีความเป็นผู้เสียสละอย่างเด็ดขาดเป็นต้น+  [[จาคานุสสติ]] ือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงการบริจาค่อยๆ.   คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณแห่งการบริจาคเป็นอารมณ์  มีความเป็นผู้เสียสละอย่างเด็ดขาดเป็นต้น.
  
-6.   ความระลึกเนือง ๆ  เกิดขึ้นารภเทวดาทั้งหลาย  ชื่อว่า  เทวตานุสสติ   คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณคือศรัทธาเป็นต้นของตนโดยตั้งเทวดาทั้งหลายไว้ในฐานเป็นพยาน  เป็นอารมณ์+6.  [[เทานุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงเทวดาทั้งหลาย่อยๆ.  คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณคือ[[ศรัทธา]]เป็นต้นของตน โดยตั้งเทวดาทั้งหลายไว้ในฐานเป็นพยาน  เป็นอารมณ์.
  
-7.  ความระลึกเนือง ๆ  เกิดขึ้นารภมรณะ  ชื่อว่ามรณานุสสติ  คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีความขาดแห่งินทรีย์คือชีวิตเป็นอารมณ์+7.  [[มรณาุสสติ]] คือ สติเกิดขึ้นระลึกถึงมรณะ่อยๆ.   คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีความขาดแห่งชีวิตินทรีย์เป็นอารมณ์.
  
 <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 330)''</fs></sub> <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 330)''</fs></sub>
  
-8.  สติอันนึกถึงรูปกายอันต่างด้วยผมเป็นต้น  หรือสติอันนึกไปในกาย  ชื่อว่า  กายคตาิ  นั้นด้วย  นึกถซึ่งรูปกายหรือึกไปใกายด้วย  ชื่อว่า  กายคตสติ  แทนที่จะกล่าวว่า  กายคตสติ  กล่าวเสียว่า  กายคตาสติ  เพราะไม่ทำรัสสะ  คำนี้เป็นชื่อของสติ  อันมีนิมิต  คือชิ้นส่วนของกายมีผมเป็นต้นเป็นอารมณ์+8.  สภาพรู้รูปกายต่างๆ มีผมเป็นต้น  หรือสภาพรู้ในกาย  ชื่อว่า  กายคตา ((เย คตฺถา เต พุทฺธฺยตฺถา ปวตฺติปาปุณตฺถา. ([[ธาตฺวตฺฺคห]]. ๑๙) )). กายคตาั้ด้วย สติด้วย ชื่อว่า  กายคตสติ  แทนที่ท่านจะกล่าวว่า  กายคตสติ  กลับกล่าวเสียว่า  [[กายคตาสติ]]  เพราะไม่ทำ[[รัสสะ]].  คำนี้เป็นชื่อของสติ  อันมีนิมิตคือชิ้นส่วนของกายมีผมเป็นต้นเป็นอารมณ์.
  
-9.  ความระลึกเกิดขึ้นปรารภลมหายใจเข้าและลมหายใจออก  ชื่อว่า  อานาปานสติ    คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีนิมิตคือลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นอารมณ์+9.  [[อานาปานสติ]] คือ ความระลึกเกิดขึ้นปรารภลมหายใจเข้าและลมหายใจออก   คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีนิมิตคือลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นอารมณ์.
  
-10.  ความระลึกเนือง ๆ  เกิดขึ้นปรารภความสงบ  ชื่อว่า  อุปสมานุสสติ  คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีนิพพานอันเป็นที่สงบทุกข์ทั้งปวงเป็นอารมณ์+10.  [[อุปสมานุสสติ]] คือ ความระลึกเนือง ๆ  เกิดขึ้นปรารภความสงบ(จกทกข์ทั้งวง).  คำนี้เป็นชื่อของสติอันมี[[นิพพาน]]อันเป็นที่สงบทุกข์ทั้งปวงเป็นอารมณ์.
  
