| การแก้ไขถัดไป | การแก้ไขก่อนหน้า | 
| วิสุทธิมรรค_04_ปถวีกสิณนิทเทส [2020/06/27 09:27]  – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 | วิสุทธิมรรค_04_ปถวีกสิณนิทเทส [2021/01/02 13:14] (ฉบับปัจจุบัน)  – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 | 
|---|
| {{wst>วสธมฉปส head|}} | {{template:วสธมฉปส head|}} | 
| {{wst>วสธมฉปส sidebar}} | {{template:ฉบับปรับสำนวน head|}} | 
|  |  | 
| == วิธีเลือกวัดให้ภาวนาสะดวก == | = วิธีเลือกวัดให้ภาวนาสะดวก = | 
| บัดนี้  จะอรรถาธิบายโดยพิสดารในหัวข้อสังเขปที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่า  พึงออกจากวัดอันไม่สมควรแก่การภาวนาสมาธิ  ไปอยู่  ณ  ที่วัดอันสมควร  ดังต่อไปนี้ – | บัดนี้  จะอรรถาธิบายโดยพิสดารในหัวข้อสังเขปที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่า  พึงออกจากวัดอันไม่สมควรแก่การภาวนาสมาธิ  ไปอยู่  ณ  ที่วัดอันสมควร  ดังต่อไปนี้ – | 
|  |  | 
| ส่วนโยคีบุคคลผู้ไม่ได้ที่อยู่อันผาสุกสบาย  แม้ในระยะทางประมาณสี่ร้อยเส้นนั้น  จงตัดข้อขอดที่เข้าใจได้ยากในกัมมัฏฐานให้กระจ่างแจ้งทุกประการ  ชำระกัมมัฏฐานให้บริสุทธิ์ด้วยดีขึ้นอยู่กับใจได้แล้ว  จะพรากออกจากวัดอันไม่สมควรแก่การภาวนาสมาธิ  ไปอยู่  ณ  ที่วัดอันสมควร  แม้ไกล ๆ  กว่านั้นก็ได้ | ส่วนโยคีบุคคลผู้ไม่ได้ที่อยู่อันผาสุกสบาย  แม้ในระยะทางประมาณสี่ร้อยเส้นนั้น  จงตัดข้อขอดที่เข้าใจได้ยากในกัมมัฏฐานให้กระจ่างแจ้งทุกประการ  ชำระกัมมัฏฐานให้บริสุทธิ์ด้วยดีขึ้นอยู่กับใจได้แล้ว  จะพรากออกจากวัดอันไม่สมควรแก่การภาวนาสมาธิ  ไปอยู่  ณ  ที่วัดอันสมควร  แม้ไกล ๆ  กว่านั้นก็ได้ | 
|  |  | 
| ===วัดที่ภาวนาไม่สะดวก 18=== | ==วัดที่ภาวนาไม่สะดวก 18== | 
|  |  | 
| ในวัดที่สมควรและไม่สมควรนั้น  วัดที่ประกอบด้วยโทษ  18  ประการ  อย่างใดอย่างหนึ่ง  ชื่อว่า  วัดไม่สมควร  โทษ  18  ประการ  ในวัดนั้นดังนี้  คือ – | ในวัดที่สมควรและไม่สมควรนั้น  วัดที่ประกอบด้วยโทษ  18  ประการ  อย่างใดอย่างหนึ่ง  ชื่อว่า  วัดไม่สมควร  โทษ  18  ประการ  ในวัดนั้นดังนี้  คือ – | 
| บัณฑิตทราบถึงสถานที่  18  ประการเหล่านี้  คือ  วัดใหญ่ 1  วัดสร้างใหม่ 1  วัดที่ชำรุด 1  วัดอิงทางหลวง 1  วัดมีสระน้ำ 1  วัดมีใบไม้ที่ใช้เป็นผัก 1  วัดมีไม้ดอก 1  วัดมีคนไม่ลงรอยกัน 1  วัดอิงท่า 1  วัดอิงบ้านป่าชายแดน 1  วัดอิงเขตแดนประเทศ 1  วัดไม่เป็นที่สบาย 1 และวัดที่หากัลยาณมิตรไม่ได้ 1  ว่าเป็นวัดอันไม่สมควรแก่ภาวนา  ฉะนี้แล้ว  พึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล  เหมือนพ่อค้าหลีกเว้นทางอันมีภัยเฉพาะหน้า  ฉะนั้น | บัณฑิตทราบถึงสถานที่  18  ประการเหล่านี้  คือ  วัดใหญ่ 1  วัดสร้างใหม่ 1  วัดที่ชำรุด 1  วัดอิงทางหลวง 1  วัดมีสระน้ำ 1  วัดมีใบไม้ที่ใช้เป็นผัก 1  วัดมีไม้ดอก 1  วัดมีคนไม่ลงรอยกัน 1  วัดอิงท่า 1  วัดอิงบ้านป่าชายแดน 1  วัดอิงเขตแดนประเทศ 1  วัดไม่เป็นที่สบาย 1 และวัดที่หากัลยาณมิตรไม่ได้ 1  ว่าเป็นวัดอันไม่สมควรแก่ภาวนา  ฉะนี้แล้ว  พึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล  เหมือนพ่อค้าหลีกเว้นทางอันมีภัยเฉพาะหน้า  ฉะนั้น | 
|  |  | 
| ===วัดที่ภาวนาสะดวก 5=== | ==วัดที่ภาวนาสะดวก 5== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  วัดใดประกอบด้วยองคคุณ 5  ประการ  เช่นไม่ไกลไม่ใกล้นักแต่โคจรคาม  เป็นต้น  วัดเช่นนี้จัดเป็นวัดที่สมควรแก่ภาวนา  สมดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า – | ก็แหละ  วัดใดประกอบด้วยองคคุณ 5  ประการ  เช่นไม่ไกลไม่ใกล้นักแต่โคจรคาม  เป็นต้น  วัดเช่นนี้จัดเป็นวัดที่สมควรแก่ภาวนา  สมดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า – | 
| อันไม่สมควรแก่สมาธิภาวนาไปอยู่  ณ  ที่วัดอันสมควร  ยุติลงเพียงเท่านี้ | อันไม่สมควรแก่สมาธิภาวนาไปอยู่  ณ  ที่วัดอันสมควร  ยุติลงเพียงเท่านี้ | 
|  |  | 
| ==ตัดเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ== | =ตัดเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ= | 
|  |  | 
| ในหัวข้อสังเขปว่า  พึงทำการตัดเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ เสีย  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า -  อันโยคีบุคคลผู้อยู่ในวัดอันสมควรแก่ภาวนาอย่างนี้แล้ว  เมื่อมีเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ  แม้ชนิดใดอยู่  ก็พึงตัดเครื่องกังวลแม้ชนิดนั้นเสียก่อน | ในหัวข้อสังเขปว่า  พึงทำการตัดเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ เสีย  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า -  อันโยคีบุคคลผู้อยู่ในวัดอันสมควรแก่ภาวนาอย่างนี้แล้ว  เมื่อมีเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ  แม้ชนิดใดอยู่  ก็พึงตัดเครื่องกังวลแม้ชนิดนั้นเสียก่อน | 
| (หน้าที่ 204) | (หน้าที่ 204) | 
|  |  | 
| ==วิธีทำภาวนากัมมัฏฐาน 40== | =วิธีทำภาวนากัมมัฏฐาน 40= | 
|  |  | 
| บัดนี้  จะอรรถาธิบายโดยพิสดารในหัวข้อสังเขปทีว่า  พึงภาวนา  ไม่ทำภาวนาวิธีทุกอย่างให้บกพร่อง  ฉะนี้  ด้วยอำนาจกัมมัฏฐานหมดทั้ง 40  ประการไปโดยลำดับโดยจะแสดงปถวีกสิณเป็นประการแรก  ดังต่อไปนี้ – | บัดนี้  จะอรรถาธิบายโดยพิสดารในหัวข้อสังเขปทีว่า  พึงภาวนา  ไม่ทำภาวนาวิธีทุกอย่างให้บกพร่อง  ฉะนี้  ด้วยอำนาจกัมมัฏฐานหมดทั้ง 40  ประการไปโดยลำดับโดยจะแสดงปถวีกสิณเป็นประการแรก  ดังต่อไปนี้ – | 
|  |  | 
| ==วิธีภาวนาปถวีกสิณ== | =วิธีภาวนาปถวีกสิณ= | 
|  |  | 
| ก็แหละ  ภิกษุผู้โยคีบุคคลเมื่อตัดเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ  ดังนี้แล้ว  เวลาภายหลังอาหาร  กลับจากการบิณฑบาต  บรรเทาความมึนเมาอันมีอาหารเป็นเหตุแล้ว  พึงไปนั่งคู้บังลังก์  ตั้งกายให้ตรง  ณ  โอกาสอันสงัด  แต่นั้นพึงกำหนดเอานิมิตกสิณในดินที่ทำขึ้น  หรือที่เป็นเองตามปกติต่อไป  ข้อนี้สมดังที่ท่านโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า – | ก็แหละ  ภิกษุผู้โยคีบุคคลเมื่อตัดเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ  ดังนี้แล้ว  เวลาภายหลังอาหาร  กลับจากการบิณฑบาต  บรรเทาความมึนเมาอันมีอาหารเป็นเหตุแล้ว  พึงไปนั่งคู้บังลังก์  ตั้งกายให้ตรง  ณ  โอกาสอันสงัด  แต่นั้นพึงกำหนดเอานิมิตกสิณในดินที่ทำขึ้น  หรือที่เป็นเองตามปกติต่อไป  ข้อนี้สมดังที่ท่านโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า – | 
|  |  | 
| === บริกรรม === | == บริกรรม === | 
| ==== วิธีทำนิมิตของปถวีกสิณ ==== | === วิธีทำนิมิตของปถวีกสิณ === | 
| โยคีบุคคลเมื่อจะถือเอาปถวีกสิณโดยอุคคหนิมิตนั้น  ย่อมถือเอานิมิตในวงกลมแห่งดินที่สร้างขึ้นหรือที่เป็นเองตามปกติ  ชนิดที่มีกำหนด  ไม่ใช่ไม่มีกำหนด,  ชนิดที่มีที่สุด  ไม่ใช่ไม่มีที่สุด, ชนิดที่มีสันฐานกลม  ไม่ใช่ที่ไม่กลม,  ชนิดที่มีขอบเขต  ไม่ใช่ไม่มีขอบเขต,  โตเท่ากระด้งหรือเท่าปากขันโอ  โยคีบุคคลนั้นย่อมภาวนาทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือเอาดีแล้ว  ย่อมทรงไว้ซึ่งนิมิตนั้นให้เป็นอันทรงไว้ดีแล้ว  และย่อมกำหนดนิมิตนั้นให้เป็นอันกำหนดดีแล้ว  ครั้นเธอภาวนาทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือเอาดีแล้ว  ทำการทรงไว้ให้เป็นอันทรงไว้ดีแล้ว  ทำการกำหนดให้เป็นอันกำหนดดีแล้ว  ก็จะเห็นอานิสงส์  มีความสำคัญเห็นเป็นรัตนะ  นอบน้อม  เคารพ  คารวะ  กระหยิ่มอิ่มใจ  น้อมจิตเข้าไปผูกติดไว้ในอารมณ์ที่ตนถือเอาดีแล้ว  ทรงไว้ดีแล้ว  กำหนดไว้ดีแล้วนั้น  ด้วยความมั่นใจว่า  เราจักรอดพ้นจากชราทุกข์มรณทุกข์  ด้วยปฏิปทาอันนี้อย่างแน่นอน  เธอบรรลุแล้วซึ่งปฐมฌาน  อันมีวิตก  มีวิจาร  มีปีติ  และสุขอันเกิดแก่ความสงัด  เพราะสงัดแน่นอนแล้วจากกามทั้งหลาย  เพราะสงัดแน่นอนแล้วจาก  อกุศลธรรมทั้งหลาย  ฉะนี้แล | โยคีบุคคลเมื่อจะถือเอาปถวีกสิณโดยอุคคหนิมิตนั้น  ย่อมถือเอานิมิตในวงกลมแห่งดินที่สร้างขึ้นหรือที่เป็นเองตามปกติ  ชนิดที่มีกำหนด  ไม่ใช่ไม่มีกำหนด,  ชนิดที่มีที่สุด  ไม่ใช่ไม่มีที่สุด, ชนิดที่มีสันฐานกลม  ไม่ใช่ที่ไม่กลม,  ชนิดที่มีขอบเขต  ไม่ใช่ไม่มีขอบเขต,  โตเท่ากระด้งหรือเท่าปากขันโอ  โยคีบุคคลนั้นย่อมภาวนาทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือเอาดีแล้ว  ย่อมทรงไว้ซึ่งนิมิตนั้นให้เป็นอันทรงไว้ดีแล้ว  และย่อมกำหนดนิมิตนั้นให้เป็นอันกำหนดดีแล้ว  ครั้นเธอภาวนาทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือเอาดีแล้ว  ทำการทรงไว้ให้เป็นอันทรงไว้ดีแล้ว  ทำการกำหนดให้เป็นอันกำหนดดีแล้ว  ก็จะเห็นอานิสงส์  มีความสำคัญเห็นเป็นรัตนะ  นอบน้อม  เคารพ  คารวะ  กระหยิ่มอิ่มใจ  น้อมจิตเข้าไปผูกติดไว้ในอารมณ์ที่ตนถือเอาดีแล้ว  ทรงไว้ดีแล้ว  กำหนดไว้ดีแล้วนั้น  ด้วยความมั่นใจว่า  เราจักรอดพ้นจากชราทุกข์มรณทุกข์  ด้วยปฏิปทาอันนี้อย่างแน่นอน  เธอบรรลุแล้วซึ่งปฐมฌาน  อันมีวิตก  มีวิจาร  มีปีติ  และสุขอันเกิดแก่ความสงัด  เพราะสงัดแน่นอนแล้วจากกามทั้งหลาย  เพราะสงัดแน่นอนแล้วจาก  อกุศลธรรมทั้งหลาย  ฉะนี้แล | 
