ความแตกต่าง
นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น
วิสุทธิมรรค_04_ปถวีกสิณนิทเทส [2020/09/08 11:56] dhamma [ส่วน 1 องค์ฌาน 3 (วิตกและวิจารสงบไปแล้ว เป็นต้น)] |
วิสุทธิมรรค_04_ปถวีกสิณนิทเทส [2021/01/02 20:14] |
||
---|---|---|---|
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
- | {{wst>วสธมฉปส head|}} | ||
- | {{wst>วสธมฉปส sidebar}} | ||
- | |||
- | = วิธีเลือกวัดให้ภาวนาสะดวก = | ||
- | บัดนี้ จะอรรถาธิบายโดยพิสดารในหัวข้อสังเขปที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่า พึงออกจากวัดอันไม่สมควรแก่การภาวนาสมาธิ ไปอยู่ ณ ที่วัดอันสมควร ดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | อันโยคีบุคคลนั้นพึงอยู่เจริญกัมมัฏฐานให้บริสุทธิ์ ณ ที่วัดเดียวกันกับพระอาจารย์นั่นแหละ ตราบเท่าที่ตนมีความผาสุกสบาย แต่ถ้าไม่มีความผาสุกสบาย ณ ที่วัดนั้น ก็พึงไปอยู่ ณ ที่วัดอื่นอันเป็นที่สบาย ในระยะทางห่างจากวัดพระอาจารย์ประมาณร้อยเส้นหรือสองร้อยเส้นหรือประมาณสี่ร้อยเส้นก็ได้ ก็แหละ ครั้นอยู่ห่างในระยะทางเท่านั้น เมื่อเกิดความสนเท่ห์สงสัยหรือเกิดความหลงลืม ในหัวข้อกัมมัฏฐานบางประการ จักได้ตื่นลุกขึ้นทำกิจวัตรในวัดให้เสร็จแต่เช้า แล้วออกจากวัดเที่ยวบิณฑบาตไปในระหว่างทาง พอเวลาฉันเสร็จแล้ว ก็ให้ถึงที่อยู่ของพระอาจารย์พอดี สอบถามชำระกัมมัฏฐานให้บริสุทธิ์สิ้นสงสัยในสำนักของพระอาจารย์เสียแต่ในวันนั้น พอวันที่สองก็นมัสการกราบลาพระอาจารย์ แล้วก็ออกเดินทางกลับแต่เช้า เที่ยวรับบิณฑบาตไปในระหว่างทาง ยังไม่ทันจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอะไร ก็จักมาถึงที่อยู่ของตนพอดี | ||
- | |||
- | ส่วนโยคีบุคคลผู้ไม่ได้ที่อยู่อันผาสุกสบาย แม้ในระยะทางประมาณสี่ร้อยเส้นนั้น จงตัดข้อขอดที่เข้าใจได้ยากในกัมมัฏฐานให้กระจ่างแจ้งทุกประการ ชำระกัมมัฏฐานให้บริสุทธิ์ด้วยดีขึ้นอยู่กับใจได้แล้ว จะพรากออกจากวัดอันไม่สมควรแก่การภาวนาสมาธิ ไปอยู่ ณ ที่วัดอันสมควร แม้ไกล ๆ กว่านั้นก็ได้ | ||
- | |||
- | ==วัดที่ภาวนาไม่สะดวก 18== | ||
- | |||
- | ในวัดที่สมควรและไม่สมควรนั้น วัดที่ประกอบด้วยโทษ 18 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วัดไม่สมควร โทษ 18 ประการ ในวัดนั้นดังนี้ คือ – | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 196) | ||
- | |||
- | 1 . มหตฺตํ วัดใหญ่ | ||
- | |||
- | 2 . นวตฺตํ วัดสร้างใหม่ | ||
- | |||
- | 3 . ชิณฺณตฺตํ วัดที่ชำรุด | ||
- | |||
- | 4 . ปนฺถนิสฺสิตตฺตํ วัดที่อิงทางหลวง | ||
- | |||
- | 5 . โสณฺฑี วัดมีสระน้ำ | ||
- | |||
- | 6 . ปณฺณํ วัดมีใบไม้ใช้เป็นผัก | ||
- | |||
- | 7 . ปุปฺผํ วัดมีไม้ดอก | ||
- | |||
- | 8 . ผลํ วัดมีไม้ผล | ||
- | |||
- | 9 . ปตฺถนียตา วัดที่มีคนขึ้นมาก | ||
- | |||
- | 10 . นครสนฺนิสฺสิตตา วัดที่อิงเมือง | ||
- | |||
- | 11 . ทารุสนฺนิสฺสิตตา วัดที่อิงป่าไม้ | ||
- | |||
- | 12 . เขตฺตสนฺนิสฺสิตตา วัดที่อิงไร่นา | ||
- | |||
- | 13 . วิสภาคานํ ปุคฺคลานํ อตฺถิตา วัดที่มีคนไม่ลงรอยกัน | ||
- | |||
- | 14 . ปฏฺฏสนฺนิสฺสิตตา วัดที่อิงท่า | ||
- | |||
- | 15 . ปจฺจนฺตสนฺนิสฺสิตตา วัดที่อิงบ้านป่าชายแดน | ||
- | |||
- | 16 . รชฺชสีมสนฺนิสฺสิตตา วัดที่อิงเขตแดนประเทศ | ||
- | |||
- | 17 . อสปฺปายตา วัดที่ไม่มีความสบาย และ | ||
- | |||
- | 18 . กลฺยาณมิตฺตานํ อลาโภ วัดที่หาอาจารย์ผู้กัลยาณมิตรไม่ได้ | ||
- | |||
- | วัดที่ประกอบด้วยโทษ 18 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งเหล่านี้แล ชื่อว่า วัดที่ไม่สมควรแก่สมาธิภาวนา โยคีบุคคลไม่ควรไปอยู่ ณ วัดเช่นนั้น | ||
- | |||
- | '''อธิบายด้วยวัดที่ประกอบด้วยโทษ 18 ประการ''' | ||
- | |||
- | ถาม – เพราะเหตุไรหรือจึงไม่ควรอยู่ ณ ที่วัดอันประกอบด้วยโทษ 18 ประการนั้น | ||
- | |||
- | ตอบ – เพราะเหตุดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 197) | ||
- | |||
- | '''1. วัดใหญ่''' | ||
- | |||
- | ในวัดใหญ่ ๆ ย่อมมีภิกษุและสามเณรที่ต่างจิตต่างใจกันมารวมอยู่เป็นจำนวนมาก ภิกษุสามเณรเหล่านั้น ย่อมจะไม่ช่วยกันทำกิจวัตร เพราะต่างก็เกี่ยงซึ่งกันและกัน สถานที่ทั้งหลาย เช่น ลานพระศรีมหาโพธิ์เป็นต้น ก็ไม่ช่วยกันปัดกวาดให้สะอาดเกลี้ยงเกลา น้ำฉันน้ำใช้ก็ไม่ช่วยกันตัก โยคีบุคคลนี้อยู่ ณ วัดเช่นนี้แล้ว ครั้นตระเตรียมว่าจักไปบิณฑบาตในโคจรคาม ถือบาตรและจีวรเดินออกไป ถ้าเห็นกิจวัตรยังไม่มีใครทำ หรือหม้อน้ำดื่มยังเปล่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็จะต้องหยุดทำกิจวัตร ตักน้ำดื่มมาเตรียมไว้ เมื่อไม่ทำหรือก็จะต้องอาบัติทุกกฏในเพราะเหตุวัตรเภท คือทำลายกิจวัตร เมื่อเธอมัวทำกิจวัตรอยู่เล่าเวลากาลก็จะล่วงเลยสายไป ครั้นเธอเข้าไปในโคจรคามสายมาก ภิกษาหารหมดเสียแล้ว ก็จะไม่ได้ภิกษาหารอะไรแม้แต่น้อย อนึ่ง ถึงโยคีบุคคลจะได้หลบไปอยู่ ณ ที่อันเร้นลับแล้วก็ตาม ก็จะฟุ้งซ่านด้วยเสียงเจี๊ยวจ้าวของพวกภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลาย และด้วยการงานต่าง ๆ ของสงฆ์ | ||
- | |||
- | แต่วัดใหญ่ใดมีภิกษุสามเณรช่วยกันทำกิจวัตรเรียบร้อยหมดทุกอย่าง และไม่มีความกระทบกระเทือนแม้อย่างอื่น ๆ แต่ประการใด ก็ควรอยู่ ณ วัดใหญ่แม้เห็นปานนั้นได้ | ||
- | |||
- | '''2. วัดสร้างใหม่''' | ||
- | |||
- | ในวัดที่สร้างใหม่นั้น ย่อมจะมีนวกรรมคือการก่อสร้างมากอย่างหลายประการ เมื่อโยคีบุคคลไม่ช่วยทำ เขาก็จะติเตียนเอา แต่ในวัดใดภิกษุทั้งหลายพูดให้โอกาสว่า "นิมนต์ คุณทำสมณธรรมตามสบายเถิด นวกรรมการก่อสร้างพวกเราจักช่วยกันกระทำเอง" ดังนี้ ก็ควรอยู่ ณ ทีวัดซึ่งสร้างใหม่เห็นปานนี้ได้ | ||
- | |||
- | '''3. วัดที่ชำรุด''' | ||
- | |||
- | แหละ ในวัดที่ชำรุดทรุดโทรมนั้น ย่อมจะต้องมีสิ่งที่จะพึงปฏิสังขรณ์ซ่อมแปลงมาก ชั้นที่สุดแม้มาตรว่าเสนาสนะของตนเอง เมื่อไม่ปฏิสังขรณ์ซ่อมแปลง เขาก็จะพากันติเตียนเอา เมื่อมัวแต่ปฏิสังขรณ์ซ่อมแปลงอยู่ กัมมัฏฐานก็จะเสื่อมไป แต่ในวัดใดที่มีภิกษุทั้งหลายพูดให้โอกาสว่า "นิมนต์คุณจงทำสมณธรรมตามสบายเถิด พวกเราจักช่วยกันปฏิสังขรณ์ซ่อมแปลงเอง" ดังนี้ ก็ควรอยู่ ณ ที่วัดซึ่งชำรุดเห็นปานนี้ได้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 198) | ||