 <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 331)''</fs></sub> <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 331)''</fs></sub>
บรรทัด 75: บรรทัด 76:
 '''1.  ข้อว่าเป็นผู้ไกล''' '''1.  ข้อว่าเป็นผู้ไกล'''
  
-จริงอยู่  พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ชื่อว่าเป็นผู้ไกล  คือทรงดำรงอยู่ในที่ไกลแสนไกลจากสรรพกิเลสทั้งหลาย  เพราะเป็นผู้ทรงกำจัดเสียแล้วซึ่งกิเลสทั้งหลายพร้อมทั้งวาสนาด้วยพระอริยมรรค  เพราะเหตุนั้นจึงทรงได้พระนามว่า  อรหํ  เพราะเหตุเป็นผู้ไกล+จริงอยู่  พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ชื่อว่าเป็นผู้ไกล  คือทรงดำรงอยู่ในที่ไกลแสนไกลจากสรรพ[[กิเลส]]ทั้งหลาย  เพราะเป็นผู้ทรงกำจัดเสียแล้วซึ่งกิเลสทั้งหลายพร้อมทั้ง[[วาสนา]]ด้วยพระ[[อริยมรรค]]  เพราะเหตุนั้นจึงทรงได้พระนามว่า  อรหํ  เพราะเหตุเป็นผู้ไกล
  
-พระผู้มีพระภาคพระองค์ใด  ไม่ทรงประกอบด้วยกิเลสอันใด  และไม่ทรงประกอบด้วยโทษสิ่งใด  พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้เป็นพระนาถะของโลก  เป็นผู้ไกลจากกิเลสและโทษเหล่านั้น  เพราะเหตุนั้นจึงทรงปรากฏพระนามว่า  อรหํ+พระผู้มีพระภาคพระองค์ใด  ไม่ทรงประกอบด้วยกิเลสอันใด  และไม่ทรงประกอบด้วยโทษสิ่งใด  พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้เป็นพระ[[นาถะ]]ของ[[โลก]]  เป็นผู้ไกลจากกิเลสและโทษเหล่านั้น  เพราะเหตุนั้นจึงทรงปรากฏพระนามว่า  อรหํ
  
 '''2.  ข้อว่าเป็นผู้กำจัดอริทั้งหลาย''' '''2.  ข้อว่าเป็นผู้กำจัดอริทั้งหลาย'''
  
-อนึ่ง  อริ  คือกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงกำจัดแล้วด้วยพระอริยมรรค  เพราะเหตุนั้น  พระองค์จึงทรงพระนามว่า  อรหํ  แม้เพราะเหตุเป็นผู้กำจัดซึ่งอริทั้งหลาย+อนึ่ง  [[อริ]]  คือกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงกำจัดแล้วด้วยพระอริยมรรค  เพราะเหตุนั้น  พระองค์จึงทรงพระนามว่า  อรหํ  แม้เพราะเหตุเป็นผู้กำจัดซึ่งอริทั้งหลาย แม้เหตุที่อริทั้งหลาย  อันได้แก่กิเลสมีราคะเป็นต้น  แม้ทุก ๆ  อย่างอันพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระนาถะของโลก  ทรงกำจัดแล้วด้วย[[ศาสตรา]]คือพระปัญญา  ฉะนั้น  พระองค์จึงทรงปรากฏพระนามว่า  อรหํ  ฉะนี้
  
 <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 333)''</fs></sub> <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 333)''</fs></sub>
- 
-แม้เหตุที่อริทั้งหลาย  อันได้แก่กิเลสมีราคะเป็นต้น  แม้ทุก ๆ  อย่างอันพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระนาถะของโลก  ทรงกำจัดแล้วด้วยศาสตราคือพระปัญญา  ฉะนั้น  พระองค์จึงทรงปรากฏพระนามว่า  อรหํ  ฉะนี้ 
  
 '''3.  ข้อว่าเป็นผู้หักซึ่งกำทั้งหลาย''' '''3.  ข้อว่าเป็นผู้หักซึ่งกำทั้งหลาย'''
  