|  |  | 
| =====นิมิตกสิณธรรมชาติ===== | ====นิมิตกสิณธรรมชาติ==== | 
|  |  | 
| ในคำของท่านโบราณาจารย์นั้น  มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ -  อันโยคีบุคคลใด  เคยบวชในศาสนาหรือเคยบวชเป็นฤาษีแล้ว  ทำฌาน 4  และฌาน 5  ในปถวีกสิณให้บังเกิด | ในคำของท่านโบราณาจารย์นั้น  มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ -  อันโยคีบุคคลใด  เคยบวชในศาสนาหรือเคยบวชเป็นฤาษีแล้ว  ทำฌาน 4  และฌาน 5  ในปถวีกสิณให้บังเกิด | 
| ได้ยินว่า  ท่านพระมัลลกเถระนั้น  ขณะที่ท่านเพ่งดูที่ดินที่เขาไถไว้  อุคคหนิมิตประมาณเท่าที่ซึ่งเขาไถไว้นั้นนั่นเทียวได้เกิดขึ้นแล้ว  ท่านเจริญอุคคหนิมิตจนได้บรรลุฌาน 5  แล้วเริ่มเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานอันมีฌานนั้นเป็นปทัฏฐาน  จนได้บรรลุพระอรหัตแล | ได้ยินว่า  ท่านพระมัลลกเถระนั้น  ขณะที่ท่านเพ่งดูที่ดินที่เขาไถไว้  อุคคหนิมิตประมาณเท่าที่ซึ่งเขาไถไว้นั้นนั่นเทียวได้เกิดขึ้นแล้ว  ท่านเจริญอุคคหนิมิตจนได้บรรลุฌาน 5  แล้วเริ่มเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานอันมีฌานนั้นเป็นปทัฏฐาน  จนได้บรรลุพระอรหัตแล | 
|  |  | 
| =====นิมิตกสิณทำเอง===== | ====นิมิตกสิณทำเอง==== | 
|  |  | 
| ส่วนโยคีบุคคลใดผู้ไม่ได้ทำบุญญาธิการไว้เหมือนอย่างที่กล่าวไว้  เธอต้องสร้างปถวีสิณขึ้นเอง  อย่างที่ไม่ให้ผิดเพี้ยนไปจากกรรมวิธีที่เรียนมาในสำนักของพระอาจารย์  และให้เลี่ยงเสียจากโทษของกสิณ  4  ประการ  จริงอยู่  โทษของปถวีกสิณมีอยู่  4  ประการ  ด้วยอำนาจทำปะปนกับสีเขียว 1  สีเหลือง 1 สีแดง 1  สีขาว 1  เพราะฉะนั้น  โยคีบุคคลอย่าได้เอาดินมีสีเขียวเป็นต้นมาทำกสิณ  จงทำด้วยดินที่มีสีเหมือนแสงอรุณ  เช่น  ดินที่แม่น้ำคงคา  ก็แหละ  กสิณนั้นอย่าทำไว้  ณ  ตรงกลางวัด  หรือ  ณ  ที่ภิกษุสามเณรสัญจรไปมา  พึงทำไว้ตรงที่เป็นเพิงหรือบรรณศาลา  ซึ่งเป็นที่ลับอยู่ท้ายวัด  จะเป็นกสิณชนิดที่โยกย้ายได้  หรือชนิดที่ตกอยู่กับที่ก็ได้ | ส่วนโยคีบุคคลใดผู้ไม่ได้ทำบุญญาธิการไว้เหมือนอย่างที่กล่าวไว้  เธอต้องสร้างปถวีสิณขึ้นเอง  อย่างที่ไม่ให้ผิดเพี้ยนไปจากกรรมวิธีที่เรียนมาในสำนักของพระอาจารย์  และให้เลี่ยงเสียจากโทษของกสิณ  4  ประการ  จริงอยู่  โทษของปถวีกสิณมีอยู่  4  ประการ  ด้วยอำนาจทำปะปนกับสีเขียว 1  สีเหลือง 1 สีแดง 1  สีขาว 1  เพราะฉะนั้น  โยคีบุคคลอย่าได้เอาดินมีสีเขียวเป็นต้นมาทำกสิณ  จงทำด้วยดินที่มีสีเหมือนแสงอรุณ  เช่น  ดินที่แม่น้ำคงคา  ก็แหละ  กสิณนั้นอย่าทำไว้  ณ  ตรงกลางวัด  หรือ  ณ  ที่ภิกษุสามเณรสัญจรไปมา  พึงทำไว้ตรงที่เป็นเพิงหรือบรรณศาลา  ซึ่งเป็นที่ลับอยู่ท้ายวัด  จะเป็นกสิณชนิดที่โยกย้ายได้  หรือชนิดที่ตกอยู่กับที่ก็ได้ | 
| แหละ  ที่ท่านโบราณาจารย์กล่าวว่า  ประมาณเท่ากระด้งหรือประมาณเท่ากับปากขันโอนั้น  ท่านหมายเอาประมาณคือ 1 คืบ 4  นิ้วนี้แล  ส่วนคำมีอาทิว่า  ชนิดที่มีกำหนด  ไม่ใช่ไม่มีกำหนด  นั้น  ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงว่า  ปถวีกสิณนั้นเป็นสิ่งที่มีกำหนดขอบเขต | แหละ  ที่ท่านโบราณาจารย์กล่าวว่า  ประมาณเท่ากระด้งหรือประมาณเท่ากับปากขันโอนั้น  ท่านหมายเอาประมาณคือ 1 คืบ 4  นิ้วนี้แล  ส่วนคำมีอาทิว่า  ชนิดที่มีกำหนด  ไม่ใช่ไม่มีกำหนด  นั้น  ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงว่า  ปถวีกสิณนั้นเป็นสิ่งที่มีกำหนดขอบเขต | 
|  |  | 
| ====วิธีนั่งเพ่งปถวีกสิณ==== | ===วิธีนั่งเพ่งปถวีกสิณ=== | 
|  |  | 
| เพราะเหตุที่ท่านแนะให้ทำกสิณอย่างมีกำหนดนั้น  ครั้นกะกำหนดประมาณเท่าที่กล่าวคือ 1  คืบ 4  นิ้วอย่างนั้นแล้ว  จึงทำสีที่ไม่กลืนกับสีดินอรุณให้ปรากฏขึ้นเป็นขอบเขตไว้ด้วยเกรียงไม้  แต่นั้นจงอย่าใช้เกรียงไม้นั้น  พึงใช้เกรียงหินขัดทำให้เรียบเสมอเหมือนหน้ากลอง  ครั้นแล้วจงปัดกวาดสถานที่นั้นให้สะอาด  ไปสรงน้ำชำระกายแล้วจึงกลับมา  นั่งบนตั่งที่ตรึงอย่างมั่นคง  มีเท้าสูง 1  คืบ 4  นิ้ว  ซึ่งเตรียมตั้งไว้  ณ  สถานที่ภายในระยะห่าง 2  ศอก 1  คืบแต่ดวงกสิณ | เพราะเหตุที่ท่านแนะให้ทำกสิณอย่างมีกำหนดนั้น  ครั้นกะกำหนดประมาณเท่าที่กล่าวคือ 1  คืบ 4  นิ้วอย่างนั้นแล้ว  จึงทำสีที่ไม่กลืนกับสีดินอรุณให้ปรากฏขึ้นเป็นขอบเขตไว้ด้วยเกรียงไม้  แต่นั้นจงอย่าใช้เกรียงไม้นั้น  พึงใช้เกรียงหินขัดทำให้เรียบเสมอเหมือนหน้ากลอง  ครั้นแล้วจงปัดกวาดสถานที่นั้นให้สะอาด  ไปสรงน้ำชำระกายแล้วจึงกลับมา  นั่งบนตั่งที่ตรึงอย่างมั่นคง  มีเท้าสูง 1  คืบ 4  นิ้ว  ซึ่งเตรียมตั้งไว้  ณ  สถานที่ภายในระยะห่าง 2  ศอก 1  คืบแต่ดวงกสิณ | 
| อีกประการหนึ่ง  ที่ชื่อว่า  ปถวี  นี้นั่นเทียว  ปรากฏเป็นที่รู้จักกันมากกว่าชื่ออื่น  ฉะนั้น  โยคีบุคคลพึงภาวนาด้วยคำบาลีว่า  ปถวี –ปถวี  หรือด้วยคำไทยว่า  ดิน–ดิน  ดังนี้  ด้วยอำนาจเป็นชื่อที่ปรากฏนั่นเทียว  และบางครั้งพึงลืมตาดูนิมิต  บางครั้งพึงหลับตาเสียแล้วนึกทางใจ  อุคคหนิมิตยังไม่เกิดข้นตราบใด  ตราบนั้นจงภาวนาเรื่อย ๆ  ไปโดยนัยนี้แหละ  จนถึงร้อยครั้งพันครั้ง  หรือ  แม้จะมากครั้งกว่านั้นขึ้นไปก็ตาม | อีกประการหนึ่ง  ที่ชื่อว่า  ปถวี  นี้นั่นเทียว  ปรากฏเป็นที่รู้จักกันมากกว่าชื่ออื่น  ฉะนั้น  โยคีบุคคลพึงภาวนาด้วยคำบาลีว่า  ปถวี –ปถวี  หรือด้วยคำไทยว่า  ดิน–ดิน  ดังนี้  ด้วยอำนาจเป็นชื่อที่ปรากฏนั่นเทียว  และบางครั้งพึงลืมตาดูนิมิต  บางครั้งพึงหลับตาเสียแล้วนึกทางใจ  อุคคหนิมิตยังไม่เกิดข้นตราบใด  ตราบนั้นจงภาวนาเรื่อย ๆ  ไปโดยนัยนี้แหละ  จนถึงร้อยครั้งพันครั้ง  หรือ  แม้จะมากครั้งกว่านั้นขึ้นไปก็ตาม | 
|  |  | 
| ===ได้อุปจาระ,ละนิวรณ์,ได้ปฏิภาคพร้อมกัน=== | ==ได้อุปจาระ,ละนิวรณ์,ได้ปฏิภาคพร้อมกัน== | 
|  |  | 
| ====นิมิต 2==== | ===นิมิต 2=== | 
|  |  | 
| =====ได้อุคคหนิมิต===== | ====ได้อุคคหนิมิต==== | 
|  |  | 
| เมื่อโยคีบุคคลภาวนาอยู่อย่างนั้น  กาลใด  หลับตานึกทางใจ  นิมิตในปถวีกสิณนั้น  มาสู่คลองจักษุ  คือเข้าถึงความเป็นอารมณ์ของมโนทวาริกชวนจิต  กาลนั้น  ย่อมได้ชื่อว่า  อุคคหนิมิต  เกิดแล้ว  นับแต่เวลาอุคคหนิมิตเกิดแล้วไป  โยคีบุคคลไม่ต้องนั่งภาวนาอยู่  ณ  ที่ดวงกสิณนั้นอีก  พึงกลับเข้าสู่ที่อยู่ของตนแล้วนั่งภาวนาอยู่  ณ  ที่นั้นเถิด | เมื่อโยคีบุคคลภาวนาอยู่อย่างนั้น  กาลใด  หลับตานึกทางใจ  นิมิตในปถวีกสิณนั้น  มาสู่คลองจักษุ  คือเข้าถึงความเป็นอารมณ์ของมโนทวาริกชวนจิต  กาลนั้น  ย่อมได้ชื่อว่า  อุคคหนิมิต  เกิดแล้ว  นับแต่เวลาอุคคหนิมิตเกิดแล้วไป  โยคีบุคคลไม่ต้องนั่งภาวนาอยู่  ณ  ที่ดวงกสิณนั้นอีก  พึงกลับเข้าสู่ที่อยู่ของตนแล้วนั่งภาวนาอยู่  ณ  ที่นั้นเถิด | 