- | |||
- | '''4. วัดที่อิงทางหลวง''' | ||
- | |||
- | ในวัดที่อิงทางหลวงนั้น ย่อมจะมีพวกภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายมารวมทั้งกลางคืนและกลางวัน โยคีบุคคลจะต้องให้เสนาสนะของตนแก่พวกอาคันตุกะที่มาถึงในเวลาวิกาลค่ำมืด แล้วตนเองจะต้องไปอยู่ที่โคนไม้ หรือพลาญหิน แม้ในวันรุ่งขึ้นก็จะเป็นเช่นนี้นั่นเทียวดังนั้นโอกาสย่อมจะไม่มีเพื่อกัมมัฏฐาน แต่ในวัดใดไม่มีการเบียดเบียนของพวกอาคันตุกะในทำนองนี้ โยคีบุคคลก็ควรอยู่ ณ ที่วัดซึ่งอิงทางหลวงเช่นนั้นได้ | ||
- | |||
- | '''5. วัดมีสระน้ำ''' | ||
- | |||
- | วัดมีสระน้ำนั้น ได้แก่วัดที่มีสระน้ำที่กรุด้วยหินถาวรมั่นคงเป็นหลักฐาน ในวัดเช่นนั้น ย่อมจะมีมหาชนพากันมาชุมนุมกันเพื่อต้องการน้ำ และพวกศิษย์ของพระเถระทั้งหลายผู้อาศัยราชตระกูลซึ่งอยู่ในเมือง ก็จะพากันมาซักย้อมผ้า เมื่อพวกลูกศิษย์เหล่านั้นมาถามหาภาชนะและฟืนหรือรางย้อมผ้าเป็นต้น โยคีบุคคลก็ต้องสาละวนคอยชี้บอกว่า อยู่ที่โน้น และ ที่โน้นแน่ เธอก็จะเป็นผู้กังวลเป็นนิจแม้ตลอดกาลทั้งปวง (จึงไม่ควรอยู่ ณ ที่วัดเช่นนั้น) | ||
- | |||
- | '''6. วัดที่มีใบไม้ใช้เป็นผัก''' | ||
- | |||
- | ในวัดใดมีใบไม้ที่ใช้รับประทานได้นานาชนิด ในวัดเช่นนั้น เมื่อโยคีบุคคลเรียนเอากัมมัฏฐานแล้วไปนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ ณ ที่อยู่สำหรับกลางวัน พวกสตรีที่เก็บผักก็จะพากันร้องเพลงไปพลาง เลือกเก็บผักไปพลางอยู่ ณ ที่ใกล้ ๆ จะทำให้เป็นอันตรายแก่กัมมัฏฐานด้วยความกระทบแห่งเสียงอันเป็นข้าศึก (จึงไม่ควรอยู่ ณ ที่วัดเช่นนั้น) | ||
- | |||
- | '''7. วัดที่มีไม้ดอก''' | ||
- | |||
- | แหละ ในวัดใดมีกอไม้ดอกนานาชนิดแตกบานอยู่อย่างสะพรั่ง แม้ในวัดเช่นนั้นก็จะเป็นอันตรายแก่กัมมัฏฐานเช่นเดียวกันนั่นเทียว (จึงไม่ควรอยู่ ณ ที่วัดเช่นนั้น) | ||
- | |||
- | '''8. วัดที่มีไม้ผล''' | ||
- | |||
- | ในวัดใดมีไม้ผลนานาชนิด เช่นมะม่วง, ชมพู่ และขนุนเป็นต้น ในวัดเช่นนั้นคนทั้งหลายที่ต้องการผลไม้จะพากันมาขอ เมื่อไม่ให้ เขาก็จะโกรธ หรือมิฉะนั้นก็จะพากัน | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 199) | ||
- | |||
- | สอยเอาโดยพลการ ตกเวลาเย็น โยคีบุคคลมาเดินจงกรมในกลางวัดเห็นคนเหล่านั้นเข้า ก็จะต่อว่ากับเขาว่า "อุบาสกทั้งหลาย ทำไมจึงพากันทำอย่างนั้น" เขาก็จะพากันด่าเอาตามชอบใจ เขาจะพยายามแม้เพื่อที่จะไม่ให้เธออยู่ต่อไป (จึงไม่ควรอยู่ ณ ที่วัดเช่นนั้น) | ||
- | |||
- | '''9. วัดที่มีคนขึ้นมาก''' | ||
- | |||
- | ก็แหละ โยคีบุคคลผู้อยู่ ณ ที่วัดซึ่งมีคนขึ้นมาก เช่น วัดทักขิณคิรี วัดหัตถิกุจฉิ วัดเจติยคีรี วัดจิตตลบรรพต ซึ่งชาวโลกยกย่องว่าเป็นที่เร้นลับ มนุษย์ทั้งหลายพากันนิยมสรรเสริญว่า ท่านผู้นี้เป็นพระอรหันต์ แล้วใคร่ที่จะได้กราบไหว้บูชา จึงพากันหลั่งไหลมาหาโดยรอบทิศ ด้วยเหตุนั้น โยคีบุคคลนั้นก็จะไม่มีความผาสุกสบาย แต่ว่าวัดเช่นนั้นย่อมเป็นที่สบายแก่โยคีบุคคลใด เวลากลางวันเธอจึงหลบไปอยู่เสีย ณ ที่อื่น ครั้นตกเวลากลางคืนจึงค่อยมาอยู่ | ||
- | |||
- | '''10. วัดที่อิงเมือง''' | ||
- | |||
- | ในวัดที่อิงเมืองนั้น ย่อมมีอิฏฐารมณ์ทั้งหลายมาผ่านสายตามากมาย มีกระทั่งแม้พวกกุมภทาสีทั้งหลาย พากันถือหม้อน้ำเดินเสียดสีไป ไม่หลีกทางให้ กับทั้งมีพวกมนุษย์ที่เป็นใหญ่พากันไปกางม่านนั่งอยู่ตามกลางวัด (จึงไม่ควรอยู่ ณ ที่วัดเช่นนั้น) | ||
- | |||
- | '''11. วัดที่อิงป่าไม้''' | ||
- | |||
- | ก็แหละ ในวัดที่อิงป่าไม้นั้น วัดใดมีไม้พืชและไม้ต้นที่ใช้ประกอบเครื่องอุปกรณ์แก่ทัพสัมภาระบ้านเรือนได้ ในวัดเช่นนั้น พวกคนเก็บฟืนทั้งหลายย่อมจะพากันทำความไม่ผาสุกให้ เหมือนพวกสตรีที่เก็บผักและเก็บดอกไม้ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และไม้ทั้งหลายที่มีอยู่ในวัด มนุษย์ทั้งหลายชวนกันว่า เราจักพากันตัดไม้เหล่านั้นมาทำเรือน แล้วก็พากันมาตัดเอาไม้ไป ถ้าในเวลาเย็น ๆ โยคีบุคคลออกจากกุฏิที่ทำความเพียรไปเดินจงกรมอยู่กลางวัด เห็นเขาแล้วก็จะพูดเตือนเขาว่า "อุบาสกทั้งหลาย ทำไมจึงพากันมาทำเช่นนี้" เขาก็จะพากันด่าเอาตามใจ และเขาก็จะพยายามเพื่อไม่ให้เธออยู่ต่อไปอีก (จึงไม่ควรอยู่ ณ ที่วัดเช่นนั้น) | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 200) | ||
- | |||
- | '''12. วัดที่อิงไร่นา''' | ||
- | |||
- | แหละ วัดใดเป็นวัดที่สร้างอิงไร่นา คือมีไร่นาทั้งหลายล้อมรอบวัด ในวัดเช่นนั้นจะมีพวกมนุษย์พากันไปทำลานข้าวกลางวัดนั่นเทียว แล้วนวดข้าว บ้างก็จะพากันไปนอนตามหน้ามุข ย่อมจะพากันทำความไม่ผาสุกแม้อย่างอื่น ๆ ให้เป็นอันมาก | ||
- | |||
- | แม้วัดใดมีสมบัติสงฆ์มาก พวกคนรักษาวัดก็ปล่อยโคทั้งหลายไปกัดกินข้าวของตระกูลทั้งหลาย บ้างก็จะพากันไปปิดกั้นทางน้ำไหล มนุษย์ทั้งหลายจะถือเอารวงข้าวมาเป็นพยานแสดงให้สงฆ์ทราบว่า พระผู้เป็นเจ้าเห็นไหม กรรมของพวกคนรักษาวัดของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนั้น ๆ ภิกษุทั้งหลายก็จะต้องไปยังประตูพระราชวังหรือประตูบ้านของราชมหาอำมาตย์ทั้งหลาย แม้วัดที่มีสมบัติสงฆ์มากเช่นนี้ ท่านก็สงเคราะห์เข้ากับวัดที่สร้างอิงไร่นานั่นเทียว (จึงไม่ควรอยู่ ณ ที่วัดเช่นนั้น) | ||
- | |||
- | '''13. วัดที่มีคนไม่ลงรอยกัน''' | ||
- | |||
- | วัดที่มีคนไม่ลงรอยกันนั้น ได้แก่วัดที่มีภิกษุทั้งหลายผู้เข้ากันไม่ได้ คือเป็นผู้จองเวรกันและกันอยู่อาศัย อธิบายว่า เป็นวัดที่มีพวกภิกษุทำความทะเลาะกัน ครั้นถูกโยคีบุคคลห้ามปรามว่า อย่าได้พากันทำอย่างนี้เลยท่าน ฉะนี้แล้ว ก็จะเกิดหาเรื่องขึ้นว่า พวกเราเกิดฉิบหายแล้ว นับแต่เวลาที่ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นปกติรูปนี้มาถึงทีเดียว (จึงไม่ควรอยู่ ณ วัดเช่นนั้น) | ||
- | |||
- | '''14. วัดที่อิงท่า''' | ||
- | |||