-อนึ่ง  สังสารจักรนี้ใด  มี  ดุม  สำเร็จด้วยอวิชชาและภวตัณหา  มี  กำ  สำเร็จด้วยอภิสังขารมีปุญญาภิสังขารเป็นต้น  มี  กง  สำเร็จด้วยชราและมรณะ  เอา  เพลา  อันสำเร็จด้วยอาสวะและสมุทัยสอดเข้าแล้ว  ประกอบเข้าใน  ตัวรถ  คือภพทั้งสาม  แล่นไปตลอดกาลไม่มีเบื้องต้นและที่สุด+อนึ่ง  [[สังสารจักร]]นี้ใด  มี  [[ดุม]]  สำเร็จด้วย[[อวิชชา]]และ[[ภวตัณหา]]  มี  ซี่[[กำ]]  สำเร็จด้วย[[อภิสังขาร]]มีปุญญาภิสังขารเป็นต้น  มี  กง  สำเร็จด้วย[[ชรามรณะ]]  เอา  [[เพลา]]  อันสำเร็จด้วย[[อาสวสมุทัย]]สอดเข้าแล้ว  ประกอบเข้าใน  ตัวรถ  คือภพทั้งสาม  แล่นไปตลอดกาลไม่มีเบื้องต้นและที่สุด
  
-กำทั้งหลายในสังสารจักรนั้นทุก ๆ ซี่  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงประทับยืนอยู่บนพื้นปฐพีคือศีล  ด้วยพระบทั้ง 2  คือวิริยะ  ณ  ควงพระศรีมหาโพธิ์  ทรงจับขวัญคือพระพุทธญาณอันทำกรรมให้สิ้นสูญ  ทรงหักแล้ว  เพราะเหตุนั้น  พระองค์จึงทรงพระนามว่า  อรหํ  แม้เพราะเหตุที่ทรงหักซึ่งกำทั้งหลาย+กำทั้งหลายในสังสารจักรนั้นทุก ๆ ซี่  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นยืนอยู่บนพื้นปฐพีคือ[[ศีล]]  ด้วยเท้าทั้ง 2  คือ[[วิริยะ]]  ณ  ควงพระ[[ศรีมหาโพธิ์]] ใช้มือถือขวานคือพระ[[พุทธญาณ]]อันทำ[[กรรม]]ให้สิ้นสูญ  ทรงหักราญแล้ว  เพราะเหตุนั้น  พระองค์จึงทรงพระนามว่า  อรหํ  แม้เพราะเหตุที่ทรงหักซึ่งกำทั้งหลาย
  
-อีกประการหนึ่ง  สังสารวัฏอันมีเบื้องต้นและที่สุดรู้ไม่ได้  เรียกว่า  สังสารจักร  แหละสังสารจักรนั้น  มีอวิชชาเป็นดุม  เพราะเป็นมูลเหตุ  ชราและมรณะเป็นกง  เพราะเป็นปลายเหตุ  ปฏิจจสมุปบาทธรรมที่เหลือ  10  ประการเป็นกำ  เพราะมีอวิชชาเป็นมูลเหตุ และเพราะมีชราและมรณะเป็นปลายเหตุ+อีกประการหนึ่ง  [[สังสารวัฏ]]อันมีเบื้องต้นและที่สุดรู้ไม่ได้  เรียกว่า  สังสารจักร  แหละสังสารจักรนั้น  มีอวิชชาเป็นดุม  เพราะเป็นมูลเหตุ  ชราและมรณะเป็นกง  เพราะเป็นปลายเหตุ  [[ปฏิจจสมุปบาท]]ธรรมที่เหลือ  10  ประการเป็นกำ  เพราะมีอวิชชาเป็นมูลเหตุ และเพราะมีชราและมรณะเป็นปลายเหตุ
  
 '''ในบรรดาปฏิจจสมุปบาทธรรมเหล่านั้น ความไม่รู้ในทุกข์ ''' '''ในบรรดาปฏิจจสมุปบาทธรรมเหล่านั้น ความไม่รู้ในทุกข์ '''
-'''(ทุกขอริยสัจจ์) เป็นต้น ชื่อว่า อวิชชา '''+'''(ทุกข[[อริยสัจ]]) เป็นต้น ชื่อว่า อวิชชา '''
  
-'''อวิชชาในกามภพเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในกามภพ'''+'''อวิชชาใน[[กามภพ]]เป็น[[ปัจจัย]]แก่สังขารทั้งหลายในกามภพ'''
  
 '''อวิชชาในรูปภพเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในรูปภพ''' '''อวิชชาในรูปภพเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในรูปภพ'''
บรรทัด 196: บรรทัด 195:
 สิ่งที่ควรเจริญเราได้เจริญแล้ว  ดูก่อนพราหมณ์  เพราะเหตุนั้น  เราจึงเป็นผู้ตรัสรู้ สิ่งที่ควรเจริญเราได้เจริญแล้ว  ดูก่อนพราหมณ์  เพราะเหตุนั้น  เราจึงเป็นผู้ตรัสรู้
  
-อีกประการหนึ่ง  จักษุ  เป็นทุกขสัจ  ตัณหาเก่าอันเป็นสมุฏฐานโดยความเป็นมูลเหตุแห่งจักษุนั้น  เป็นสมุทยสัจ  ความไม่ดำเนินไปแห่งจักษุและตัณหาทั้งสอง  เป็นนิโรธสัจ  ปฏิปทาที่เป็นเหตุรู้นิโรธ  เป็นมัคคสัจ  พระผู้มีพระภาคตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย  แม้โดยการยกขึ้นทีละบท ๆ  อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้  แม้ในโสตะ,  ฆานะ, ชิวหา,  กายและมโนทั้งหลาย  ก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้ +# (ปิยรูปสาตรูป 60) อีกประการหนึ่ง จักษุ  เป็นทุกขสัจ  ตัณหาเก่าอันเป็นสมุฏฐานโดยความเป็นมูลเหตุแห่งจักษุนั้น  เป็นสมุทยสัจ  ความไม่ดำเนินไปแห่งจักษุและตัณหาทั้งสอง  เป็นนิโรธสัจ  ปฏิปทาที่เป็นเหตุรู้นิโรธ  เป็นมัคคสัจ  พระผู้มีพระภาคตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย  แม้โดยการยกขึ้นทีละบท ๆ  อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้  แม้ในโสตะ,  ฆานะ, ชิวหา,  กายและมโนทั้งหลาย  ก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้ อายตนะ 6  มีรูปเป็นต้น  กองแห่งวิญญาณ 6  มีจักษุวิญญาณเป็นต้น  ผัสสะ 6  มีจักษุสัมผัสเป็นต้น  เวทนา 6  มีจักษุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น  สัญญา 6  มีรูปสัญญาเป็นต้น  เจตนา 6  มีรูปสัญเจตนาเป็นต้น  กองแห่งตัณหา 6  มีรูปตัณหาเป็นต้น  วิตก 6 มีรูปวิตกเป็นต้น  วิจาร 6  มีรูปวิจารเป็นต้น   
- +ขันธ์ 5  มีรูปขันธ์เป็นต้น   
-อายตนะ 6  มีรูปเป็นต้น  กองแห่งวิญญาณ 6  มีจักษุวิญญาณเป็นต้น  ผัสสะ 6  มีจักษุสัมผัสเป็นต้น  เวทนา 6  มีจักษุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น  สัญญา 6  มีจักษุสัญญาเป็นต้น  เจตนา 6  มีรูปสัญเจตนาเป็นต้น  กองแห่งตัณหา 6  มีรูปตัณหาเป็นต้น  วิตก 6 มีรูปวิตกเป็นต้น  วิจาร 6  มีรูปวิจารเป็นต้น  ขันธ์ 5  มีรูปขันธ์เป็นต้น  กสิณ 10  อนุสสติ 10  สัญญา 10  ด้วยอำนาจแห่งอุทธุมาตกสัญญาเป็นต้น  อาการ 32  มีผมเป็นต้น  อายตนะ 12  ธาตุ 18  ภพ 9  มีกามภพเป็นต้น  ฌาน 4  มีปฐมฌานเป็นต้น  อัปปมัญญา 4 มีเมตตาภาวนาเป็นต้น  อรูปสมาบัติ 4  และองค์แห่งปฏิจจสมุปบาทโดยปฏิโลมมีชาติและชราเป็นต้น  โดยอนุโลมมีอวิชชาเป็นต้น  นักศึกษาพึงประกอบเข้าโดนนัยนี้นั่นแล+กสิณ 10   
 +อนุสสติ 10   
 +สัญญา 10  ด้วยอำนาจแห่งอุทธุมาตกสัญญาเป็นต้น   
 +อาการ 32  มีผมเป็นต้น   
 +อายตนะ 12   
 +ธาตุ 18   
 +ภพ 9  มีกามภพเป็นต้น   
 +ฌาน 4  มีปฐมฌานเป็นต้น   
 +อัปปมัญญา 4 มีเมตตาภาวนาเป็นต้น   
 +อรูปสมาบัติ 4   
 +และองค์แห่งปฏิจจสมุปบาท (12) โดยปฏิโลมมีชาติและชราเป็นต้น  โดยอนุโลมมีอวิชชาเป็นต้น  นักศึกษาพึงประกอบเข้าโดนนัยนี้นั่นแล
  