| อนึ่ง  เพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ชักช้าเสียเวลาในเพราะอันที่จะต้องล้างเท้า  โยคีบุคคลจำต้องมีรองเท้าชนิดชั้นเดียวกับไม้เท้าด้วย  เพื่อว่าถ้าสมาธิที่ยังอ่อนจะเสื่อมหายไปด้วย  เหตุอันไม่เป็นที่สบายบางอย่างแล้ว  โยคีบุคคลจะได้สวมรองเท้าถือไม้เท้าไปยังที่เดิมนั้น  นั่งเพ่งกสิณจนได้อุคคหนิมิตอีก  จึงกลับมาที่อยู่ของตน  นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายให้ตรงภาวนาเรื่อย ๆ ไป | อนึ่ง  เพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ชักช้าเสียเวลาในเพราะอันที่จะต้องล้างเท้า  โยคีบุคคลจำต้องมีรองเท้าชนิดชั้นเดียวกับไม้เท้าด้วย  เพื่อว่าถ้าสมาธิที่ยังอ่อนจะเสื่อมหายไปด้วย  เหตุอันไม่เป็นที่สบายบางอย่างแล้ว  โยคีบุคคลจะได้สวมรองเท้าถือไม้เท้าไปยังที่เดิมนั้น  นั่งเพ่งกสิณจนได้อุคคหนิมิตอีก  จึงกลับมาที่อยู่ของตน  นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายให้ตรงภาวนาเรื่อย ๆ ไป | 
|  |  | 
| =====ได้ปฏิภาคนิมิต===== | ====ได้ปฏิภาคนิมิต==== | 
|  |  | 
| อันโยคีบุคคลนั้นพึงพยายามนึกถึงอุคคหนิมิตนั้นให้บ่อย ๆ  ทำกัมมัฏฐานให้เป็นอันความนึกตะล่อมมาไว้ในจิตแล้ว  อันความนึกชอบตะล่อมมาไว้ในจิตแล้ว  เมื่อโยคีบุคคลทำกัมมัฏฐานให้เป็นความนึกตะล่อมมาไว้ในจิตแล้ว  อันความนึกชอบตะล่อมมาไว้ในจิตแล้วอย่างนี้  นิวรณ์ทั้งหลายมีกามฉันทะเป็นต้นก็จะสงบลง  และกิเลสทั้งหลายอันตั้งอยู่ในฐานะเดียวกันกับนิวรณ์นั้น  ก็จะระงับหายไปโดยลำดับแห่งภาวนา  จิตย่อมตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิ  ปฏิภาคนิมิต  ย่อมเกิดขึ้น  ด้วยประการฉะนี้ | อันโยคีบุคคลนั้นพึงพยายามนึกถึงอุคคหนิมิตนั้นให้บ่อย ๆ  ทำกัมมัฏฐานให้เป็นอันความนึกตะล่อมมาไว้ในจิตแล้ว  อันความนึกชอบตะล่อมมาไว้ในจิตแล้ว  เมื่อโยคีบุคคลทำกัมมัฏฐานให้เป็นความนึกตะล่อมมาไว้ในจิตแล้ว  อันความนึกชอบตะล่อมมาไว้ในจิตแล้วอย่างนี้  นิวรณ์ทั้งหลายมีกามฉันทะเป็นต้นก็จะสงบลง  และกิเลสทั้งหลายอันตั้งอยู่ในฐานะเดียวกันกับนิวรณ์นั้น  ก็จะระงับหายไปโดยลำดับแห่งภาวนา  จิตย่อมตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิ  ปฏิภาคนิมิต  ย่อมเกิดขึ้น  ด้วยประการฉะนี้ | 
|  |  | 
| =====ความแตกต่างของนิมิตทั้ง 2===== | ====ความแตกต่างของนิมิตทั้ง 2==== | 
|  |  | 
| ในนิมิตทั้ง 2  นั้น  ความแปลกกันแห่งอุคคหนิมิตอันก่อนกับปฏิภาคนิมิตนี้  ดังนี้ คือ  ในขั้นอุคคหนิมิตยังมีโทษแห่งกสิณปรากฏให้เห็นอยู่ได้  ส่วนปฏิภาคนิมิตย่อมปรากฏเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่องกว่าอุคคหนิมิตนั้นตั้งร้อยเท่าพันเท่า  เป็นดุจชำแรกอุคคหนิมิตออกมาคล้ายกับดวงแว่นที่ถอดออกจากถุง  คล้ายถาดสังข์ที่ขัดดีแล้ว  คล้ายดวงจันทร์ที่ออกจากกลีบเมฆ  และคล้ายหมู่นกยางอยู่ที่หน้าเมฆ | ในนิมิตทั้ง 2  นั้น  ความแปลกกันแห่งอุคคหนิมิตอันก่อนกับปฏิภาคนิมิตนี้  ดังนี้ คือ  ในขั้นอุคคหนิมิตยังมีโทษแห่งกสิณปรากฏให้เห็นอยู่ได้  ส่วนปฏิภาคนิมิตย่อมปรากฏเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่องกว่าอุคคหนิมิตนั้นตั้งร้อยเท่าพันเท่า  เป็นดุจชำแรกอุคคหนิมิตออกมาคล้ายกับดวงแว่นที่ถอดออกจากถุง  คล้ายถาดสังข์ที่ขัดดีแล้ว  คล้ายดวงจันทร์ที่ออกจากกลีบเมฆ  และคล้ายหมู่นกยางอยู่ที่หน้าเมฆ | 
| (หน้าที่ 209) | (หน้าที่ 209) | 
|  |  | 
| ====สมาธิ  2==== | ===สมาธิ  2=== | 
|  |  | 
| แหละสมาธินั้นมี   2   อย่าง  คือ   อุปจารสมาธิ  1   อัปปนาสมาธิ  1   จิตในอุปจารภูมิ  หรือในปฎิลาภภูมิ   ( ภูมที่ได้อัปปนาฌาน )   ย่อมตั้งมั่นด้วยเหตุ  2  ประการ  คือ  ใน  2  ภูมินั้น   จิตในอุปจารภูมิย่อมตั้งมั่น   เพราะการประหานเสียได้ซึ่งนิวรณ์   จิตในปฎิลาภภูมิย่อมตั้งมั่นเพราะความบังเกิดขึ้นแห่งองค์ฌาน | แหละสมาธินั้นมี   2   อย่าง  คือ   อุปจารสมาธิ  1   อัปปนาสมาธิ  1   จิตในอุปจารภูมิ  หรือในปฎิลาภภูมิ   ( ภูมที่ได้อัปปนาฌาน )   ย่อมตั้งมั่นด้วยเหตุ  2  ประการ  คือ  ใน  2  ภูมินั้น   จิตในอุปจารภูมิย่อมตั้งมั่น   เพราะการประหานเสียได้ซึ่งนิวรณ์   จิตในปฎิลาภภูมิย่อมตั้งมั่นเพราะความบังเกิดขึ้นแห่งองค์ฌาน | 
| (หน้าที่ 210) | (หน้าที่ 210) | 
|  |  | 
| ====สัปปายะ 7==== | ===สัปปายะ 7=== | 
|  |  | 
| =====ระวัง 7 ข้อเพื่อรักษาปฏิภาคนิมิตที่เพิ่งได้มา===== | ====ระวัง 7 ข้อเพื่อรักษาปฏิภาคนิมิตที่เพิ่งได้มา==== | 
|  |  | 
| ต้องเว้นอสัปปายะ 7  และเสพสัปปายะ  7 | ต้องเว้นอสัปปายะ 7  และเสพสัปปายะ  7 | 
| (หน้าที่ 213) | (หน้าที่ 213) | 
|  |  | 
| ====อัปปนาโกศล  10==== | ===อัปปนาโกศล  10=== | 
| =====บริหาร 10 ข้อให้บรรลุอัปปนา===== | ====บริหาร 10 ข้อให้บรรลุอัปปนา==== | 
|  |  | 
| ถ้ายังไม่สำเร็จอัปปนาฌาน ต้องบำเพ็ญอัปปนาโกศล  10  ประการ | ถ้ายังไม่สำเร็จอัปปนาฌาน ต้องบำเพ็ญอัปปนาโกศล  10  ประการ | 
| หนึ่ง  ความฉลาดในนิมิตที่ประสงค์เอาในอัปปนาโกศลกถานี้  ได้แก่ความฉลาดในการรักษาซึ่งนิมิตที่ได้มาแล้วด้วยการภาวนานั้น | หนึ่ง  ความฉลาดในนิมิตที่ประสงค์เอาในอัปปนาโกศลกถานี้  ได้แก่ความฉลาดในการรักษาซึ่งนิมิตที่ได้มาแล้วด้วยการภาวนานั้น | 
|  |  | 
| =====โพชฌงค์ 7===== | ====โพชฌงค์==== | 
|  |  | 
|  |  | 
| '''4.  โดยยกจิตในสมัยที่ควรยก | '''4.  โดยยกจิตในสมัยที่ควรยก | 
| พฤติการณ์ที่เป็นไป  ในละอองดอกไม้,  ในใบบัว,  ในใยแมงมุม,  ในเรือ และในขวดน้ำมัน  ของบุคคลทั้งหลาย  มีแมลงผึ้งเป็นต้น  ซึ่งท่านพรรณนาไว้ด้วยดีแล้วในอรรถกถา  ฉันใด  โยคีบุคคลพึงภาวนาปลดเปลื้องภาวนาจิตจากภาวะที่หดหู่  และภาวะที่ฟุ้งซ่าน  โดยสิ้นเชิง  แล้วประคองภาวนาจิตให้บ่ายหน้าเฉพาะจดจ่ออยู่ในปฏิภาคนิมิต  ฉันนั้น  ฉะนี้แล | พฤติการณ์ที่เป็นไป  ในละอองดอกไม้,  ในใบบัว,  ในใยแมงมุม,  ในเรือ และในขวดน้ำมัน  ของบุคคลทั้งหลาย  มีแมลงผึ้งเป็นต้น  ซึ่งท่านพรรณนาไว้ด้วยดีแล้วในอรรถกถา  ฉันใด  โยคีบุคคลพึงภาวนาปลดเปลื้องภาวนาจิตจากภาวะที่หดหู่  และภาวะที่ฟุ้งซ่าน  โดยสิ้นเชิง  แล้วประคองภาวนาจิตให้บ่ายหน้าเฉพาะจดจ่ออยู่ในปฏิภาคนิมิต  ฉันนั้น  ฉะนี้แล | 
|  |  | 
| ===ได้ปฐมฌาน=== | ==ได้ปฐมฌาน== | 
| ====อธิบายสภาพของผู้ได้ฌานอย่างละเอียด==== | ===อธิบายสภาพของผู้ได้ฌานอย่างละเอียด=== | 
|  |  | 
| ก็แหละเมื่อโยคีบุคคลประคองภาวนาจิตให้บ่ายหน้าเฉพาะจดจ่อในปฏิภาคนิมิตอยู่ด้วยอาการอย่างนี้นั้น  มโนทวาราวัชชนจิต  ทำปถวีกสิณอันปรากฏอยู่ด้วยอำนาจภาวนาว่า  ปถวี – ปถวี  นั้นนั่นแหละให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นตัดภวังคจิต  เหมือนจะเตือนให้รู้ว่า  อัปปนาสมาธิจักสำเร็จเดี๋ยวนี้แล้ว  ถัดจากนั้น  ชวนจิตเล่นไปในอารมณ์นั้นนั่นแหละ  4  ขณะบ้าง  5 ขณะบ้าง  ในชวนจิต 4  หรือ  5  ขณะนั้น  ดวงหนึ่งในขณะสุดท้ายจัดเป็น  รูปาวจรกุศลจิต  (อัปปนาจิต)  อีก 3  หรือ 4  ดวงที่เหลือข้างต้นคงเป็น  กามาวจรกุศลจิต | ก็แหละเมื่อโยคีบุคคลประคองภาวนาจิตให้บ่ายหน้าเฉพาะจดจ่อในปฏิภาคนิมิตอยู่ด้วยอาการอย่างนี้นั้น  มโนทวาราวัชชนจิต  ทำปถวีกสิณอันปรากฏอยู่ด้วยอำนาจภาวนาว่า  ปถวี – ปถวี  นั้นนั่นแหละให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นตัดภวังคจิต  เหมือนจะเตือนให้รู้ว่า  อัปปนาสมาธิจักสำเร็จเดี๋ยวนี้แล้ว  ถัดจากนั้น  ชวนจิตเล่นไปในอารมณ์นั้นนั่นแหละ  4  ขณะบ้าง  5 ขณะบ้าง  ในชวนจิต 4  หรือ  5  ขณะนั้น  ดวงหนึ่งในขณะสุดท้ายจัดเป็น  รูปาวจรกุศลจิต  (อัปปนาจิต)  อีก 3  หรือ 4  ดวงที่เหลือข้างต้นคงเป็น  กามาวจรกุศลจิต | 
|  |  | 
| ====อัปปนาชวนวิถีจิต==== | ===อัปปนาชวนวิถีจิต=== | 
| ''' |  | 