- | แม้วัดใดที่สร้างอิงท่าน้ำ (เช่นท่าเรือ) หรือที่สร้างอิงท่าบก (เช่นที่พักเกวียน หรือที่พักต่าง หรือท่าอากาศยาน สถานีจอดรถ) ในวัดเช่นนั้น ย่อมจะมีมนุษย์ทั้งหลาย โดยสารมาด้วยเรือ และด้วยพวกโคต่างเป็นต้น พากันเบียดเบียนทำความไม่ผาสุกให้อยู่เนือง ๆ ว่า ขอได้โปรดให้โอกาสที่พักด้วย ขอได้โปรดให้น้ำดื่มด้วย ขอได้โปรดให้เกลือด้วย ดังนี้เป็นต้น (จึงไม่ควรอยู่ ณ ที่วัดเช่นนั้น) | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 201) | ||
- | |||
- | '''15. วัดที่อิงป่าชายแดน''' | ||
- | |||
- | ในวัดที่สร้างอิงบ้านป่าชายแดนนั้น ย่อมจะมีแต่พวกมนุษย์ที่ไม่เลื่อมใสศรัทธาในรัตนะทั้งหลาย มีพระพุทธรัตนะเป็นต้น ด้วยเหตุนั้น ความอยู่ผาสุกสบายในวัดนั้น ย่อมจะไม่มีแก่โยคีบุคคล | ||
- | |||
- | '''16. วัดที่อิงเขตแดนประเทศ''' | ||
- | |||
- | ในวัดที่สร้างอิงเขตระหว่างประเทศนั้น ย่อมมีราชภัย จริงอยู่ พระราชาองค์หนึ่ง ย่อมจะทรงทำการรุกรบกับประเทศนั้น ด้วยทรงสำคัญว่า พระราชานี้ไม่ประพฤติเป็นไปในอำนาจของเรา แม้พระราชาอีกองค์หนึ่งนอกนี้ ก็จะทรงทำการรุกรบกับประเทศนอกนี้ ด้วยทรงสำคัญว่า พระราชานี้ไม่ประพฤติเป็นไปในอำนาจของเรา ภิกษุผู้โยคีบุคคลที่อยู่ในวัดเช่นนั้น บางครั้งก็จะเที่ยวไปในแว่นแคว้นแดนดินของพระราชาพระองค์นี้ บางครั้งก็จะเที่ยวไปในแว่นแคว้นแดนดินของพระราชาพระองค์นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกราชบุรุษทั้งหลายก็จะสำคัญผิดไปว่า ภิกษุนี้เป็นจารบุรุษ แล้วก็จะทำให้ถึงซึ่งความฉิบหายเสีย (จึงไม่ควรอยู่ ณ ที่วัดเช่นนั้น) | ||
- | |||
- | '''17. วัดที่ไม่มีความสบาย''' | ||
- | |||
- | วัดที่ไม่มีความสบายนั้น ได้แก่วัดไม่เป็นที่สบาย เพราะเหตุเป็นที่มารอบแห่งอารมณ์ต่าง ๆ มีรูปอันเป็นข้าศึกคือรูปที่ยั่วเย้าเร้าหลอกเป็นต้น หรือเป็นวัดที่มีอมนุษย์ยึดครอง ในวัดที่มีอมนุษย์ยึดครองนั้น มีเรื่องตัวอย่างดังนี้ – | ||
- | |||
- | มีเรื่องเล่าว่า พระเถระรูปหนึ่งอยู่ในวัดป่าแห่งหนึ่ง ครั้งนั้นมียักษิณีตนหนึ่งไปยืนขับร้องอยู่ที่ประตูบรรณศาลาของพระเถระนั้น พระเถระจึงได้ออกมายืนอยู่ที่ประตู ยักษิณีเลื่อนไปขับร้องอยู่ตรงศีรษะที่จงกรม พระเถระได้ตามไปที่ศีรษะที่จงกรมอีก ยักษิณีได้เลื่อนไปยืนขับร้องอยู่ที่ปากเหวซึ่งลึกร้อยชั่วบุรุษ ด้วยหมายว่า จักผลักพระเถระซึ่งตามมา ณ ที่นี้ด้วยเสียงเพลงขับ ให้ตกลงไปในเหวแล้วก็จักกิน แต่พระเถระได้กลับคืนเสีย ไม่ตามไป ในทันใดนั้น ยักษิณีได้วิ่งมาโดยเร็ว จับที่ก้านคอพระเถระพลางพูดว่า จะไปไหน แล้วได้เรียนพระเถระว่า "ท่านเจ้าขา บุคคลอย่างพระผู้เจ้านี้ คนเดียวดิฉันจะไม่กิน สองคนดิฉันก็จะไม่กิน" ฉะนี้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 202) | ||
- | |||
- | '''18. วัดที่หากัลยาณมิตรไม่ได้''' | ||
- | |||
- | วัดที่หากัลยาณมิตรไม่ได้นั้น อธิบายว่า ในวัดใดอันโยคีบุคคลไม่อาจที่จะได้ซึ่ง กัลยาณมิตรคือพระอาจารย์ หรือท่านผู้เสมอกับพระอาจารย์ก็ดี พระอุปัชฌาย์หรือท่านผู้เสมอกับพระอุปัชฌาย์ก็ดี การหาไม่ได้ซึ่งกัลยาณมิตรทั้งหลายเช่นนั้นในวัดนั้น นับเป็นโทษอันใหญ่หลวงทีเดียว | ||
- | |||
- | ด้วยประการฉะนี้ นักศึกษาพึงทราบว่า วัดที่ประกอบด้วยโทษ 18 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งเหล่านี้ ชื่อว่าวัดอันไม่สมควรแก่สมาธิภาวนา ข้อนี้สมด้วยคาถาประพันธ์ อันท่านอรรถกถาจารย์พรรณนาไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย ดังนี้ – | ||
- | |||
- | มหาวาสํ นวาวาสํ ชราวาสญฺจ ปนฺถนึ | ||
- | |||
- | โสณฺฑึ ปณฺณญฺจ ปุปฺผญฺจ ผลํ ปตฺถิตเมว จ | ||
- | |||
- | นครํ ทารุณา เขตฺตํ วิสภาเคน ปฏฺฏนํ | ||
- | |||
- | ปจฺจนฺตสีมาสปฺปายํ ยตฺถ มิตฺโต น ลพฺภติ | ||
- | |||
- | อฏฺฐารเสตานิ ฐานานิ อิติ วิญฺญาย ปณฺฑิโต | ||
- | |||
- | อารกา ปริวชฺชยฺย มคฺคํ สปฺปฏิภยํ ยถา | ||
- | |||
- | บัณฑิตทราบถึงสถานที่ 18 ประการเหล่านี้ คือ วัดใหญ่ 1 วัดสร้างใหม่ 1 วัดที่ชำรุด 1 วัดอิงทางหลวง 1 วัดมีสระน้ำ 1 วัดมีใบไม้ที่ใช้เป็นผัก 1 วัดมีไม้ดอก 1 วัดมีคนไม่ลงรอยกัน 1 วัดอิงท่า 1 วัดอิงบ้านป่าชายแดน 1 วัดอิงเขตแดนประเทศ 1 วัดไม่เป็นที่สบาย 1 และวัดที่หากัลยาณมิตรไม่ได้ 1 ว่าเป็นวัดอันไม่สมควรแก่ภาวนา ฉะนี้แล้ว พึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล เหมือนพ่อค้าหลีกเว้นทางอันมีภัยเฉพาะหน้า ฉะนั้น | ||
- | |||
- | ==วัดที่ภาวนาสะดวก 5== | ||
- | |||
- | ก็แหละ วัดใดประกอบด้วยองคคุณ 5 ประการ เช่นไม่ไกลไม่ใกล้นักแต่โคจรคาม เป็นต้น วัดเช่นนี้จัดเป็นวัดที่สมควรแก่ภาวนา สมดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า – | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะที่ประกอบด้วยองคคุณ 5 ประการ เป็นอย่างไร ? อย่างนี้คือ – | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 203) | ||
- | |||
- | 1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะในศาสนานี้ ย่อมเป็นสถานที่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก แต่โคจรคาม มีทางไปทางมาสะดวกสบาย ปลอดภัย | ||
- | |||
- | 2. กลางวันไม่พลุกพล่านด้วยผู้คน กลางคืนเงียบสงัด ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม | ||
- | |||
- | 3. ไม่มีเหลือบ, ยุง และสัตว์เลื้อยขบกัด ไม่มีสัมผัสอันเกิดแต่ลมและแดดรบกวน | ||
- | |||
- | 4. แหละ ผู้ที่อยู่ในเสนาสนะนั้นไม่มีความฝืดเคืองด้วยปัจจัย 4 คือจีวร, บิณฑบาต, เสนาสนะ และยาแก้ไข้ | ||
- | |||
- | 5. แหละ ในเสนาสนะนั้น มีภิกษุชั้นเถระ ผู้พหูสูต สำเร็จการศึกษาปริยัติธรรม ทรงธรรม ทรงวินัย และทรงมาติกาคือหัวข้อแห่งธรรมวินัย ที่เข้าไปเรียนสอบสวนทวนถามตามกาลอันควรว่า ท่านขอรับ บทนี้เป็นไฉน มีอรรถาธิบายอย่างไร ฉะนี้แล้ว ท่านเถระเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่เปิดเผย ย่อมทำให้ตื้นข้อที่ยังไม่ได้ทำให้ตื้น และช่วยบรรเทาความสงสัยเป็นอเนกประการ | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะย่อมประกอบด้วยองคคุณ 5 ประการ ฉะนี้แล | ||
- | |||
- | อรรถาธิบายพิสดารในหัวข้อสังเขปที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า พึงออกจากวัด | ||
- | |||
- | อันไม่สมควรแก่สมาธิภาวนาไปอยู่ ณ ที่วัดอันสมควร ยุติลงเพียงเท่านี้ | ||
- | |||
- | =ตัดเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ= | ||
- | |||