 การประกอบความบทหนึ่งในธรรมเหล่านั้น  (มีตัวอย่าง)  ดังต่อไปนี้  คือ  ชรา  และมรณะ  เป็นทุกขสัจ  ชาติ  เป็นสมุทยสัจ  ความสลัดออกซึ่งทุกขสัจและสมุทยสัจแมัทั้ง 2  เป็นนิโรธสัจ  ปฏิปทาเป็นเหตุรู้แจ้งซึ่งนิโรธสัจ  เป็นมัคคสัจ  พระผู้มีพระภาคตรัสรู้  คือทรงรู้โดยอนุโลม  ทรงรู้โดยปฏิโลม  ซึ่งสรรพธรรมทั้งหลายโดยการยกขึ้นทีละบท ๆ  อย่างนี้  ด้วยประการฉะนี้  ด้วยเหตุนั้น  ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า  ก็แหละ  พระผู้มีพระภาคทรงได้  พระนามว่า  สัมมาสัมพุทโธ  เพราะเหตุที่เป็นผู้ตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย  ฉะนี้   การประกอบความบทหนึ่งในธรรมเหล่านั้น  (มีตัวอย่าง)  ดังต่อไปนี้  คือ  ชรา  และมรณะ  เป็นทุกขสัจ  ชาติ  เป็นสมุทยสัจ  ความสลัดออกซึ่งทุกขสัจและสมุทยสัจแมัทั้ง 2  เป็นนิโรธสัจ  ปฏิปทาเป็นเหตุรู้แจ้งซึ่งนิโรธสัจ  เป็นมัคคสัจ  พระผู้มีพระภาคตรัสรู้  คือทรงรู้โดยอนุโลม  ทรงรู้โดยปฏิโลม  ซึ่งสรรพธรรมทั้งหลายโดยการยกขึ้นทีละบท ๆ  อย่างนี้  ด้วยประการฉะนี้  ด้วยเหตุนั้น  ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า  ก็แหละ  พระผู้มีพระภาคทรงได้  พระนามว่า  สัมมาสัมพุทโธ  เพราะเหตุที่เป็นผู้ตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย  ฉะนี้  
บรรทัด 458: บรรทัด 467:
 '''ปริยัติธรรมเป็นสวากขาตธรรม''' '''ปริยัติธรรมเป็นสวากขาตธรรม'''
  