| จิตเหล่าใดซึ่งมี  วิตก,  วิจาร,  ปีติ,  สุข,  เอกัคคตา  (จิตเตกัคคตา)  มีกำลังมากกว่าจิตปกติ  จิตเหล่านั้นเรียกว่า  บริกรรม  บ้าง  เพราะเหตุปรุงแต่งอัปปนา  เรียกว่า  อุปจาระ  บ้าง  เพราะเหตุอยู่ใกล้หรือเฉียดไปใกล้อัปปนา  เหมือนกับสถานที่ซึ่งอยู่ใกล้หมู่บ้านและใกล้นครเป็นต้น  เขาเรียกกันว่า  อุปจาระแห่งบ้านและอุปจาระแห่งนคร  ฉะนั้น  และเรียกว่า  อนุโลม  บ้าง  เพราะเหตุสมควรแก่อัปปนา  ตั้งแต่ในตอนก่อนแต่นี้และตอนหลังแห่งบริกรรมทั้งหลายมา  แหละในกามวจรชวนจิตนั้น  ดวงใดที่เกิดภายหลังเขาทั้งหมด | จิตเหล่าใดซึ่งมี  วิตก,  วิจาร,  ปีติ,  สุข,  เอกัคคตา  (จิตเตกัคคตา)  มีกำลังมากกว่าจิตปกติ  จิตเหล่านั้นเรียกว่า  บริกรรม  บ้าง  เพราะเหตุปรุงแต่งอัปปนา  เรียกว่า  อุปจาระ  บ้าง  เพราะเหตุอยู่ใกล้หรือเฉียดไปใกล้อัปปนา  เหมือนกับสถานที่ซึ่งอยู่ใกล้หมู่บ้านและใกล้นครเป็นต้น  เขาเรียกกันว่า  อุปจาระแห่งบ้านและอุปจาระแห่งนคร  ฉะนั้น  และเรียกว่า  อนุโลม  บ้าง  เพราะเหตุสมควรแก่อัปปนา  ตั้งแต่ในตอนก่อนแต่นี้และตอนหลังแห่งบริกรรมทั้งหลายมา  แหละในกามวจรชวนจิตนั้น  ดวงใดที่เกิดภายหลังเขาทั้งหมด | 
|  |  | 
| ฉะนี้  อัปปนาจึงเกิดขึ้นชั่วขณะจิตเท่านั้น  แต่นั้นก็ตกภวังค์  ครั้นแล้วอาวัชชนจิตตัดภวังค์เกิดขึ้นเพื่อพิจารณาฌาน  แต่นั้นชวนจิตก็ทำหน้าที่พิจารณาฌานต่อไป | ฉะนี้  อัปปนาจึงเกิดขึ้นชั่วขณะจิตเท่านั้น  แต่นั้นก็ตกภวังค์  ครั้นแล้วอาวัชชนจิตตัดภวังค์เกิดขึ้นเพื่อพิจารณาฌาน  แต่นั้นชวนจิตก็ทำหน้าที่พิจารณาฌานต่อไป | 
|  |  | 
| ====ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา==== | ===ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา=== | 
| ก็แหละ  ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเพียงเท่านี้  เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | ก็แหละ  ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเพียงเท่านี้  เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | 
|  |  | 
| #ได้บรรลุปฐมฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์ | #ได้บรรลุปฐมฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์ | 
|  |  | 
| =====ส่วนที่ 1 องค์ฌาน 5 (ได้สงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย เป็นต้น)===== | ====ส่วนที่ 1 องค์ฌาน 5 (ได้สงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย เป็นต้น)==== | 
|  |  | 
| ในคำบาลีอันแสดงถึงองค์สำหรับละของฌานนั้น  มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ – | ในคำบาลีอันแสดงถึงองค์สำหรับละของฌานนั้น  มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ – | 
| อรรถาธิบายความในคำว่า  สงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย  สงัดแล้วแน่นอนจากอกุศลธรรมทั้งหลาย  นี้  ยุติเพียงเท่านี้ | อรรถาธิบายความในคำว่า  สงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย  สงัดแล้วแน่นอนจากอกุศลธรรมทั้งหลาย  นี้  ยุติเพียงเท่านี้ | 
|  |  | 
| ======องค์ฌาน 5====== | =====องค์ฌาน 5===== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  ครั้นข้าพเจ้าได้แสดงองค์สำหรับละของปฐมฌาน  ด้วยอรรถาธิบายเพียงเท่านี้แล้ว  บัดนี้เพื่อจะแสดงองค์ที่ประกอบของปฐมฌานนั้น  ข้าพเจ้าจะอรรถาธิบายคำว่า  มีวิตกมีวิจาร  เป็นต้นต่อไป – | ก็แหละ  ครั้นข้าพเจ้าได้แสดงองค์สำหรับละของปฐมฌาน  ด้วยอรรถาธิบายเพียงเท่านี้แล้ว  บัดนี้เพื่อจะแสดงองค์ที่ประกอบของปฐมฌานนั้น  ข้าพเจ้าจะอรรถาธิบายคำว่า  มีวิตกมีวิจาร  เป็นต้นต่อไป – | 
| (หน้าที่ 240) | (หน้าที่ 240) | 
|  |  | 
| ======ปีติ  5====== | =====ปีติ  5===== | 
|  |  | 
| ในคำว่า  ปีติและสุข  นี้  มีอรรถาธิบายว่า -  ธรรมชาติใดที่ทำให้เอิบอิ่ม  ธรรมชาตินั้นชื่อว่า  ปีติ  ปีตินั้นมีความเอิบอิ่มเป็นลักษณะ  มีอันทำกายและใจให้เอิบอิ่มเป็นกิจ  หรือมีอันแผ่ซ่านไปในกายและกายเป็นกิจก็ได้  มีอันทำกายและใจให้ฟูขึ้นเป็นอาการปรากฏ | ในคำว่า  ปีติและสุข  นี้  มีอรรถาธิบายว่า -  ธรรมชาติใดที่ทำให้เอิบอิ่ม  ธรรมชาตินั้นชื่อว่า  ปีติ  ปีตินั้นมีความเอิบอิ่มเป็นลักษณะ  มีอันทำกายและใจให้เอิบอิ่มเป็นกิจ  หรือมีอันแผ่ซ่านไปในกายและกายเป็นกิจก็ได้  มีอันทำกายและใจให้ฟูขึ้นเป็นอาการปรากฏ | 
| คำว่า  วิหรติ  ที่แปลว่า  อยู่  นั้น  อธิบายว่า  โยคีบุคลผู้พรั่งพร้อมด้วยฌานมีประการดังกล่าวฉะนี้  ย่อมยังการกระทำของอัตภาพร่างกาย  คือการประพฤติ,  การเลี้ยง,  การเป็นไป,  การให้เป็นไป,  การเที่ยวไป  และการผัดผ่อนแห่งอัตภาพร่างกาย  ให้สำเร็จโดยการอยู่ด้วยอิริยาบทชนิดที่สมควรแก่อัตภาพนั้น  ข้อนี้สมด้วยพระบาลีที่ทรงแสดงไว้ในคัมภีร์วิภังค์ว่า  คำว่า  ย่อมอยู่  นั้น  คือ  ย่อมกระทำ  ย่อมประพฤติ  ย่อมเลี้ยง  ย่อมเป็นไป  ย่อมให้เป็นไป  ย่อมเที่ยวไป  ย่อมเดินไป   เพราะเหตุนั้น  จึงเรียกว่า  วิหรติ  ย่อมอยู่  ฉะนี้ | คำว่า  วิหรติ  ที่แปลว่า  อยู่  นั้น  อธิบายว่า  โยคีบุคลผู้พรั่งพร้อมด้วยฌานมีประการดังกล่าวฉะนี้  ย่อมยังการกระทำของอัตภาพร่างกาย  คือการประพฤติ,  การเลี้ยง,  การเป็นไป,  การให้เป็นไป,  การเที่ยวไป  และการผัดผ่อนแห่งอัตภาพร่างกาย  ให้สำเร็จโดยการอยู่ด้วยอิริยาบทชนิดที่สมควรแก่อัตภาพนั้น  ข้อนี้สมด้วยพระบาลีที่ทรงแสดงไว้ในคัมภีร์วิภังค์ว่า  คำว่า  ย่อมอยู่  นั้น  คือ  ย่อมกระทำ  ย่อมประพฤติ  ย่อมเลี้ยง  ย่อมเป็นไป  ย่อมให้เป็นไป  ย่อมเที่ยวไป  ย่อมเดินไป   เพราะเหตุนั้น  จึงเรียกว่า  วิหรติ  ย่อมอยู่  ฉะนี้ | 
|  |  | 
| =====ส่วน 2 ละองค์ 5  และประกอบด้วยองค์ 5===== | ====ส่วน 2 ละองค์ 5  และประกอบด้วยองค์ 5==== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า  ละองค์  5  ประกอบด้วยองค์  5  นั้น  มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ – | ก็แหละ  ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า  ละองค์  5  ประกอบด้วยองค์  5  นั้น  มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ – | 
| องค์หนึ่งเหมือนกัน  เพราะเหตุที่ทรงเทศนาไว้ในคัมภีร์ภวังค์ว่า  วิตก,  วิจาร,  ปีติ,  สุข,  และ  จิตเตกัคคตา  ชื่อว่า  ฌาน  ดังนี้  อธิบายว่า  การที่พระผู้มีพระภาคทรงเทศนาพระบาลีไว้โดยนัยมีอาทิว่า  สวิตกฺกํ  สวิจารํ  ด้วยข้อพระพุทธาธิบายอย่างใด  ก็เป็นอันว่าข้อพระพุทธาธิบายนั้น  พระองค์ทรงประกาศแสดงไขไว้แล้วว่า  จิตเตกัคคตา  นั้น  ท่านไม่ได้ทรงถือเอาในพระบาลีที่แสดงถึงฌานนั้น  ด้วยประการฉะนี้ | องค์หนึ่งเหมือนกัน  เพราะเหตุที่ทรงเทศนาไว้ในคัมภีร์ภวังค์ว่า  วิตก,  วิจาร,  ปีติ,  สุข,  และ  จิตเตกัคคตา  ชื่อว่า  ฌาน  ดังนี้  อธิบายว่า  การที่พระผู้มีพระภาคทรงเทศนาพระบาลีไว้โดยนัยมีอาทิว่า  สวิตกฺกํ  สวิจารํ  ด้วยข้อพระพุทธาธิบายอย่างใด  ก็เป็นอันว่าข้อพระพุทธาธิบายนั้น  พระองค์ทรงประกาศแสดงไขไว้แล้วว่า  จิตเตกัคคตา  นั้น  ท่านไม่ได้ทรงถือเอาในพระบาลีที่แสดงถึงฌานนั้น  ด้วยประการฉะนี้ | 
|  |  | 
| =====ส่วน 3 มีความงาม 3  และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10===== | ====ส่วน 3 มีความงาม 3  และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10==== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวสังเขปไว้ว่า  มีความงาม  3  สมบูรณ์ด้วยลักษณะ  10  นั้น  มีอรรถาธิบายโดยพิศดารดังต่อไปนี้ – | ก็แหละ  ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวสังเขปไว้ว่า  มีความงาม  3  สมบูรณ์ด้วยลักษณะ  10  นั้น  มีอรรถาธิบายโดยพิศดารดังต่อไปนี้ – | 
| ฉะนั้น  ความร่าเริงใจอันเป็นกิจแห่งญาณ  ท่านจึงกล่าวว่า  เป็นความงามในที่สุดฉะนี้ | ฉะนั้น  ความร่าเริงใจอันเป็นกิจแห่งญาณ  ท่านจึงกล่าวว่า  เป็นความงามในที่สุดฉะนี้ | 
|  |  | 
| =====ส่วน 4 ได้บรรลุปฐมฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์===== | ====ส่วน 4 ได้บรรลุปฐมฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์==== | 
|  |  | 
| บัดนี้  จะอรรถาธิบายในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้  ได้บรรลุปฐมฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์  ต่อไป | บัดนี้  จะอรรถาธิบายในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้  ได้บรรลุปฐมฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์  ต่อไป | 