- | ในหัวข้อสังเขปว่า พึงทำการตัดเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ เสีย นั้น มีอรรถาธิบายว่า - อันโยคีบุคคลผู้อยู่ในวัดอันสมควรแก่ภาวนาอย่างนี้แล้ว เมื่อมีเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้ชนิดใดอยู่ ก็พึงตัดเครื่องกังวลแม้ชนิดนั้นเสียก่อน | ||
- | |||
- | ทำอย่างไร ? ทำอย่างนี้คือ ผม, เล็บ และขนที่ยาวพึงโกนหรือตัดเสียให้เรียบร้อย จีวรที่เก่าชำรุด ก็พึงทำให้มั่นคงด้วยการปะหรือดามเป็นต้น หรือพึงชุนหรือถักเสียให้เรียบร้อย ถ้าที่บาตรเป็นสนิม ก็พึงระบมบาตรให้มีสี พึงชำระปัดกวาดเตียงและตั่งให้สะอาด | ||
- | |||
- | อรรถาธิบายพิสดารในหัวข้อสังเขป พึงทำการตัดเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ ยุติลงเพียงนี้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 204) | ||
- | |||
- | =วิธีทำภาวนากัมมัฏฐาน 40= | ||
- | |||
- | บัดนี้ จะอรรถาธิบายโดยพิสดารในหัวข้อสังเขปทีว่า พึงภาวนา ไม่ทำภาวนาวิธีทุกอย่างให้บกพร่อง ฉะนี้ ด้วยอำนาจกัมมัฏฐานหมดทั้ง 40 ประการไปโดยลำดับโดยจะแสดงปถวีกสิณเป็นประการแรก ดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | =วิธีภาวนาปถวีกสิณ= | ||
- | |||
- | ก็แหละ ภิกษุผู้โยคีบุคคลเมื่อตัดเครื่องกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนี้แล้ว เวลาภายหลังอาหาร กลับจากการบิณฑบาต บรรเทาความมึนเมาอันมีอาหารเป็นเหตุแล้ว พึงไปนั่งคู้บังลังก์ ตั้งกายให้ตรง ณ โอกาสอันสงัด แต่นั้นพึงกำหนดเอานิมิตกสิณในดินที่ทำขึ้น หรือที่เป็นเองตามปกติต่อไป ข้อนี้สมดังที่ท่านโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า – | ||
- | |||
- | == บริกรรม === | ||
- | === วิธีทำนิมิตของปถวีกสิณ === | ||
- | โยคีบุคคลเมื่อจะถือเอาปถวีกสิณโดยอุคคหนิมิตนั้น ย่อมถือเอานิมิตในวงกลมแห่งดินที่สร้างขึ้นหรือที่เป็นเองตามปกติ ชนิดที่มีกำหนด ไม่ใช่ไม่มีกำหนด, ชนิดที่มีที่สุด ไม่ใช่ไม่มีที่สุด, ชนิดที่มีสันฐานกลม ไม่ใช่ที่ไม่กลม, ชนิดที่มีขอบเขต ไม่ใช่ไม่มีขอบเขต, โตเท่ากระด้งหรือเท่าปากขันโอ โยคีบุคคลนั้นย่อมภาวนาทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือเอาดีแล้ว ย่อมทรงไว้ซึ่งนิมิตนั้นให้เป็นอันทรงไว้ดีแล้ว และย่อมกำหนดนิมิตนั้นให้เป็นอันกำหนดดีแล้ว ครั้นเธอภาวนาทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือเอาดีแล้ว ทำการทรงไว้ให้เป็นอันทรงไว้ดีแล้ว ทำการกำหนดให้เป็นอันกำหนดดีแล้ว ก็จะเห็นอานิสงส์ มีความสำคัญเห็นเป็นรัตนะ นอบน้อม เคารพ คารวะ กระหยิ่มอิ่มใจ น้อมจิตเข้าไปผูกติดไว้ในอารมณ์ที่ตนถือเอาดีแล้ว ทรงไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้วนั้น ด้วยความมั่นใจว่า เราจักรอดพ้นจากชราทุกข์มรณทุกข์ ด้วยปฏิปทาอันนี้อย่างแน่นอน เธอบรรลุแล้วซึ่งปฐมฌาน อันมีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดแก่ความสงัด เพราะสงัดแน่นอนแล้วจากกามทั้งหลาย เพราะสงัดแน่นอนแล้วจาก อกุศลธรรมทั้งหลาย ฉะนี้แล | ||
- | |||
- | ====นิมิตกสิณธรรมชาติ==== | ||
- | |||
- | ในคำของท่านโบราณาจารย์นั้น มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ - อันโยคีบุคคลใด เคยบวชในศาสนาหรือเคยบวชเป็นฤาษีแล้ว ทำฌาน 4 และฌาน 5 ในปถวีกสิณให้บังเกิด | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 205) | ||
- | |||
- | มาแล้วแม้ในภพปางอดีต โยคีบุคคผู้มีบุญถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยเห็นปานนี้นั้น อุคคหนิมิต ย่อมเกิดขึ้นได้ในดินที่เป็นอยู่เองตามปกติ คือ ในที่ดินที่เขาไถไว้ หรือในลานข้าว เหมือนพระมัลลกเถระเป็นตัวอย่าง | ||
- | |||
- | ได้ยินว่า ท่านพระมัลลกเถระนั้น ขณะที่ท่านเพ่งดูที่ดินที่เขาไถไว้ อุคคหนิมิตประมาณเท่าที่ซึ่งเขาไถไว้นั้นนั่นเทียวได้เกิดขึ้นแล้ว ท่านเจริญอุคคหนิมิตจนได้บรรลุฌาน 5 แล้วเริ่มเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานอันมีฌานนั้นเป็นปทัฏฐาน จนได้บรรลุพระอรหัตแล | ||
- | |||
- | ====นิมิตกสิณทำเอง==== | ||
- | |||
- | ส่วนโยคีบุคคลใดผู้ไม่ได้ทำบุญญาธิการไว้เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ เธอต้องสร้างปถวีสิณขึ้นเอง อย่างที่ไม่ให้ผิดเพี้ยนไปจากกรรมวิธีที่เรียนมาในสำนักของพระอาจารย์ และให้เลี่ยงเสียจากโทษของกสิณ 4 ประการ จริงอยู่ โทษของปถวีกสิณมีอยู่ 4 ประการ ด้วยอำนาจทำปะปนกับสีเขียว 1 สีเหลือง 1 สีแดง 1 สีขาว 1 เพราะฉะนั้น โยคีบุคคลอย่าได้เอาดินมีสีเขียวเป็นต้นมาทำกสิณ จงทำด้วยดินที่มีสีเหมือนแสงอรุณ เช่น ดินที่แม่น้ำคงคา ก็แหละ กสิณนั้นอย่าทำไว้ ณ ตรงกลางวัด หรือ ณ ที่ภิกษุสามเณรสัญจรไปมา พึงทำไว้ตรงที่เป็นเพิงหรือบรรณศาลา ซึ่งเป็นที่ลับอยู่ท้ายวัด จะเป็นกสิณชนิดที่โยกย้ายได้ หรือชนิดที่ตกอยู่กับที่ก็ได้ | ||
- | |||
- | '''นิมิตแบบโยกย้ายได้''' | ||
- | |||
- | วิธีทำกสิณ 2 อย่างนั้น กสิณที่โยกย้ายได้ พึงเอาผืนผ้าเก่า หรือผืนหนัง หรือผืนเสื่อลำแพน มาผูกขึงติดไม้ 4 อัน แล้วเอาดินที่มีสีเหมือนแสงอรุณที่เก็บรากหญ้า และกรวดทรายออกหมดแล้ว ขยำได้ที่แล้ว มาทาเข้าที่ผืนผ้าหรือผืนหนังหรือเสื่อลำแพนนั้น ทำให้เป็นสันฐานกลมประมาณเท่ากระด้งหรือปากขันโอ ดังที่กล่าวแล้ว ในเวลาที่จะทำ บริกรรมภาวนา พึงเอาแผ่นกสิณนั้นไปปูลงที่พื้นแล้วเพ่งดูตามภาวนาวิธีต่อไป | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 206) | ||
- | |||
- | '''นิมิตแบบโยกย้ายไม่ได้''' | ||
- | |||
- | กสิณชนิดที่ติดอยู่กับที่นั้น พึงเอาหลักหลาย ๆ อันมาตอกลงกับพื้นดินโดยอาการคล้าย ๆ กับฝักบัว แล้วเอาเครือวัลย์มาถักร้อยตรึงเข้าไว้ ถ้าดินสีเหมือนแสงอรุณนั้นมีน้อยไม่เพียงพอ ให้เอาดินอื่นมาใส่ลงไว้ตอนล่างเสียก่อน แล้วจึงเอาดินมีสีเหมือนแสงอรุณซึ่งทำให้สะอาดมาใส่ทับข้างบน ทำให้มีสัณฐานกลมขนาดกว้าง 1 คืบ 4 นิ้ว | ||
- | |||
- | แหละ ที่ท่านโบราณาจารย์กล่าวว่า ประมาณเท่ากระด้งหรือประมาณเท่ากับปากขันโอนั้น ท่านหมายเอาประมาณคือ 1 คืบ 4 นิ้วนี้แล ส่วนคำมีอาทิว่า ชนิดที่มีกำหนด ไม่ใช่ไม่มีกำหนด นั้น ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงว่า ปถวีกสิณนั้นเป็นสิ่งที่มีกำหนดขอบเขต | ||