-ในธรรม 2  ประเภทนั้น  ปริยัติธรรมประการแรก  ชื่อว่า  อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว  เพราะมีความงามในเบื้องต้น  ท่ามกลางและที่สุด  และเพราะประกาศพรหมจรรย์  พร้อมทั้งอรรถะพร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง +#ในธรรม 2  ประเภทนั้น  ปริยัติธรรมประการแรก  ชื่อว่า  อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว  เพราะมีความงามในเบื้องต้น  ท่ามกลางและที่สุด  และเพราะประกาศพรหมจรรย์  พร้อมทั้งอรรถะพร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง 
- +##จริงอยู่  พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระพุทธพจน์อันใดแม้เพียงพระคาถาอันเดียว  พระพุทธพจน์นั้น  ชื่อว่ามีความงามในเบื้องต้นด้วยบาทต้น  ชื่อว่ามีความงามในท่ามกลางด้วยบาทที่ 2  และที่ 3  ชื่อว่ามีความงามในที่สุดด้วยบาทหลัง  เพราะธรรมมีความงามรอบตัว <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 356)''</fs></sub> 
-'''ความงาม 3  ของปริยัติธรรม''' +##พระสูตรมีอนุสนธิอันเดียว  มีความงามในเบื้องต้นด้วยคำนิทาน  มีความงามในที่สุดด้วยคำนิคมน์  มีความงามในท่ามกลางด้วยคำที่เหลือ 
- +##พระสูตรทีมีอนุสนธิมากหลาย  มีความงามในเบื้องต้นด้วยอนุสนธิแรก   มีความงามในที่สุดด้วยอนุสนธิหลัง  มีความงามในท่ามกลางด้วยอนุสนธิที่เหลือ 
-จริงอยู่  พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระพุทธพจน์อันใดแม้เพียงพระคาถาอันเดียว  พระพุทธพจน์นั้น  ชื่อว่ามีความงามในเบื้องต้นด้วยบาทต้น  ชื่อว่ามีความงามในท่ามกลางด้วยบาทที่ 2  และที่ 3  ชื่อว่ามีความงามในที่สุดด้วยบาทหลัง  เพราะธรรมมีความงามรอบตัว +###อีกประการหนึ่ง  พระสูตรที่มีอนุสนธิมากหลายนั้น  ชื่อว่ามีความงามในเบื้องต้น  เพราะมีทั้งคำนิทาน  มีทั้งคำอุบัติเหตุ  ชื่อว่ามีความงามในท่ามกลาง  เพราะมีเนื้อความไม่วิปริตผิดเพี้ยนไป  และเพราะประกอบด้วยเหตุและอุทาหรณ์โดยสมควรแก่เวไนยนิกรทั้งหลาย  และชื่อว่ามีความงามในที่สุด  เพราะคำนิคมน์อันให้เกิดความได้ศรัทธาแก่ผู้ฟังทั้งหลาย 
- +##ศาสนธรรมแม้ทั้งสิ้น  มีความงามในเบื้องต้นด้วยศีลอันเป็นเหตุของตน  มีความงามในท่ามกลางด้วยสมถะ  วิปัสสนา  มรรค  และผลทั้งหลาย  มีความงามในที่สุดด้วยนิพพาน 
-<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 356)''</fs></sub> +###อีกประการหนึ่ง  ศาสนธรรมทั้งสิ้น  มีความงามในเบื้องต้นด้วยศีลและสมาธิ  มีความงามในท่ามกลางด้วยวิปัสสนาและมรรค 4  มีความงามในที่สุดด้วยผล 4  และนิพพาน 
- +###อีกประการหนึ่ง  ศาสนธรรมทั้งสิ้น  ชื่อว่ามีความงามในเบื้องต้นเพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ดี  ชื่อว่ามีความงามในท่ามกลางเพราะพระธรรมเป็นธรรมดี  ชื่อว่ามีความงามในที่สุดเพราะพระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดี 