| แหละมณฑลแห่งดินคือวงกลมแห่งดิน  เรียกว่า  ปถวีกสิณ  ด้วยความหมายว่า  ดินทั้งสิ้น  นิมิต   ที่ได้เพราะอาศัยปถวีกสิณนั้นก็ชื่อว่า  ปถวีกสิณ  ฌานที่ได้นิมิตปถวีกสิณก็เรียกว่า  ปถวีกสิณ  ใน 2  อย่างนั้น  นักศึกษาพึงทราบว่า  ฌานปถวีกสิณ  ประสงค์เอาในอรรถาธิบายนี้  (มิใช่นิมิตปถวีกสิณ)  ข้าพเจ้าหมายเอาปถวีกสิณนั้น  จึงได้กล่าวไว้ว่า  ปฐมฌานปถวีกสิณ….ย่อมเป็นอันโยคีบุคคลนั้นได้บรรลุแล้ว  ด้วยประการฉะนี้ | แหละมณฑลแห่งดินคือวงกลมแห่งดิน  เรียกว่า  ปถวีกสิณ  ด้วยความหมายว่า  ดินทั้งสิ้น  นิมิต   ที่ได้เพราะอาศัยปถวีกสิณนั้นก็ชื่อว่า  ปถวีกสิณ  ฌานที่ได้นิมิตปถวีกสิณก็เรียกว่า  ปถวีกสิณ  ใน 2  อย่างนั้น  นักศึกษาพึงทราบว่า  ฌานปถวีกสิณ  ประสงค์เอาในอรรถาธิบายนี้  (มิใช่นิมิตปถวีกสิณ)  ข้าพเจ้าหมายเอาปถวีกสิณนั้น  จึงได้กล่าวไว้ว่า  ปฐมฌานปถวีกสิณ….ย่อมเป็นอันโยคีบุคคลนั้นได้บรรลุแล้ว  ด้วยประการฉะนี้ | 
|  |  | 
| ====ต้องพยายามจำอาการที่บรรลุฌาณไว้ให้แม่นยำ==== | ===ต้องพยายามจำอาการที่บรรลุฌาณไว้ให้แม่นยำ=== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  เมื่อได้บรรลุปฐมฌานอย่างนี้แล้ว  อันโยคีบุคคลนั้นพึงกำหนดสังเกตอาการทั้งหลายขณะที่ได้บรรลุไว้ให้แม่นยำ  เหมือนนายขมังธนูผู้ยิงขนทราย  และเหมือนดังพ่อครัว | ก็แหละ  เมื่อได้บรรลุปฐมฌานอย่างนี้แล้ว  อันโยคีบุคคลนั้นพึงกำหนดสังเกตอาการทั้งหลายขณะที่ได้บรรลุไว้ให้แม่นยำ  เหมือนนายขมังธนูผู้ยิงขนทราย  และเหมือนดังพ่อครัว | 
| เพราะเหตุฉะนั้น  อันโยคีบุคคลผู้ใคร่จะให้ฌานนั้นดำรงอยู่ได้นาน ๆ  ก็จงชำระธรรมทั้งหลายอันเป็นข้าศึกแก่สมาธิมีกามฉันทนิวรณ์เป็นต้นให้สะอาด  แล้วจึงเข้าสู่ฌานสมาบัตินั้นเถิด | เพราะเหตุฉะนั้น  อันโยคีบุคคลผู้ใคร่จะให้ฌานนั้นดำรงอยู่ได้นาน ๆ  ก็จงชำระธรรมทั้งหลายอันเป็นข้าศึกแก่สมาธิมีกามฉันทนิวรณ์เป็นต้นให้สะอาด  แล้วจึงเข้าสู่ฌานสมาบัตินั้นเถิด | 
|  |  | 
| ====การขยายปฏิภาคนิมิต==== | ===การขยายปฏิภาคนิมิต=== | 
|  |  | 
| อีกประการหนึ่ง  โยคีบุคคลผู้ฌานลาภีนั้น  พึงขยายปฏิภาคนิมิตตามที่ได้มาแล้วทั้งนี้  เพื่อความเจริญไพบูลย์แห่งสมาธิภาวนา  ภูมิที่จะขยายปฏิภาคนิมิตนั้นมี 2 ภูมิ  ได้แก่  อุปจารภูมิ  หรือ  อัปปนาภูมิ  กล่าวคือ  โยคีบุคคลบรรลุถึงอุปจารภูมิแล้วขยายปฏิภาคนิมิตนั้นก็ได้  บรรลุถึงอัปปนาภูมิแล้วขยายปฏิภาคนิมิตนั้นก็ได้  แต่ที่จริงแล้ว  จะพึงขยายได้ในฐานะอันเดียว  ด้วยเหตุนั้น  ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า  พึงขยายปฏิภาคนิมิตตามที่ได้มาแล้ว  ฉะนี้ | อีกประการหนึ่ง  โยคีบุคคลผู้ฌานลาภีนั้น  พึงขยายปฏิภาคนิมิตตามที่ได้มาแล้วทั้งนี้  เพื่อความเจริญไพบูลย์แห่งสมาธิภาวนา  ภูมิที่จะขยายปฏิภาคนิมิตนั้นมี 2 ภูมิ  ได้แก่  อุปจารภูมิ  หรือ  อัปปนาภูมิ  กล่าวคือ  โยคีบุคคลบรรลุถึงอุปจารภูมิแล้วขยายปฏิภาคนิมิตนั้นก็ได้  บรรลุถึงอัปปนาภูมิแล้วขยายปฏิภาคนิมิตนั้นก็ได้  แต่ที่จริงแล้ว  จะพึงขยายได้ในฐานะอันเดียว  ด้วยเหตุนั้น  ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า  พึงขยายปฏิภาคนิมิตตามที่ได้มาแล้ว  ฉะนี้ | 
| เหมือนอย่างลูกนกหงส์ประเภทที่มีกำลังเร็ว  นับแต่เวลาที่ขนปีกทั้งหลายงอกขึ้นเต็มที่แล้ว  มันฝึกบินโฉบขึ้นไปคราวละเล็กละน้อยก่อน  ครั้นฝึกให้ชำนิชำนาญแล้วย่อมบินไปถึงที่ใกล้โลกพระจันทร์โลกพระอาทิตย์ก็ได้ตามลำดับ  ฉันใด  ภิกษุผู้ฌานลาภีก็ฉันเดียวกันนั่นเทียว  คือ  เมื่อกำหนดขยายนิมิตออกไปโดยนัยที่กล่าวแล้ว  ย่อมขยายออกไปจนถึงจักรวาลหนึ่งเป็นกำหนด  หรือแม้ขยายให้กว้างใหญ่ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นก็ได้  เมื่อเป็นเช่นนี้  ปฏิภาคนิมิตนั้นย่อมจะปรากฏแก่เธอในที่จะขยายไปแล้วขยายไปแล้วนั้นๆ  เหมือนดั่งโคตัวผู้ที่ถูกเกี่ยวไว้ด้วยขอตั้งร้อยอัน  ณ  ตรงที่ดอนที่ลุ่มแห่งแผ่นดิน  ตรงที่คดโค้งแห่งแม่น้ำ  และตรงที่ลดหลั่นแห่งภูเขา | เหมือนอย่างลูกนกหงส์ประเภทที่มีกำลังเร็ว  นับแต่เวลาที่ขนปีกทั้งหลายงอกขึ้นเต็มที่แล้ว  มันฝึกบินโฉบขึ้นไปคราวละเล็กละน้อยก่อน  ครั้นฝึกให้ชำนิชำนาญแล้วย่อมบินไปถึงที่ใกล้โลกพระจันทร์โลกพระอาทิตย์ก็ได้ตามลำดับ  ฉันใด  ภิกษุผู้ฌานลาภีก็ฉันเดียวกันนั่นเทียว  คือ  เมื่อกำหนดขยายนิมิตออกไปโดยนัยที่กล่าวแล้ว  ย่อมขยายออกไปจนถึงจักรวาลหนึ่งเป็นกำหนด  หรือแม้ขยายให้กว้างใหญ่ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นก็ได้  เมื่อเป็นเช่นนี้  ปฏิภาคนิมิตนั้นย่อมจะปรากฏแก่เธอในที่จะขยายไปแล้วขยายไปแล้วนั้นๆ  เหมือนดั่งโคตัวผู้ที่ถูกเกี่ยวไว้ด้วยขอตั้งร้อยอัน  ณ  ตรงที่ดอนที่ลุ่มแห่งแผ่นดิน  ตรงที่คดโค้งแห่งแม่น้ำ  และตรงที่ลดหลั่นแห่งภูเขา | 
|  |  | 
| ====วสี 5==== | ===วสี 5=== | 
| =====ฝึกความชำนาญในฌาน 5 ประการ===== | ====ฝึกความชำนาญในฌาน 5 ประการ==== | 
|  |  | 
|  |  | 
| (หน้าที่ 262) | (หน้าที่ 262) | 
|  |  | 
| ===ได้ทุติยฌาน=== | ==ได้ทุติยฌาน== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  โยคีบุคคลผู้มีวสีอันได้สั่งสมดีแล้วในวสี 5 ประการเหล่านี้  ออกจากปฐมฌานที่ทำให้คล่องแคล่วดีแล้ว  แต่นั้นพิจารณาเห็นโทษในปฐมฌานนั้นว่า  สมาบัตินี้ยังใกล้ต่อนิวรณ์อันเป็นข้าศึก  เพราะเพิ่งละนิวรณ์ได้เป็นครั้งแรก  และว่า  สมาบัตินี้มีองค์อันทุรพลเพราะวิตกและวิจารเป็นสภาพที่หยาบ  ฉะนี้แล้วพึงมนสิการถึง  ทุติยฌาน  โดยเป็นสภาพที่ละเอียด  คลายความยินดีในปฐมฌานแล้วพึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุซึ่งทุติยฌานต่อไป | ก็แหละ  โยคีบุคคลผู้มีวสีอันได้สั่งสมดีแล้วในวสี 5 ประการเหล่านี้  ออกจากปฐมฌานที่ทำให้คล่องแคล่วดีแล้ว  แต่นั้นพิจารณาเห็นโทษในปฐมฌานนั้นว่า  สมาบัตินี้ยังใกล้ต่อนิวรณ์อันเป็นข้าศึก  เพราะเพิ่งละนิวรณ์ได้เป็นครั้งแรก  และว่า  สมาบัตินี้มีองค์อันทุรพลเพราะวิตกและวิจารเป็นสภาพที่หยาบ  ฉะนี้แล้วพึงมนสิการถึง  ทุติยฌาน  โดยเป็นสภาพที่ละเอียด  คลายความยินดีในปฐมฌานแล้วพึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุซึ่งทุติยฌานต่อไป | 
| แหละการใด  เมื่อโยคีบุคคลนั้นออกจากปฐมฌาน  มีสติสัมปชัญญะพิจารณาถึงองค์ฌานอยู่นั้น  วิตกและวิจารย่อมจะปรากฏโดยเป็นสภาพที่หยาบ  ปีติ,  สุข  และเอกัคคตาย่อมจะปรากฏโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  กาลนั้น  ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแล  อย่างแล้ว ๆ  เล่า ๆ ว่า  ปถวี -  ปถวี   หรือ  ดิน -  ดิน  ฉะนี้  เพื่อละเสียซึ่งองค์ฌานที่หยาบ  และให้ได้มาซึ่งองค์ฌานที่ละเอียดอยู่นั้น  มโนทวาราวัชชนจิต  ทำปถวีกสิณนั้นนั่นแลให้เป็นอารมณ์ตัดภวังคจิตเกิดขึ้น  เหมือนจะบอกให้รู้ว่า  ทุติยฌานจักเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แล้ว  ต่อแต่นั้น  ชวนจิตก็จะแล่นไปในอารมณ์นั้นนั่นแหละ 4  ขณะบ้าง  5  ขณะบ้าง  (ตามควรแก่โยคีที่เป็นติกขบุคคลและมันทบุคคล)  บรรดาชวนจิตเหล่านั้น  ดวงสุดท้าย 1  ดวงเป็น  รูปาวจรกุศลจิตทุติยฌาน  ดวงที่เหลือนอกนี้เป็น  กามาวจรกุศลจิต  เหมือนดังที่กล่าวมาแล้วในปฐมฌานนั้นทุกประการ | แหละการใด  เมื่อโยคีบุคคลนั้นออกจากปฐมฌาน  มีสติสัมปชัญญะพิจารณาถึงองค์ฌานอยู่นั้น  วิตกและวิจารย่อมจะปรากฏโดยเป็นสภาพที่หยาบ  ปีติ,  สุข  และเอกัคคตาย่อมจะปรากฏโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  กาลนั้น  ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแล  อย่างแล้ว ๆ  เล่า ๆ ว่า  ปถวี -  ปถวี   หรือ  ดิน -  ดิน  ฉะนี้  เพื่อละเสียซึ่งองค์ฌานที่หยาบ  และให้ได้มาซึ่งองค์ฌานที่ละเอียดอยู่นั้น  มโนทวาราวัชชนจิต  ทำปถวีกสิณนั้นนั่นแลให้เป็นอารมณ์ตัดภวังคจิตเกิดขึ้น  เหมือนจะบอกให้รู้ว่า  ทุติยฌานจักเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แล้ว  ต่อแต่นั้น  ชวนจิตก็จะแล่นไปในอารมณ์นั้นนั่นแหละ 4  ขณะบ้าง  5  ขณะบ้าง  (ตามควรแก่โยคีที่เป็นติกขบุคคลและมันทบุคคล)  บรรดาชวนจิตเหล่านั้น  ดวงสุดท้าย 1  ดวงเป็น  รูปาวจรกุศลจิตทุติยฌาน  ดวงที่เหลือนอกนี้เป็น  กามาวจรกุศลจิต  เหมือนดังที่กล่าวมาแล้วในปฐมฌานนั้นทุกประการ | 