- | |||
- | ===วิธีนั่งเพ่งปถวีกสิณ=== | ||
- | |||
- | เพราะเหตุที่ท่านแนะให้ทำกสิณอย่างมีกำหนดนั้น ครั้นกะกำหนดประมาณเท่าที่กล่าวคือ 1 คืบ 4 นิ้วอย่างนั้นแล้ว จึงทำสีที่ไม่กลืนกับสีดินอรุณให้ปรากฏขึ้นเป็นขอบเขตไว้ด้วยเกรียงไม้ แต่นั้นจงอย่าใช้เกรียงไม้นั้น พึงใช้เกรียงหินขัดทำให้เรียบเสมอเหมือนหน้ากลอง ครั้นแล้วจงปัดกวาดสถานที่นั้นให้สะอาด ไปสรงน้ำชำระกายแล้วจึงกลับมา นั่งบนตั่งที่ตรึงอย่างมั่นคง มีเท้าสูง 1 คืบ 4 นิ้ว ซึ่งเตรียมตั้งไว้ ณ สถานที่ภายในระยะห่าง 2 ศอก 1 คืบแต่ดวงกสิณ | ||
- | |||
- | จริงอยู่เมื่อนั่งไกลกว่านั้นกสิณก็จะไม่ปรากฏชัด เมื่อนั่งใกล้กว่านั้นโทษแห่งกสิณทั้งหลายเช่นรอยฝ่ามือเป็นต้นก็จะปรากฏให้เห็น เมื่อนั่งสูงกว่านั้นย่อมจะต้องน้อมคอลง คือก้มหน้าลงดู เมื่อนั่งต่ำกว่านั้นก็จะปวดเข่า | ||
- | |||
- | เพราะฉะนั้น พึงนั่งโดยทำนองที่กล่าวไว้นั่นแล แล้วจงพิจารณาถึงโทษในกามทั้งหลาย โดยนัยมีอาทิว่า กามทั้งหลายมีความยินดีนิดหน่อย แต่มีทุกข์มาก พึงเป็นผู้มีความพอใจในเนกขัมมะมีฌานเป็นต้น อันเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งกาม อันเป็นอุบายล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวง พึงทำปีติและปราโมชให้บังเกิดขึ้น ด้วยการระลึกถึงพระพุทธคุณพระธรรมคุณและพระสังฆคุณ พึงเป็นผู้มีความเคารพอย่างแม่นมั่นอยู่ในข้อปฏิบัติว่า เนกขัมมปฏิปทานี้นั้น เป็นข้อปฏิบัติอันพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยสาวกทั้งหลายทุก ๆ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 207) | ||
- | |||
- | พระองค์ได้ปฏิบัติมาแล้ว และพึงทำความอุตสาหะให้เกิดว่า เราจักเป็นผู้มีส่วนได้ดื่มรสความสุขอันเกิดแต่ความสงัด ด้วยข้อปฏิบัติอันนี้อย่างแน่นอน แล้วพึงภาวนา ลืมตาแต่พอดี จับเอานิมิตในปถวีกสิณนั้น โดยอาการอันสม่ำเสมอเรื่อย ๆ ไป | ||
- | |||
- | จริงอยู่ เมื่อลืมตากว้างมากไปก็จะเมื่อยตา และดวงกสิณก็จะปรากฏชัดเกินไป ด้วยเหตุนั้นอุคคหนิมิตก็จะไม่เกิดขึ้นได้ เมื่อลืมตาแคบไป ดวงกสิณก็จะไม่ปรากฏชัด และจิตก็จะห่อเหี่ยว แม้ด้วยเหตุนี้อุคคหนิมิตก็จะไม่เกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น โยคีบุคคลพึงภาวนาลืมตาแต่พอดี จับเอานิมิตในปถวีกสิณนั้น โดยอาการอันสม่ำเสมอ เหมือนดูเงาหน้าในบานกระจก ฉะนั้น และอย่าพิจารณาถึงสีของดิน อย่าเอาใจใส่ถึงลักษณะของดินเช่นความแข็งของดินเป็นต้น แต่ก็มิใช่จะปฏิเสธสีเสียทีเดียว พึงตั้งจิตไว้ในคำบัญญัติว่าดิน ด้วยอำนาจธาตุดิน เป็นสิ่งที่มากกว่าธาตุอื่น แล้วพิจารณาดินพร้อมกับสีที่อาศัยพร้อม ๆ กันไป | ||
- | |||
- | แหละ ในบรรดาชื่อของดินทั้งหลายในคำบาลี เช่น ปถวี, มหี, เมทนี, ภูมิ, วสุธา และ วสุนธรา เป็นต้น โยคีบุคคลปรารถนาชื่อใด และชื่อใดสำเร็จเป็นเครื่องเกื้อหนุน แก่ความจำของเธอ เธอก็พึงระบุเอาชื่อนั้น หรือพระอาจารย์พึงบอกชื่อนั้นแก่เธอ | ||
- | |||
- | อีกประการหนึ่ง ที่ชื่อว่า ปถวี นี้นั่นเทียว ปรากฏเป็นที่รู้จักกันมากกว่าชื่ออื่น ฉะนั้น โยคีบุคคลพึงภาวนาด้วยคำบาลีว่า ปถวี –ปถวี หรือด้วยคำไทยว่า ดิน–ดิน ดังนี้ ด้วยอำนาจเป็นชื่อที่ปรากฏนั่นเทียว และบางครั้งพึงลืมตาดูนิมิต บางครั้งพึงหลับตาเสียแล้วนึกทางใจ อุคคหนิมิตยังไม่เกิดข้นตราบใด ตราบนั้นจงภาวนาเรื่อย ๆ ไปโดยนัยนี้แหละ จนถึงร้อยครั้งพันครั้ง หรือ แม้จะมากครั้งกว่านั้นขึ้นไปก็ตาม | ||
- | |||
- | ==ได้อุปจาระ,ละนิวรณ์,ได้ปฏิภาคพร้อมกัน== | ||
- | |||
- | ===นิมิต 2=== | ||
- | |||
- | ====ได้อุคคหนิมิต==== | ||
- | |||
- | เมื่อโยคีบุคคลภาวนาอยู่อย่างนั้น กาลใด หลับตานึกทางใจ นิมิตในปถวีกสิณนั้น มาสู่คลองจักษุ คือเข้าถึงความเป็นอารมณ์ของมโนทวาริกชวนจิต กาลนั้น ย่อมได้ชื่อว่า อุคคหนิมิต เกิดแล้ว นับแต่เวลาอุคคหนิมิตเกิดแล้วไป โยคีบุคคลไม่ต้องนั่งภาวนาอยู่ ณ ที่ดวงกสิณนั้นอีก พึงกลับเข้าสู่ที่อยู่ของตนแล้วนั่งภาวนาอยู่ ณ ที่นั้นเถิด | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 208) | ||
- | |||
- | อนึ่ง เพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ชักช้าเสียเวลาในเพราะอันที่จะต้องล้างเท้า โยคีบุคคลจำต้องมีรองเท้าชนิดชั้นเดียวกับไม้เท้าด้วย เพื่อว่าถ้าสมาธิที่ยังอ่อนจะเสื่อมหายไปด้วย เหตุอันไม่เป็นที่สบายบางอย่างแล้ว โยคีบุคคลจะได้สวมรองเท้าถือไม้เท้าไปยังที่เดิมนั้น นั่งเพ่งกสิณจนได้อุคคหนิมิตอีก จึงกลับมาที่อยู่ของตน นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายให้ตรงภาวนาเรื่อย ๆ ไป | ||
- | |||
- | ====ได้ปฏิภาคนิมิต==== | ||
- | |||
- | อันโยคีบุคคลนั้นพึงพยายามนึกถึงอุคคหนิมิตนั้นให้บ่อย ๆ ทำกัมมัฏฐานให้เป็นอันความนึกตะล่อมมาไว้ในจิตแล้ว อันความนึกชอบตะล่อมมาไว้ในจิตแล้ว เมื่อโยคีบุคคลทำกัมมัฏฐานให้เป็นความนึกตะล่อมมาไว้ในจิตแล้ว อันความนึกชอบตะล่อมมาไว้ในจิตแล้วอย่างนี้ นิวรณ์ทั้งหลายมีกามฉันทะเป็นต้นก็จะสงบลง และกิเลสทั้งหลายอันตั้งอยู่ในฐานะเดียวกันกับนิวรณ์นั้น ก็จะระงับหายไปโดยลำดับแห่งภาวนา จิตย่อมตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิ ปฏิภาคนิมิต ย่อมเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | ====ความแตกต่างของนิมิตทั้ง 2==== | ||
- | |||
- | ในนิมิตทั้ง 2 นั้น ความแปลกกันแห่งอุคคหนิมิตอันก่อนกับปฏิภาคนิมิตนี้ ดังนี้ คือ ในขั้นอุคคหนิมิตยังมีโทษแห่งกสิณปรากฏให้เห็นอยู่ได้ ส่วนปฏิภาคนิมิตย่อมปรากฏเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่องกว่าอุคคหนิมิตนั้นตั้งร้อยเท่าพันเท่า เป็นดุจชำแรกอุคคหนิมิตออกมาคล้ายกับดวงแว่นที่ถอดออกจากถุง คล้ายถาดสังข์ที่ขัดดีแล้ว คล้ายดวงจันทร์ที่ออกจากกลีบเมฆ และคล้ายหมู่นกยางอยู่ที่หน้าเมฆ | ||
- | |||
- | ก็แหละ ปฏิภาคนิมิตนั้นไม่มีสีไม่มีสัณฐาน เพราะไม่ใช่สภาวปรมัตถ์ จริงอยู่ ถ้าปฏิภาคนิมิตนั้นจะพึงเป็นสิ่งที่มีสีและสัณฐานเช่นนี้แล้ว ก็จะพึงเป็นรูปหยาบที่รู้ได้ด้วยตาเนื้อ เข้าถึงสัมมสนญาณได้ ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ได้ แต่นี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ มันเป็นสักว่าอาการที่ปรากฏแก่ผู้ได้สมาธิซึ่งเกิดจากสัญญาภาวนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น | ||