-พระสูตรมีอนุสนธิอันเดียว  มีความงามในเบื้องต้นด้วยคำนิทาน  มีความงามในที่สุดด้วยคำนิคมน์  มีความงามในท่ามกลางด้วยคำที่เหลือ +###อีกประการหนึ่ง  ศาสนธรรมทั้งสิ้น  ชื่อว่ามีความงามในเบื้องต้น  ด้วยอภิสัมโพธิที่สาธุชนฟังศาสนธรรมนั้นแล้วปฏิบัติเพื่อประโยชน์ด้วยประการนั้นจะพึงบรรลุได้ ชื่อว่ามีความงามในท่ามกลางด้วยปัจเจกโพธิ ชื่อว่ามีความงามในที่สุดด้วยสาวกโพธิ 
- +##ก็แหละ  ศาสนธรรมนั้น  ขณะฟังย่อมนำความงามมาแม้ด้วยการฟังนั่นเทียว  โดยการข่มเสียซึ่งนิวรณ์  เพราะฉะนั้น  จึงชื่อว่ามีความงามในเบื้องต้น  ขณะปฏิบัติก็นำความงามมาแม้ด้วยข้อปฏิบัติ  โดยนำมาซึ่งความสุขอันเกิดแต่สมถะและวิปัสสนา  เพราะฉะนั้น  จึงชื่อว่ามีความงามในท่ามกลางและขณะปฏิบัติแล้ว  ด้วยประการนั้น  เมื่อผลแห่งปฏิบัติสำเร็จแล้ว  ย่อมนำความงามมาแม้ด้วยผลแห่งการปฏิบัติ  โดยนำมาซึ่งความเป็นผู้คงเส้นคงวา  เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่ามีความงามในที่สุด
-พระสูตรทีมีอนุสนธิมากหลาย  มีความงามในเบื้องต้นด้วยอนุสนธิแรก   มีความงามในที่สุดด้วยอนุสนธิหลัง  มีความงามในท่ามกลางด้วยอนุสนธิที่เหลือ +
- +
-อีกประการหนึ่ง  พระสูตรที่มีอนุสนธิมากหลายนั้น  ชื่อว่ามีความงามในเบื้องต้น  เพราะมีทั้งคำนิทาน  มีทั้งคำอุบัติเหตุ  ชื่อว่ามีความงามในท่ามกลาง  เพราะมีเนื้อความไม่วิปริตผิดเพี้ยนไป  และเพราะประกอบด้วยเหตุและอุทาหรณ์โดยสมควรแก่เวไนยนิกรทั้งหลาย  และชื่อว่ามีความงามในที่สุด  เพราะคำนิคมน์อันให้เกิดความได้ศรัทธาแก่ผู้ฟังทั้งหลาย +
- +
-ศาสนธรรมแม้ทั้งสิ้น  มีความงามในเบื้องต้นด้วยศีลอันเป็นเหตุของตน  มีความงามในท่ามกลางด้วยสมถะ  วิปัสสนา  มรรค  และผลทั้งหลาย  มีความงามในที่สุดด้วยนิพพาน +
- +
-อีกประการหนึ่ง  ศาสนธรรมทั้งสิ้น  มีความงามในเบื้องต้นด้วยศีลและสมาธิ  มีความงามในท่ามกลางด้วยวิปัสสนาและมรรค 4  มีความงามในที่สุดด้วยผล 4  และนิพพาน +
- +
-อีกประการหนึ่ง  ศาสนธรรมทั้งสิ้น  ชื่อว่ามีความงามในเบื้องต้นเพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ดี  ชื่อว่ามีความงามในท่ามกลางเพราะพระธรรมเป็นธรรมดี  ชื่อว่ามีความงามในที่สุดเพราะพระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดี +
- +
-อีกประการหนึ่ง  ศาสนธรรมทั้งสิ้น  ชื่อว่ามีความงามในเบื้องต้น  ด้วยอภิสัมโพธิที่สาธุชนฟังศาสนธรรมนั้นแล้วปฏิบัติเพื่อประโยชน์ด้วยประการนั้นจะพึงบรรลุได้ ชื่อว่ามีความงามในท่ามกลางด้วยปัจเจกโพธิ ชื่อว่ามีความงามในที่สุดด้วยสาวกโพธิ +
- +
-ก็แหละ  ศาสนธรรมนั้น  ขณะฟังย่อมนำความงามมาแม้ด้วยการฟังนั่นเทียว  โดยการข่มเสียซึ่งนิวรณ์  เพราะฉะนั้น  จึงชื่อว่ามีความงามในเบื้องต้น  ขณะปฏิบัติก็นำความงามมาแม้ด้วยข้อปฏิบัติ  โดยนำมาซึ่งความสุขอันเกิดแต่สมถะและวิปัสสนา  เพราะฉะนั้น  จึงชื่อว่ามีความงามในท่ามกลางและขณะปฏิบัติแล้ว  ด้วยประการนั้น  เมื่อผลแห่งปฏิบัติสำเร็จแล้ว  ย่อมนำความงามมาแม้ด้วยผลแห่งการปฏิบัติ  โดยนำมาซึ่งความเป็นผู้คงเส้นคงวา  เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่ามีความงามในที่สุด+
  
 <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 357)''</fs></sub> <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 357)''</fs></sub>