|  |  | 
| ====ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา==== | ===ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา=== | 
| ก็แหละ  ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเท่านี้  เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | ก็แหละ  ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเท่านี้  เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | 
|  |  | 
| (หน้าที่ 263) | (หน้าที่ 263) | 
|  |  | 
| =====ส่วน 1 องค์ฌาน 3 (วิตกและวิจารสงบไปแล้ว เป็นต้น)===== | ====ส่วน 1 องค์ฌาน 3 (วิตกและวิจารสงบไปแล้ว เป็นต้น)==== | 
| ในคำว่า  เพราะวิตกและวิจารสงบไป  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า -  เพราะองค์ฌานทั้ง 2  คือวิตกและวิจารนี้สงบไป  คือ  เพราะก้าวล่วงวิตกและวิจารทั้ง 2 ไป  ได้แก่ เพราะไม่มีวิตกและวิจารทั้ง 2  ปรากฏในขณะแห่งทุติยฌาน | ในคำว่า  เพราะวิตกและวิจารสงบไป  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า -  เพราะองค์ฌานทั้ง 2  คือวิตกและวิจารนี้สงบไป  คือ  เพราะก้าวล่วงวิตกและวิจารทั้ง 2 ไป  ได้แก่ เพราะไม่มีวิตกและวิจารทั้ง 2  ปรากฏในขณะแห่งทุติยฌาน | 
|  |  | 
| '''อธิบายบทว่า สมาธิชํ (เกิดแต่สมาธิ) เป็นต้น''' | '''อธิบายบทว่า สมาธิชํ (เกิดแต่สมาธิ) เป็นต้น''' | 
|  |  | 
| คำว่า  '''สมาธิชํ (เกิดจากสมาธิ)'''  อธิบายว่า ฌานจิตตุปบาททั้งที่เกิดจากปฐมฌานสมาธิหรือที่เกิดจากทุติยฌานสัมปยุตตสมาธิ ก็ล้วนเกิดจากสมาธิสมาธิ.  ใน 2 อย่างนั้น แม้ปฐมฌานจิตตุปบาทที่เกิดจากปฐมฌานสัมปยุตสมาธิจะมีอยู่ก็จริง, แต่ทุติยฌานสมาธิ(ที่ทำให้เกิดทุติยฌานจิตตุปบาท)นี่เองที่เรียกว่าสมาธิได้เต็มที่ เพราะไม่หวั่นไหวเกินไป และมีความปลอดโปร่งเป็นอย่างดีเนื่องจากไม่มีวิตกวิจารแล้วนั่นเอง, ดังนั้น จึงตรัสคำว่า "สมาธิชํ (เกิดแต่สมาธิ)" ไว้ในทุติยฌานจิตตุปบาทนี้เท่านั้น เพื่อกล่าวยกย่องสมาธิของทุติยฌานจิตตุปบาทด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้. | คำว่า  '''สมาธิชํ (เกิดจากสมาธิ)'''  อธิบายว่า ฌานจิตตุปบาททั้งที่เกิดจากปฐมฌานสมาธิหรือที่เกิดจากทุติยฌานสัมปยุตตสมาธิ ก็ล้วนเกิดจากสมาธิ.  ใน 2 อย่างนั้น แม้ปฐมฌานจิตตุปบาทที่เกิดจากปฐมฌานสัมปยุตสมาธิจะมีอยู่ก็จริง, แต่ทุติยฌานสมาธิ(ที่ทำให้เกิดทุติยฌานจิตตุปบาท)นี่เองที่เรียกว่าสมาธิได้เต็มที่ เพราะไม่หวั่นไหวเกินไป และมีความปลอดโปร่งเป็นอย่างดีเนื่องจากไม่มีวิตกวิจารแล้วนั่นเอง, ดังนั้น จึงตรัสคำว่า "สมาธิชํ (เกิดแต่สมาธิ)" ไว้ในทุติยฌานจิตตุปบาทนี้เท่านั้น เพื่อกล่าวยกย่องสมาธิของทุติยฌานจิตตุปบาทด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้. | 
|  |  | 
| (หน้าที่ 267) | (หน้าที่ 267) | 
| คำว่า  ฌานที่ 2  อธิบายว่า  ที่ชื่อว่า 2  เพราะเป็นลำดับแห่งการคำนวณฌานนี้ชื่อว่าเป็นที่ 2  เพราะเหตุที่โยคีบุคคลย่อมเข้าเป็นอันดับที่ 2  ดังนี้ก็ได้  ฌานนี้เกิดขึ้นเป็นอันดับที่ 2  แม้เพราะเหตุนั้นจึงกล่าวว่า  ฌานที่ 2  ดังนี้ก็ได้ | คำว่า  ฌานที่ 2  อธิบายว่า  ที่ชื่อว่า 2  เพราะเป็นลำดับแห่งการคำนวณฌานนี้ชื่อว่าเป็นที่ 2  เพราะเหตุที่โยคีบุคคลย่อมเข้าเป็นอันดับที่ 2  ดังนี้ก็ได้  ฌานนี้เกิดขึ้นเป็นอันดับที่ 2  แม้เพราะเหตุนั้นจึงกล่าวว่า  ฌานที่ 2  ดังนี้ก็ได้ | 
|  |  | 
| =====ส่วน 2 ละองค์ 2  และประกอบด้วยองค์ 3===== | ====ส่วน 2 ละองค์ 2  และประกอบด้วยองค์ 3==== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วว่า  ทุติยฌานละองค์ 2  ประกอบด้วยองค์ 3  นั้น  มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ – | ก็แหละ  ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วว่า  ทุติยฌานละองค์ 2  ประกอบด้วยองค์ 3  นั้น  มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ – | 
| (หน้าที่ 268) | (หน้าที่ 268) | 
|  |  | 
| ===ได้ตติยฌาน=== | ==ได้ตติยฌาน== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  ครั้นได้บรรลุทุติยฌานแม้นั้นด้วยประการฉะนี้แล้ว  โยคีบุคคลผู้มีวสีอันได้สั่งสมดีแล้วด้วยอาการ 5  อย่าง  โดยนัยที่กล่าวแล้วในปฐมฌานนั่นแล  ออกจากทุติยฌานที่คล่องแคล่วดีแล้ว  แต่นั้นพิจารณาเห็นโทษในทุติยฌานนั้นว่า  สมาบัตินี้  ยังใกล้ต่อวิตกและวิจารอันเป็นข้าศึก  และว่า  สมาบัตินี้มีองค์อันทุรพล  เพราะเป็นสภาพที่หยาบด้วยปีติที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า  ปีติในทุติยฌานนั้นใดทำใจให้กำเริบ  ทุติยฌานนั้นจึงปรากฏเป็นสภาพที่หยาบเพราะปีตินั้น  ฉะนี้แล้ว  พึงมนสิการถึงตติยฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  คลายความยินดีในทุติยฌานแล้ว  พึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุซึ่งตติยฌานต่อไป | ก็แหละ  ครั้นได้บรรลุทุติยฌานแม้นั้นด้วยประการฉะนี้แล้ว  โยคีบุคคลผู้มีวสีอันได้สั่งสมดีแล้วด้วยอาการ 5  อย่าง  โดยนัยที่กล่าวแล้วในปฐมฌานนั่นแล  ออกจากทุติยฌานที่คล่องแคล่วดีแล้ว  แต่นั้นพิจารณาเห็นโทษในทุติยฌานนั้นว่า  สมาบัตินี้  ยังใกล้ต่อวิตกและวิจารอันเป็นข้าศึก  และว่า  สมาบัตินี้มีองค์อันทุรพล  เพราะเป็นสภาพที่หยาบด้วยปีติที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า  ปีติในทุติยฌานนั้นใดทำใจให้กำเริบ  ทุติยฌานนั้นจึงปรากฏเป็นสภาพที่หยาบเพราะปีตินั้น  ฉะนี้แล้ว  พึงมนสิการถึงตติยฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  คลายความยินดีในทุติยฌานแล้ว  พึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุซึ่งตติยฌานต่อไป | 
| แหละกาลใด  เมื่อโยคีบุคคลออกจากทุติยฌานแล้ว  มีสติมีสัมปชัญญะพิจารณาองค์ฌานอยู่นั้น  ปีติก็จะปรากฏโดยเป็นสภาพที่หยาบ  สุขกับเอกัคคตาจะปรากฏเป็นสภาพที่ละเอียด  กาลนั้น  ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแล  อย่างแล้ว ๆ  เล่า ๆ ว่า  ปถวี – ปถวี  หรือ  ดิน -  ดิน  เพื่อละเสียซึ่งองค์ฌานที่หยาบและให้ได้มาซึ่งองค์ฌานที่ละเอียดอยู่นั้น  มโนทวาราวัชชนจิต  ก็จะตัดภวังคจิตเกิดขึ้น  เหมือนจะเตือนให้รู้ว่า  ตติยฌาน  จักเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แล้ว  ถัดนั้น  ในอารมณ์ปถวีกสิณนั้นนั่นแล  ชวนจิตก็แล่นไป 4 ขณะบ้าง  5 ขณะบ้าง  (ตามควรแก่โยคีบุคคลที่เป็นติกขบุคคลและมันทบุคคล) บรรดาชวนจิต 4 หรือ 5 ขณะนั้น ดวงหนึ่ง  สุดท้ายเขาเป็น  รูปาวจรกุศลจิตขั้นตติยฌาน  ส่วน 3  หรือ 4  ดวงที่เหลือข้างต้นเป็น  กามาวจรกุศลจิต  ตามนัยที่กล่าวแล้วในทุติยฌานนั่นแล | แหละกาลใด  เมื่อโยคีบุคคลออกจากทุติยฌานแล้ว  มีสติมีสัมปชัญญะพิจารณาองค์ฌานอยู่นั้น  ปีติก็จะปรากฏโดยเป็นสภาพที่หยาบ  สุขกับเอกัคคตาจะปรากฏเป็นสภาพที่ละเอียด  กาลนั้น  ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแล  อย่างแล้ว ๆ  เล่า ๆ ว่า  ปถวี – ปถวี  หรือ  ดิน -  ดิน  เพื่อละเสียซึ่งองค์ฌานที่หยาบและให้ได้มาซึ่งองค์ฌานที่ละเอียดอยู่นั้น  มโนทวาราวัชชนจิต  ก็จะตัดภวังคจิตเกิดขึ้น  เหมือนจะเตือนให้รู้ว่า  ตติยฌาน  จักเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แล้ว  ถัดนั้น  ในอารมณ์ปถวีกสิณนั้นนั่นแล  ชวนจิตก็แล่นไป 4 ขณะบ้าง  5 ขณะบ้าง  (ตามควรแก่โยคีบุคคลที่เป็นติกขบุคคลและมันทบุคคล) บรรดาชวนจิต 4 หรือ 5 ขณะนั้น ดวงหนึ่ง  สุดท้ายเขาเป็น  รูปาวจรกุศลจิตขั้นตติยฌาน  ส่วน 3  หรือ 4  ดวงที่เหลือข้างต้นเป็น  กามาวจรกุศลจิต  ตามนัยที่กล่าวแล้วในทุติยฌานนั่นแล | 
|  |  | 
| ====ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา==== | ===ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา=== | 
| ก็แหละ  ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเท่านี้  เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | ก็แหละ  ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเท่านี้  เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | 