- | |||
- | ก็แหละ นับจำเดิมแต่เวลาปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นแล้ว นิวรณ์ทั้งหลายมีกามฉันทะเป็นต้น ย่อมสงบไปเองนั่นเทียว กิเลสทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในฐานะเดียวกันกับนิวรณ์ก็ระงับไปเองด้วย จิตก็เป็นอันตั้งมั่นแล้วด้วย อุปจารสมาธิ นั่นแล | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 209) | ||
- | |||
- | ===สมาธิ 2=== | ||
- | |||
- | แหละสมาธินั้นมี 2 อย่าง คือ อุปจารสมาธิ 1 อัปปนาสมาธิ 1 จิตในอุปจารภูมิ หรือในปฎิลาภภูมิ ( ภูมที่ได้อัปปนาฌาน ) ย่อมตั้งมั่นด้วยเหตุ 2 ประการ คือ ใน 2 ภูมินั้น จิตในอุปจารภูมิย่อมตั้งมั่น เพราะการประหานเสียได้ซึ่งนิวรณ์ จิตในปฎิลาภภูมิย่อมตั้งมั่นเพราะความบังเกิดขึ้นแห่งองค์ฌาน | ||
- | |||
- | ก็แหละ สมาธิ 2 อย่างมีเหตุต่างกันดังนี้ องค์ฌานทั้งหลายในอุปจารสมาธิยังไม่มีกำลัง เพราะองค์ฌานทั้งหลายยังไม่เกิดกำลัง คือยังไม่บรรลุซึ่งกำลัง คือยังไม่บรรลุซึ่งกำลังแห่งภาวนา เปรียบเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่พยุงให้ลุกขึ้นยืนแล้วก็ล้มลงไปที่พื้นบ่อย ๆ ฉันใด เมื่ออุปจารสมาธิเกิดขึ้นนั้น บางทีจิตก็ทำนิมิตให้เป็นอารมณ์ บางทีก็ตกสู่ภวังค์ ฉันนั้น ส่วนในอัปปสมาธิ องค์ฌานทั้งหลายมีกำลัง เพราะองค์ฌานเหล่านั้นเกิดมีกำลังแล้ว เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ลุกจากที่นั่งแล้วพึงยืนอยู่ได้แม้ตลอดทั้งวัน ฉันใด แม้เมื่ออัปปนาสมาธิเกิดขึ้นแล้ว ฌานจิตตัดวาระแห่งภวังค์ครั้งเดียว แล้วก็ดำรงอยู่ตลอดคืนตลอดวันแม้ทั้งสิ้น ย่อมเป็นไปอยู่ด้วยอำนาจลำดับแห่งกุศลชวนะจิตอย่างเดียวเท่านั้น | ||
- | |||
- | '''รักษาปฏิภาคนิมิตเหมือนพระครรภ์จักรพรรดิ''' | ||
- | |||
- | ในนิมิต 2 อย่างนั้น ปฏิภาคนิมิตซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับอุปจารสมาธินั้นใด การที่จะทำให้ปฏิภาคนิมิตนั้นเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าโยคีบุคคลสามารถที่จะเจริญปฎิภาคนิมิตนั้นไป จนบรรลุซึ่งอัปปนาสมาธิเสียได้ด้วยบัลลังก์นั้นทีเดียว ข้อนั้นนับเป็นโชคดี แต่ถ้าไม่สามารถจะปฏิบัติได้เช่นนั้น แต่นั้น โยคีบุคคลนั้นอย่าได้ประมาท พึงรักษาปฏิภาคนิมิตนั้นไว้เหมือนกับพระครรภ์ที่ทรงไว้ซึ่งทารกผู้จะเป็นพระเจ้าจักพรรดิ ฉะนั้น เพราะเมื่อรักษาปฏิภาคนิมิตไว้ได้เช่นนี้ อุปจารฌานที่ได้แล้วก็จะไม่มีการเสื่อมหายไป แต่เมื่อไม่มีการรักษาแม้อุปจารฌานที่ได้แล้วนั้นก็จะเสื่อมหายไปเสีย | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 210) | ||
- | |||
- | ===สัปปายะ 7=== | ||
- | |||
- | ====ระวัง 7 ข้อเพื่อรักษาปฏิภาคนิมิตที่เพิ่งได้มา==== | ||
- | |||
- | ต้องเว้นอสัปปายะ 7 และเสพสัปปายะ 7 | ||
- | |||
- | ในปฏิภาคนิมิตนั้น มีวิธีรักษาดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | (คาถาสำหรับท่องจำ) | ||
- | |||
- | อาวาโส โคจโร ภสฺสํ ปุคฺคโล ฏภชนํ อุตุ | ||
- | |||
- | อิริยาปโถติ สตฺเตเต อสปฺปาเย วิวชฺชเย | ||
- | |||
- | สปฺปาเย สตฺต เสเวถ เอวญฺหิ ปฏิปชฺชโต | ||
- | |||
- | นจิเรเนว กาเลน โหติ กสฺสจิ อปฺปนา | ||
- | |||
- | โยคีบุคคลใดได้ปฏิภาคนิมิตแล้วนั้น พึงเว้นซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบาย 7 อย่างเหล่านี้ คือ | ||
- | |||
- | 1. อาวาโส ได้แก่ที่อยู่อันไม่เป็นที่สบาย | ||
- | |||
- | 2. โคจโร ได้แก่หมู่บ้านบิณฑบาตไม่เป็นที่สบาย | ||
- | |||
- | 3. ภสฺสํ ได้แก่คำพูดอันไม่เป็นที่สบาย | ||
- | |||
- | 4. ปุคฺคโล ได้แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่สบาย | ||
- | |||
- | 5. โภชนํ ได้แก่อาหารอันไม่เป็นที่สบาย | ||
- | |||
- | 6. อุตุ ได้แก่อากาศอันไม่เป็นที่สบาย และ | ||
- | |||
- | 7. อิริยาปโถ ได้แก่อิริยาบถอันไม่เป็นที่สบาย | ||
- | |||
- | และพึงส้องเสพธรรมอันเป็นที่สบาย 7 อย่างตรงกันข้าม เพราะเมื่อปฏิบัติได้อย่างนี้ ไม่ช้าไม่นานเท่าใดนักเลย โยคีบุคคลบางท่านก็จะได้สำเร็จอัปปนาฌานต่อไป | ||
- | |||
- | '''อธิบาย อสัปปายะ 7 และสัปปายะ 7 | ||
- | ''' | ||
- | |||
- | '''1. อาวาส – ที่อยู่ | ||
- | ''' | ||
- | ในที่อยู่ 2 อย่างนั้น เมื่อโยคีบุคคลอยู่ในที่อันใด นิมิตที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมหายไป และสติที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ไม่ตั้งมั่น จิตที่ไม่เป็นสมาธิก็ไม่เป็นสมาธิ ที่อยู่เช่นนี้ ชื่อว่า ที่อยู่ไม่เป็นที่สบาย | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 211) | ||
- | |||
- | เมื่อโยคีบุคคลอยู่ ณ ที่ใด นิมิตย่อมเกิดขึ้นด้วย ย่อมถาวรมั่นคงอยู่ด้วย สติย่อมตั้งมั่นในนิมิตนั้น จิตก็เป็นสมาธิ เหมือนพระปธานิยติสสเถระผู้อยู่ ณ วัดนาคบรรพตเป็นตัวอย่าง ที่อยู่เช่นนี้ ชื่อว่า ที่อยู่เป็นที่สบาย | ||
- | |||
- | เพราะฉะนั้น ในวัดใดมีที่อยู่หลายแห่งด้วยกัน ในวัดเช่นนั้น โยคีบุคคลพึงอยู่ ทดลองดูแห่งละ 3 วัน ๆ ณ แห่งใดทำให้จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ ก็พึงอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเถิด จริงอยู่ เพราะเหตุที่ได้ที่อยู่เป็นที่สบาย ภิกษุ 500 รูป ซึ่งอยู่ ณ ถ้ำจูฬนาคะในประเทศลังกา เรียนเอากัมมัฏฐานแล้วก็ได้บรรลุพระอรหัต ณ ถ้ำนั้นนั่นแล แหละ ณ ที่อื่น ๆ พระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระโสดาบันเป็นต้น ได้บรรลุถึงขั้นอริยภูมิแล้วได้บรรลุพระอรหัต ณ ที่นั้น ๆ คณนานับไม่ถ้วน แม้ที่วัดอื่น ๆ เช่น วัดจิตตลบรรพต เป็นต้น ก็เช่นเดียวกันนี้ | ||
- | |||
- | '''2. โคจรคาม – หมู่บ้านบิณฑบาต | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ โคจรคามคือหมู่บ้านสำหรับไปบิณฑบาตแห่งใด มีอยู่ด้านทิศเหนือ หรือด้านทิศใต้ 1 มีอยู่ในที่ไม่ห่างไกลมากนัก คือภายในระยะหนึ่งโกสะครึ่ง ประมาณพันชั่วคันธนู หรือ 2 กิโลเมตร 1 มีภิกษาหารบริบูรณ์หาได้สะดวก 1 หมู่บ้านเช่นนั้น ชื่อว่า หมู่บ้านบิณฑบาตเป็นที่สบาย อย่างตรงกันข้าม ชื่อว่า หมู่บ้านบิณฑบาตไม่เป็นที่สบาย | ||