|  |  | 
| (หน้าที่ 269) | (หน้าที่ 269) | 
|  |  | 
| =====ส่วน 1 องค์ฌาน 2 (ละปีติได้ อยู่อย่างมีอุเบกขา เป็นต้น)===== | ====ส่วน 1 องค์ฌาน 2 (ละปีติได้ อยู่อย่างมีอุเบกขา เป็นต้น)==== | 
|  |  | 
| '''อธิบาย  เพราะก้าวล่วงซึ่งปีติ | '''อธิบาย  เพราะก้าวล่วงซึ่งปีติ | 
| ในคำว่า  เป็นผู้เห็นเสมอกันอยู่  นี้  มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ -  ธรรมชาติใดย่อมเห็นโดยกำเนิด  คือเห็นเสมอกัน  เห็นไม่ตกไปในฝ่าย  ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า  อุเปกฺขา  โยคีบุคคลผู้เข้าอยู่ในตติยฌาน  เรียกว่า  อุเปกฺขโก  ผู้เห็นเสมอกัน เพราะประกอบด้วยอุเบกขานั้น  อันบริสุทธิ์  อันยิ่งใหญ่  ถึงซึ่งความมั่นคง | ในคำว่า  เป็นผู้เห็นเสมอกันอยู่  นี้  มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ -  ธรรมชาติใดย่อมเห็นโดยกำเนิด  คือเห็นเสมอกัน  เห็นไม่ตกไปในฝ่าย  ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า  อุเปกฺขา  โยคีบุคคลผู้เข้าอยู่ในตติยฌาน  เรียกว่า  อุเปกฺขโก  ผู้เห็นเสมอกัน เพราะประกอบด้วยอุเบกขานั้น  อันบริสุทธิ์  อันยิ่งใหญ่  ถึงซึ่งความมั่นคง | 
|  |  | 
| ======อุเบกขา  10====== | =====อุเบกขา  10===== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  อุเบกขานั้นมี  10  ประการ  คือ | ก็แหละ  อุเบกขานั้นมี  10  ประการ  คือ | 
| คำว่า  ตติยฌาน  ที่แปลว่า  ฌานที่ 3  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า -  ฌานนี้ที่ชื่อว่า  ตติยฌาน  หรือที่ 3  เพราะเป็นลำดับแห่งการคำนวณ  อีกอย่างหนึ่ง  ฌานนี้ชื่อว่าเป็นที่ 3  เพราะเหตุที่โยคีบุคคลย่อมเข้าสู่เป็นอันดับที่ 3  ดังนี้ก็ได้ | คำว่า  ตติยฌาน  ที่แปลว่า  ฌานที่ 3  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า -  ฌานนี้ที่ชื่อว่า  ตติยฌาน  หรือที่ 3  เพราะเป็นลำดับแห่งการคำนวณ  อีกอย่างหนึ่ง  ฌานนี้ชื่อว่าเป็นที่ 3  เพราะเหตุที่โยคีบุคคลย่อมเข้าสู่เป็นอันดับที่ 3  ดังนี้ก็ได้ | 
|  |  | 
| =====ส่วน 2 ละองค์ 1 และประกอบด้วยองค์ 2===== | ====ส่วน 2 ละองค์ 1 และประกอบด้วยองค์ 2==== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า  ละองค์ 1  ประกอบด้วยองค์ 2  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า -  นักศึกษาพึงทราบว่าตติยฌานละองค์ 1 นั้น  ด้วยอำนาจการละซึ่งปีติ  แหละปีตินี้นั้นอันโยคีบุคคลละได้ในขณะแห่งอัปปนา  เช่นเดียวกับวิตกและวิจารของทุติยฌานที่โยคีบุคคลละได้ในขณะแห่งอัปปนานั้น  ด้วยเหตุนั้น  ปีตินั้นท่านจึงเรียกว่าเป็นองค์สำหรับละของตติยฌานนั้น | ก็แหละ  ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า  ละองค์ 1  ประกอบด้วยองค์ 2  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า -  นักศึกษาพึงทราบว่าตติยฌานละองค์ 1 นั้น  ด้วยอำนาจการละซึ่งปีติ  แหละปีตินี้นั้นอันโยคีบุคคลละได้ในขณะแห่งอัปปนา  เช่นเดียวกับวิตกและวิจารของทุติยฌานที่โยคีบุคคลละได้ในขณะแห่งอัปปนานั้น  ด้วยเหตุนั้น  ปีตินั้นท่านจึงเรียกว่าเป็นองค์สำหรับละของตติยฌานนั้น | 
| คำที่เหลือ[[#มีความงาม 3 และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10|มีนัยดังที่พรรณนามาแล้ว]]ในปฐมฌานนั่นแล | คำที่เหลือ[[#มีความงาม 3 และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10|มีนัยดังที่พรรณนามาแล้ว]]ในปฐมฌานนั่นแล | 
|  |  | 
| ===ได้จตุตถฌาน=== | ==ได้จตุตถฌาน== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  เมื่อได้บรรลุตติยฌานแม้นั้นด้วยประการฉะนี้แล้ว  โยคีบุคคลพึงสั่งสมวสีด้วยอาการ 5  อย่างโดยนัยดังที่พรรณนามาแล้วนั่นแล  ครั้นออกจากตติยฌานที่คล่องแคล่วแล้ว  พิจารณาเห็นโทษในตติยฌานนั้นว่า  สมาบัตินี้ยังใกล้ต่อปีติอันเป็นข้าศึกอยู่  และว่าสมาบัตินี้ยังมีองค์อันทุรพล  เพราะสุขเป็นสภาพที่หยาบดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้อย่างนี้ว่า องค์อันใดแล  ที่ทำใจให้พะวงว่าเป็นสุขในตติยฌานนั้น  ด้วยองค์นั้น  ตติยฌานนี้จึงปรากฏเป็นสภาพที่หยาบ  ฉะนี้แล้ว  พึงมนสิการถึงจตุตถฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  คลายความยินดีในตติยฌานแล้ว  พึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุจตุตถฌานต่อไป | ก็แหละ  เมื่อได้บรรลุตติยฌานแม้นั้นด้วยประการฉะนี้แล้ว  โยคีบุคคลพึงสั่งสมวสีด้วยอาการ 5  อย่างโดยนัยดังที่พรรณนามาแล้วนั่นแล  ครั้นออกจากตติยฌานที่คล่องแคล่วแล้ว  พิจารณาเห็นโทษในตติยฌานนั้นว่า  สมาบัตินี้ยังใกล้ต่อปีติอันเป็นข้าศึกอยู่  และว่าสมาบัตินี้ยังมีองค์อันทุรพล  เพราะสุขเป็นสภาพที่หยาบดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้อย่างนี้ว่า องค์อันใดแล  ที่ทำใจให้พะวงว่าเป็นสุขในตติยฌานนั้น  ด้วยองค์นั้น  ตติยฌานนี้จึงปรากฏเป็นสภาพที่หยาบ  ฉะนี้แล้ว  พึงมนสิการถึงจตุตถฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  คลายความยินดีในตติยฌานแล้ว  พึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุจตุตถฌานต่อไป | 
| ส่วนที่พิเศษกว่านั้น  ดังนี้  คือ  เพราะเหตุที่สุขเวทนาเป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัยแก่อทุกขมสุขเวทนาไม่ได้  และอุทุกขมสุขเวทนาจะต้องเกิดขึ้นในจตุตถฌาน  ฉะนั้น  ชวนจิตเหล่านั้นจึงย่อมประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา  และแม้ปีติก็เป็นอันสร่างหายไปในจตุตถฌานนี้ด้วย  เพราะเหตุที่จตุตถฌานประกอบด้วยอุเบกขาเวทนานั่นแล | ส่วนที่พิเศษกว่านั้น  ดังนี้  คือ  เพราะเหตุที่สุขเวทนาเป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัยแก่อทุกขมสุขเวทนาไม่ได้  และอุทุกขมสุขเวทนาจะต้องเกิดขึ้นในจตุตถฌาน  ฉะนั้น  ชวนจิตเหล่านั้นจึงย่อมประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา  และแม้ปีติก็เป็นอันสร่างหายไปในจตุตถฌานนี้ด้วย  เพราะเหตุที่จตุตถฌานประกอบด้วยอุเบกขาเวทนานั่นแล | 
|  |  | 
| ====ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา==== | ===ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา=== | 
| ก็แหละ  ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเท่านี้  เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | ก็แหละ  ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเท่านี้  เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | 
|  |  | 
| #ได้บรรลุจตุตถฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์ | #ได้บรรลุจตุตถฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์ | 
|  |  | 
| =====ส่วน 1 องค์ฌาน 2 (ละสุขและละทุกข์แล้ว เป็นต้น)===== | ====ส่วน 1 องค์ฌาน 2 (ละสุขและละทุกข์แล้ว เป็นต้น)==== | 
|  |  | 
| ในบรรดาคำเหล่านั้น  คำว่า  เพราะละสุขและละทุกข์  ความว่า  เพราะละกายิกสุขคือสุขทางกายและกายิกทุกข์คือทุกข์ทางกาย  คำว่า  แต่เบื้องต้น  ความว่า  การละนั้นแล  ได้ละมาแต่เบื้องต้นแล้ว  ไม่ใช่ละในขณะแห่งจตุตถฌาน  คำว่า  เพราะโสมนัสและโทมนัสดับหายไป  ความว่า  เพราะความดับหายไปแต่เบื้องต้นแห่งเวทนาแม้ทั้ง 2  นี้คือ  สุขเวทนาที่เกิดทางใจ 1  ทุกขเวทนาที่เกิดทางใจ 1  อธิบายว่า  เพราะละเวทนาทั้ง 2  เสียได้แต่ในเบื้องต้นนั่นเอง | ในบรรดาคำเหล่านั้น  คำว่า  เพราะละสุขและละทุกข์  ความว่า  เพราะละกายิกสุขคือสุขทางกายและกายิกทุกข์คือทุกข์ทางกาย  คำว่า  แต่เบื้องต้น  ความว่า  การละนั้นแล  ได้ละมาแต่เบื้องต้นแล้ว  ไม่ใช่ละในขณะแห่งจตุตถฌาน  คำว่า  เพราะโสมนัสและโทมนัสดับหายไป  ความว่า  เพราะความดับหายไปแต่เบื้องต้นแห่งเวทนาแม้ทั้ง 2  นี้คือ  สุขเวทนาที่เกิดทางใจ 1  ทุกขเวทนาที่เกิดทางใจ 1  อธิบายว่า  เพราะละเวทนาทั้ง 2  เสียได้แต่ในเบื้องต้นนั่นเอง | 