- | |||
- | '''3. ภัสสะ - คำพูด | ||
- | ''' | ||
- | ถ้อยคำที่นับเนื่องในดิรัจฉานกถา 12 ประการ มีการพูดถึงเรื่องพระราชาเป็นต้น ชื่อว่าเป็นถ้อยคำไม่เป็นที่สบาย เพราะถ้อยคำเช่นนั้น ย่อมเป็นไปเพื่ออันตรธานเสียแห่งนิมิตของโยคีบุคคลนั้น | ||
- | |||
- | ถ้อยคำที่อาศัยกถาวัตถุ 10 ประการ มีพูดถึงความมักน้อยเป็นต้น ชื่อว่า เป็นถ้อยคำเป็นที่สบาย แม้ถึงถ้อยคำเป็นที่สบายเช่นนั้น ก็พึงพูดแต่พอประมาณ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 212) | ||
- | |||
- | '''4. ปุคคโล – บุคคล | ||
- | ''' | ||
- | บุคคลผู้ไม่ชอบพูดเรื่องดิรัจฉานกถา เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติมีศีลเป็นต้น ที่โยคีบุคคลอาศัยแล้ว จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นย่อมตั้งมั่น หรือจิตที่ตั้งมั่นแล้วย่อมมั่นคงยิ่งขึ้น บุคคลเห็นปานนี้ ชื่อว่า เป็นบุคคลเป็นที่สบาย | ||
- | |||
- | ส่วนบุคคลที่ชอบประคบประหงมบำรุงตกแต่งร่างกาย ชอบพูดแต่เรื่องดิรัจฉานกถา ชื่อว่า บุคคลไม่เป็นที่สบาย เพราะบุคคลเช่นนั้นย่อมทำปฏิภาคนิมิตนั้นให้เศร้าหมองได้ทีเดียว เปรียบเหมือนน้ำขี้ตมทำน้ำที่ใสให้ขุ่นได้ฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงปฏิภาคนิมิตดอก แม้แต่สมาบัติของพระหนุ่มผู้อยู่ ณ เขาโกฏบรรพตรูปหนึ่ง ก็ยังเสื่อมหายไป เพราะเหตุอาศัยบุคคลไม่เป็นที่สบายเช่นนั้น | ||
- | |||
- | '''5 - 6. โภชนะ – อาหาร และ อุตุ - อากาศ | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ อาหารที่มีรสหวาน ย่อมเป็นที่สบายสำหรับบุคคลบางคน ที่มีรสเปรี้ยว ย่อมเป็นที่สบายสำหรับบุคคลบางคน แม้อากาศเย็นก็เป็นที่สบายสำหรับบุคคลบางคน อากาศร้อนเป็นที่สบายสำหรับบุคคลบางคน เพราะฉะนั้น เมื่อโยคีบุคคลส้องเสพอาหารหรืออากาศชนิดใดจึงมีความผาสุกสบาย หรือจิตที่ยังไม่ตั้งมั่นย่อมตั้งมั่น หรือจิตที่ตั้งมั่นแล้วย่อมมั่นคงยิ่งขึ้น อาหารชนิดนั้นและอากาศชนิดนั้น ชื่อว่า เป็นที่สบาย อาหารและอากาศชนิดอื่นนอกจากนี้ ชื่อว่า ไม่เป็นที่สบาย | ||
- | |||
- | '''7. อิริยาปโถ - อิริยาบถ | ||
- | ''' | ||
- | แม้ในอิริยาบถ 4 บางคนมีอิริยาบถเดินเป็นที่สบาย บางคนก็มีอิริยาบถนอน, อิริยาบถยืน หรืออิริยาบถนั่งอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นที่สบาย เพราะฉะนั้น โยคีบุคคลพึงทดลอง อิริยาบถนั้นดูอย่างละ 3 วัน เหมือนกับทดลองที่อยู่ ในอิริยาบถใด จิตที่ยังไม่ได้ตั้งมั่นย่อมตั้งมั่น หรือจิตที่ตั้งมั่นแล้วย่อมมั่นคงยิ่งขึ้น พึงทราบว่าอิริยาบถนั้นชื่อว่า เป็นอิริยาบถเป็นที่สบาย อิริยาบถอื่น ๆ นอกนี้ ไม่ใช่เป็นอิริยาบถที่สบาย | ||
- | |||
- | ด้วยประการฉะนี้ โยคีบุคคลพึงเว้นธรรมอันไม่เป็นที่สบาย 7 อย่างนี้ พึงเสพธรรมอันเป็นที่สบาย 7 อย่างนี้นั้นเถิด เพราเมื่อปฏิบัติได้อย่างนี้ และเสพปฏิภาคนิมิตมาก ๆ ขึ้น ไม่ช้าไม่นานเท่าไรเลย โยคีบุคคลบางคนก็จะได้สำเร็จอัปปนาฌานแน่นอน | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 213) | ||
- | |||
- | ===อัปปนาโกศล 10=== | ||
- | ====บริหาร 10 ข้อให้บรรลุอัปปนา==== | ||
- | |||
- | ถ้ายังไม่สำเร็จอัปปนาฌาน ต้องบำเพ็ญอัปปนาโกศล 10 ประการ | ||
- | |||
- | ก็แหละ โยคีบุคคลใดแม้จะได้ปฏิบัติอย่างนั้นแล้ว ก็ยังไม่ได้สำเร็จอัปปนาฌาน โยคีบุคคลนั้นพึงบำเพ็ญอัปปนาโกศล (คือวิธีที่จะให้มีความฉลาดในอัปปนา) ให้เกิดขึ้นโดยบริบูรณ์ต่อไป | ||
- | |||
- | ในอัปปนาโกศลนั้น มีนัยดังนี้ - อันโยคีบุคคลจำต้องปรารถนาวิธีที่จะให้มีความฉลาดในอัปปนาสมาธิ โดยประการ 10 อย่าง คือ – | ||
- | |||
- | 1. วตฺถุวิสทกิริยโต โดยทำวัตถุให้สะอาด | ||
- | |||
- | 2. อินฺทริยสมตฺตปฏิปาทนโต โดยทำอินทรีย์ให้ถึงความเสมอกัน | ||
- | |||
- | 3. นิมิตฺตกุสลโต โดยฉลาดในนิมิต | ||
- | |||
- | 4. จิตฺตปคฺคหโต โดยยกจิตในสมัยที่ควรยก | ||
- | |||
- | 5. จิตฺตนิคฺคหโต โดยข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม | ||
- | |||
- | 6. จิตฺตสมฺปหํสโต โดยพยุงจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง | ||
- | |||
- | 7. จิตฺตอชฺฌุเปกฺขโต โดยเพ่งดูจิตเฉยในสมัยที่ควรเพ่งดูเฉย | ||
- | |||
- | 8. อสมาหิตปุคฺคลปริวชฺชนโต โดยเว้นบุคคลผู้ไม่มีสมาธิ | ||
- | |||
- | 9. สมาหตปุคฺคลเสวนโต โดยสมาคมกับบุคคลผู้มีสมาธิ และ | ||
- | |||
- | 10. ตทธิมุตฺตโต โดยน้อมจิตไปในสมาธินั้น | ||
- | |||
- | '''อธิบาย อัปปนาโกศล 10 ประการ | ||
- | ''' | ||
- | '''1. โดยทำวัตถุให้สะอาด | ||
- | ''' | ||
- | ในอัปปนาโกศล 10 ประการนั้น การทำวัตถุทั้งหลายทั้งภายในและภายนอกให้มีความสะอาด ชื่อว่า ทำวัตถุให้สะอาด อธิบายว่า กาลใด โยคีบุคคลมีผม, เล็บ และ ขนทั้งหลายขึ้นมา หรือมีร่างกายถูกเหงื่อไคลจับเปื้อนเปรอะ กาลนั้น ชื่อว่า มีวัตถุภายในไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ แหละกาลใด โยคีบุคคลมีจีวรเก่า สกปรก และเหม็นสาบ หรือมีเสนาสนะรกรุงรัง กาลนั้น ชื่อว่า มีวัตถุภายนอกไม่สะอาดไม่บริสุทธิ์ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 214) | ||
- | |||
- | เมื่อจิตและเจตสิกทั้งหลายเกิดขึ้นในวัตถุอันเป็นภายในและภายนอกที่ไม่สะอาดเช่นนั้น แม้ฌานก็พลอยไม่สะอาดไปด้วย ฉันเดียวกับแสงแห่งตะเกียงอันเกิดเพราะอาศัย ตะเกียง, ไส้ และน้ำมันที่ไม่สะอาด เมื่อโยคีบุคคลพิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยฌานอันไม่สะอาด แม้สังขารย่อมไม่ปรากฏแจ้งชัด ถึงจะเพียรทำกัมมัฏฐานไป แม้กัมมัฏฐานก็จะไม่บรรลุถึงซึ่งความเจริญงอกงามไพบูลย์อยู่นั่นเอง | ||
- | |||
- | แต่เมื่อจิตและเจตสิกทั้งหลายเกิดขึ้นในวัตถุอันเป็นภายในและภายนอกที่สะอาด แม้ญาณก็พลอยสะอาดบริสุทธิ์ไปด้วย ฉันเดียวกับแสงแห่งตะเกียงที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยตะเกียง, ไส้ และน้ำมันที่สะอาด และเมื่อโยคีบุคคลพิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยญาณอันสะอาด แม้สังขารทั้งหลายก็ย่อมปรากฏแจ้งชัด เมื่อเพียรทำกัมมัฏฐานไป แม้กัมมัฏฐานก็จะบรรลุถึง ซึ่งความเจริญงอกงามไพบูลย์โดยแท้ | ||
- | |||