| คำว่า  จตุตฺถ  ที่แปลว่า 4  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า  ฌานที่เรียกว่าที่ 4  เพราะเป็นลำดับของการคำนวณ  หรือฌานนี้ที่จัดเป็นที่ 4  เพราะเหตุที่โยคีบุคคลย่อมเข้าเป็นอันดับที่ 4  ดังนี้ก็ได้ | คำว่า  จตุตฺถ  ที่แปลว่า 4  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า  ฌานที่เรียกว่าที่ 4  เพราะเป็นลำดับของการคำนวณ  หรือฌานนี้ที่จัดเป็นที่ 4  เพราะเหตุที่โยคีบุคคลย่อมเข้าเป็นอันดับที่ 4  ดังนี้ก็ได้ | 
|  |  | 
| =====ส่วน 2 ละองค์ 1 และประกอบด้วยองค์ 2===== | ====ส่วน 2 ละองค์ 1 และประกอบด้วยองค์ 2==== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า  ละองค์ 1  ประกอบด้วยองค์ 2  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า -  ใน 2  ข้อนั้น  ข้อว่า  จตุตถฌานละองค์ 1  นั้น  นักศึกษาพึงทราบด้วยอำนาจที่ละซึ่งโสมนัสเวทนา  และโสมนัสเวทนานั้นละมาได้แต่ในชวนจิตดวงต้น ๆ  ในวิถีเดียวกันนั่นเทียว  ด้วยเหตุนั้น  โสมนัสเวทนานั้น  จึงเรียกว่า  เป็นองค์สำหรับละของจตุตถฌานนี้ | ก็แหละ  ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า  ละองค์ 1  ประกอบด้วยองค์ 2  นั้น  มีอรรถาธิบายว่า -  ใน 2  ข้อนั้น  ข้อว่า  จตุตถฌานละองค์ 1  นั้น  นักศึกษาพึงทราบด้วยอำนาจที่ละซึ่งโสมนัสเวทนา  และโสมนัสเวทนานั้นละมาได้แต่ในชวนจิตดวงต้น ๆ  ในวิถีเดียวกันนั่นเทียว  ด้วยเหตุนั้น  โสมนัสเวทนานั้น  จึงเรียกว่า  เป็นองค์สำหรับละของจตุตถฌานนี้ | 
| ตามที่พรรณนามานี้  เป็นแนวในฌาน 4  ประเภท  ที่บังเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งฌานที่เป็นจตุกกนัย  เป็นประเภทแรก | ตามที่พรรณนามานี้  เป็นแนวในฌาน 4  ประเภท  ที่บังเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งฌานที่เป็นจตุกกนัย  เป็นประเภทแรก | 
|  |  | 
| ===ฌานปัญจกนัย=== | ==ฌานปัญจกนัย== | 
|  |  | 
| ส่วนโยคีบุคคลผู้เจริญฌานปัญจกนัยให้บังเกิดขึ้นนั้น  ออกจากปฐมฌานที่คล่องแคล่วแล้ว  พิจารณาเห็นโทษในปฐมฌานนั้นว่า  สมาบัตินี้ยังใกล้ต่อนิวรณ์อันเป็นข้าศึกอยู่และว่า  สมาบัตินี้มีองค์อันทุรพล  เพราะวิตกเป็นสภาพที่หยาบ  ฉะนี้แล้ว  พึงมนสิการถึงทุตยฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  คลายความยินดีในปฐมฌานแล้ว  จึงลงมือทำความเพียร  เพื่อบรรลุซึ่งทุติยฌานต่อไป | ส่วนโยคีบุคคลผู้เจริญฌานปัญจกนัยให้บังเกิดขึ้นนั้น  ออกจากปฐมฌานที่คล่องแคล่วแล้ว  พิจารณาเห็นโทษในปฐมฌานนั้นว่า  สมาบัตินี้ยังใกล้ต่อนิวรณ์อันเป็นข้าศึกอยู่และว่า  สมาบัตินี้มีองค์อันทุรพล  เพราะวิตกเป็นสภาพที่หยาบ  ฉะนี้แล้ว  พึงมนสิการถึงทุตยฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  คลายความยินดีในปฐมฌานแล้ว  จึงลงมือทำความเพียร  เพื่อบรรลุซึ่งทุติยฌานต่อไป | 
|  |  | 
| ====บรรลุทุติยฌาน==== | ===บรรลุทุติยฌาน=== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  กาลใด  เมื่อโยคีบุคคลออกจากปฐมฌานแล้วมีสติมีสัมปชัญญะพิจารณาองค์ฌานอยู่นั้น    องค์ฌานเพียงแต่วิตกอย่างเดียวก็จะปรากฏโดยเป็นสภาพที่หยาบ  องค์ฌานอื่น ๆ มีวิจารเป็นต้น  คงปรากฏโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  กาลนั้น  ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการ  ถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแลอย่างแล้ว ๆ  เล่า ๆ  ว่า  ปถวี – ปถวี  หรือ  ดิน – ดิน  ดังนี้  เพื่อละองค์ที่หยาบและให้ได้มาซึ่งองค์ที่ละเอียดอยู่นั้น  ทุติยฌานก็จะบังเกิดขึ้นโดยนัยที่ได้แสดงมาแล้วนั่นแล  องค์สำหรับละของทุติยฌานนั้นมีวิตกอย่างเดียว  ส่วนองค์ประกอบมี 4  มีวิจารเป็นต้น  คำที่เหลือเหมือนคำที่แสดงมาแล้วทุกประการนั่นเทียว | ก็แหละ  กาลใด  เมื่อโยคีบุคคลออกจากปฐมฌานแล้วมีสติมีสัมปชัญญะพิจารณาองค์ฌานอยู่นั้น    องค์ฌานเพียงแต่วิตกอย่างเดียวก็จะปรากฏโดยเป็นสภาพที่หยาบ  องค์ฌานอื่น ๆ มีวิจารเป็นต้น  คงปรากฏโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  กาลนั้น  ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการ  ถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแลอย่างแล้ว ๆ  เล่า ๆ  ว่า  ปถวี – ปถวี  หรือ  ดิน – ดิน  ดังนี้  เพื่อละองค์ที่หยาบและให้ได้มาซึ่งองค์ที่ละเอียดอยู่นั้น  ทุติยฌานก็จะบังเกิดขึ้นโดยนัยที่ได้แสดงมาแล้วนั่นแล  องค์สำหรับละของทุติยฌานนั้นมีวิตกอย่างเดียว  ส่วนองค์ประกอบมี 4  มีวิจารเป็นต้น  คำที่เหลือเหมือนคำที่แสดงมาแล้วทุกประการนั่นเทียว | 
|  |  | 
| ====บรรลุตติยฌาน==== | ===บรรลุตติยฌาน=== | 
|  |  | 
| ก็แหละ  เมื่อได้บรรลุทุติยฌานแม้นั้นอย่างนี้แล้ว  โยคีบุคคลนั้นพึงทำให้วสีสามารถดีแล้วด้วยอาการ 5  อย่างโดยนัยที่ได้พรรณนามาแล้วนั่นแล  ออกจากทุติยฌานที่คล่องแคล่วแล้วพิจารณาเห็นโทษในทุติยฌานนั้นว่า  สมาบัติยังใกล้ต่อวิตกอันเป็นข้าศึกอยู่  และว่าสมาบัตินี้มีองค์อันทุรพล  เพราะวิจารเป็นสภาพที่หยาบ  ครั้นแล้ว  มนสิการถึงตติยฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  คลายความยินดีในทุติยฌานแล้ว  พึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุตติยฌานต่อไป | ก็แหละ  เมื่อได้บรรลุทุติยฌานแม้นั้นอย่างนี้แล้ว  โยคีบุคคลนั้นพึงทำให้วสีสามารถดีแล้วด้วยอาการ 5  อย่างโดยนัยที่ได้พรรณนามาแล้วนั่นแล  ออกจากทุติยฌานที่คล่องแคล่วแล้วพิจารณาเห็นโทษในทุติยฌานนั้นว่า  สมาบัติยังใกล้ต่อวิตกอันเป็นข้าศึกอยู่  และว่าสมาบัตินี้มีองค์อันทุรพล  เพราะวิจารเป็นสภาพที่หยาบ  ครั้นแล้ว  มนสิการถึงตติยฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด  คลายความยินดีในทุติยฌานแล้ว  พึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุตติยฌานต่อไป | 
| มีปีติเป็นต้นคงปรากฏโดยเป็นสภาพที่ละเอียดอยู่  กาลนั้น  ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแลอย่างแล้ว ๆ  เล่า ๆ  ว่า  ปถวี – ปถวี  หรือ  ดิน – ดิน  ฉะนี้  เพื่อที่จะละองค์ที่หยาบและให้ได้มาซึ่งองค์ที่ละเอียดอยู่นั้น ตติยฌานก็จะเกิดขึ้นโดยนัยที่ได้แสดงมาแล้วนั่นแล  องค์สำหรับละของตติยฌานนั้นมีแต่วิจารอย่างเดียว  ส่วนองค์ประกอบมี 3  มีปีติเป็นต้น  เหมือนกับในทุติยฌานโดยจตุกกนัย  คำที่เหลือเหมือนดังที่แสดงมาแล้วทุกประการนั่นเทียว | มีปีติเป็นต้นคงปรากฏโดยเป็นสภาพที่ละเอียดอยู่  กาลนั้น  ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแลอย่างแล้ว ๆ  เล่า ๆ  ว่า  ปถวี – ปถวี  หรือ  ดิน – ดิน  ฉะนี้  เพื่อที่จะละองค์ที่หยาบและให้ได้มาซึ่งองค์ที่ละเอียดอยู่นั้น ตติยฌานก็จะเกิดขึ้นโดยนัยที่ได้แสดงมาแล้วนั่นแล  องค์สำหรับละของตติยฌานนั้นมีแต่วิจารอย่างเดียว  ส่วนองค์ประกอบมี 3  มีปีติเป็นต้น  เหมือนกับในทุติยฌานโดยจตุกกนัย  คำที่เหลือเหมือนดังที่แสดงมาแล้วทุกประการนั่นเทียว | 
|  |  | 
| ====สรุปฌานปัญจกนัย==== | ===สรุปฌานปัญจกนัย=== | 
|  |  | 
| ด้วยประการฉะนี้  ทุติยฌานใดในฌานจตุกกนัยนั้น  ในฌานปัญจกนัยนี้  ทุติยฌานนั้นแยกออกเป็น 2  ฌาน  คือ  เป็นทุติฌานและตติยฌาน  ตติยฌานและจตุตถฌานในฌานจตุกกนัยนั้นแยกเป็นจตุตถฌานและปัญจมฌานในฌานปัญจกนัยนี้  ส่วนปฐมฌานคงเป็นปฐมฌานตามเดิม  ฉะนี้แล | ด้วยประการฉะนี้  ทุติยฌานใดในฌานจตุกกนัยนั้น  ในฌานปัญจกนัยนี้  ทุติยฌานนั้นแยกออกเป็น 2  ฌาน  คือ  เป็นทุติฌานและตติยฌาน  ตติยฌานและจตุตถฌานในฌานจตุกกนัยนั้นแยกเป็นจตุตถฌานและปัญจมฌานในฌานปัญจกนัยนี้  ส่วนปฐมฌานคงเป็นปฐมฌานตามเดิม  ฉะนี้แล | 
| ………………. | ………………. | 
|  |  | 
| ==ดูเพิ่ม== | =ดูเพิ่ม= | 
| *'''[http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/sutta23.php ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค]''' | *'''[http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/sutta23.php ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค]''' | 
| *'''[[วิสุทธิมรรค ฉบับปรับสำนวน]] (สารบัญ)''' | *'''[[วิสุทธิมรรค ฉบับปรับสำนวน]] (สารบัญ)''' | 
|  |  |