- | '''2. โดยทำอินทรีย์ให้ถึงความเสมอกัน | ||
- | ''' | ||
- | การทำอินทรีย์ 5 มีศรัทธาเป็นต้นให้มีความสม่ำเสมอกันโดยหน้าที่ ชื่อว่า ทำอินทรีย์ให้ถึงความเสมอกัน อธิบายว่า ถ้าแหละ อินทรีย์คือศรัทธาของโยคีบุคคลนั้นมีกำลังมาก อินทรีย์ 4 นอกนี้มีกำลังน้อยแล้วไซร้ เพราะเหตุนั้น อินทรีย์คือวีริยะ ย่อมไม่สามารถเพื่อทำหน้าที่คือการประคอง อินทรีย์คือสติ ย่อมไม่สามารถเพื่อทำหน้าที่คือการปรากฏ อินทรีย์คือสมาธิ ย่อมไม่สามารถเพื่อทำหน้าที่คือความไม่ฟุ้งซ่าน อินทรีย์คือปัญญาย่อมไม่สามารถทำหน้าที่คือการเห็นแจ้ง เพราะฉะนั้น ต้องลดสัทธินทรีย์นั้นลง ด้วยการพิจารณาถึงสภาวธรรมคือภาวะที่เป็นจริงของสัทธินทรีย์นั้น หรือด้วยไม่มนสิการถึงโดยวิธีที่มนสิการถึงแล้วสัทธินทรีย์เกิดมีกำลังมากขึ้น แหละในอธิการนี้ มีเรื่องพระวักกลิเถระ เป็นตัวอย่าง | ||
- | |||
- | '''เรื่องพระวักกลิเถระ | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ ท่านวักกลิเถระนั้น เป็นผู้มีบุญญาธิการอันได้สั่งสมไว้ในสัทธาธิมุต คือ ความเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า จึงเป็นผู้ขวนขวายในอันจะได้เห็นพระรูปพระโฉมของพระศาสดาอยู่อย่างไม่รู้สร่าง แม้พระบรมศาสดาจะได้ทรงโอวาทแล้วทรงประกอบไว้ในกัมมัฏฐาน โดยนัยมีอาทิว่า วักกลิ เธอต้องการอะไรด้วยอันเห็นกายอันเปื่อยเน่านี้เล่า วักกลิ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 215) | ||
- | |||
- | ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นจึงชื่อว่าเห็นเรา ฉะนี้แล้วก็ตาม เธอก็มิได้สนใจประกอบพระกัมมัฏฐานนั้น กลับเสียใจ ได้ขึ้นไปยังทีปากเหวเพื่อทำตนให้ตกลงไป ทันใดนั้น พระบรมศาสดาซึ่งเสด็จประทับนั่งอยู่อย่างปกตินั่นเทียว ได้ทรงเปล่งพระรัศมีไปทรงแสดงพระองค์ให้ปรากฏ ตรัสพระพุทธนิพนธคาถาว่า "ภิกษุผู้มากไปด้วยความปราโมช เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามีหวังได้บรรลุสันติบท คือความสุขอันเป็นที่ระงับดับเสียซึ่งสังขารธรรมทั้งหลาย" ฉะนี้แล้ว ได้ทรงเรียกพระวักกลิเถระว่า "มานี่แน่ วักกลิ" ท่านวักกลิเถระนั้น อันพระบรมศาสดาได้ทรงประพรมด้วยน้ำพระพุทธมนต์อมฤตรสนั้นแล้ว กลับมีความร่าเริงยินดี จึงได้เริ่มลงมือเจริญวิปัสสนา แต่ก็ไม่อาจหยั่งลงสู่วิปัสสนาวิถีได้ เพราะเหตุที่ศรัทธามีกำลังมากเกินไป พระผู้มีพระภาคทรงทราบเช่นนั้น จึงทรงแก้ไขให้ท่านถึงความเป็นผู้มีอินทรีย์สม่ำเสมอกัน ทรงสอบชำระพระกัมมัฏฐานประทานให้ แล้วท่านวักกลิเถระปฏิบัติวิปัสสนาให้ก้าวหน้าขึ้นไป โดยนัยที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้นั้น ก็ได้บรรลุถึงซึ่งพระอรหัตโดยลำดับแห่งอริยมรรคขึ้นไป ฉะนี้แล | ||
- | |||
- | แหละถ้าวีริยินทรีย์มีกำลังมาก แต่นั้น สัทธินทรีย์ก็จะไม่สามารถทำหน้าที่คือการตัดสินอารมณ์ได้ อินทรีย์อื่นนอกนี้ก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ที่ต่างกันนอกนี้ได้ เพราะฉะนั้น ต้องลดวีริยินทรีย์นั้นลง ด้วยการเจริญสัมโพชฌงค์ 3 ประการ คือ ปัสสัทธิ, สมาธิ และอุเบกขา แม้ในอธิการนี้ ก็ควรแสดงเรื่องพระโสณเถระผู้ละเอียดอ่อนเป็นตัวอย่าง ดังนี้ – | ||
- | |||
- | '''เรื่องพระโสณเถระ | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ ท่านโสณเถระนั้น เรียนเอาพระกัมมัฏฐานในสำนักของพระบรมศาสดาแล้วไปอยู่ ณ ป่าสีเสียด ท่านคิดว่า "ร่างกายเราละเอียดอ่อนมาก และเราไม่สามารถจะบรรลุถึงสุขได้โดยง่ายเลย เราจึงควรบำเพ็ญสมณธรรมแม้อย่างที่ทรมานกายให้ลำบาก" ฉะนี้แล้ว ได้อธิษฐานเอาอิริยาบถยืนและเดินเพียง 2 อย่างเท่านั้น พยายามประกอบความเพียรอยู่แม้ที่ฝ่าเท้าที่ข้อเท้าจะมีเวทนาปรากฏเกิดขึ้น ก็ไม่เอาใจใส่ พยายามทำความเพียรอย่างมุ่งมั่น | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 216) | ||
- | |||
- | แต่กระนั้น ก็ไม่สามารถจะทำคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นได้ เพราะปรารถความเพียรแรงกล้าเกินไป พระบรมศาสดาจึงได้เสด็จไป ณ ที่นั้น ทรงประทานพระพุทธโอวาทด้วยวีโณวาท คือโอวาทเปรียบด้วยพิณสามสาย ทรงแสดงวิธีปรับวีริยะให้สม่ำเสมอ ทรงสอบชำระพระกัมมัฏฐานแล้ว จึงเสด็จกลับยังภูเขาคิชฌกูฏ ฝ่ายพระเถระปรับวีริยะให้สม่ำเสมอ โดยนัยที่ทรงประทานแล้วเจริญวิปัสสนาให้ก้าวหน้าขึ้นไป ดำรงตนไว้ในพระอรหัตแล้ว ฉะนี้แล | ||
- | |||
- | การอธิบายความสม่ำเสมอกันแม้ในอินทรีย์ที่เหลือ คือ สติ, สมาธิ และปัญญา ก็พึงทราบเหมือนกันนี้ กล่าวคือ เมื่ออินทรีย์แต่ละประการมีกำลังมาก ก็จงทราบเถิดว่า อินทรีย์นอกนี้ไม่สม่ำเสมอกันในหน้าที่ของตน ๆ | ||
- | |||
- | '''ศรัทธากับปัญญาเสมอกัน | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ ในอินทรีย์ 5 นี้ เมื่อกล่าวโดยที่แปลกกันแล้ว ปราชญ์ทั้งหลายย่อมรับรองต้องกันว่า ศรัทธาเสมอกันกับปัญญา และสมาธิเสมอกันกับวีริยะ อธิบายว่า บุคคลผู้มีศรัทธามาก แต่มีปัญญาน้อย ย่อมเป็นคนมีความเลื่อมใสอย่างเซ่อ ๆ คือไม่เลื่อมใสอย่างแน่วแน่ ย่อมเลื่อมใสในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่อง บุคคลผู้มีปัญญามากแต่มีศรัทธาน้อย ย่อมแหกแนวไปสู่ทางฝ่ายเกเรโอ้อวด เป็นผู้มีอันใคร ๆ จะแก้ไขไม่ได้ เหมือนกับโรคที่เกิดขึ้นจากยาเอง ยากที่จะรักษาให้หายได้ แต่เพราะศรัทธากับปัญญาสม่ำเสมอกัน บุคคลย่อมเลื่อมใสถูกเรื่องเสมอ | ||
- | |||
- | '''สมาธิกับวีริยะเสมอกัน | ||
- | ''' | ||
- | ส่วนบุคคลผู้มีสมาธิมากแต่มีวีริยะน้อย ความเกียจคร้านย่อมครอบงำ เพราะสมาธิเป็นฝักฝ่ายของความเกียจคร้าน บุคคลผู้มีวีริยะมากแต่มีสมาธิน้อย อุทธัจจะความฟุ้งซ่านย่อมครอบงำ เพราะวีริยะเป็นฝักฝ่ายของอุทธัจจะ แต่สมาธิที่ประกอบเข้ากับวีริยะแล้วย่อมไม่ได้เพื่อตกไปในความเกียจคร้าน วีริยะที่ประกอบเข้ากับสมาธิแล้ว ก็ไม่ได้เพื่อตกไปในอุทธัจจะ เพราะฉะนั้น จึงจำต้องวีริยะกับสมาธิทั้งสองนั้นให้สม่ำเสมอกัน เพราะจะสำเร็จอัปปนาสมาธิได้ ด้วยวีริยะสมาธิทั้งสองสม่ำเสมอกัน | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 217) | ||
- | |||
- | '''การปรับอินทรีย์ให้เสมอกันอีกนัยหนึ่ง | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง สำหรับโยคีบุคคลผู้เจริญสมถกัมมัฏฐานนั้น แม้จะมีศรัทธาชนิดที่มีกำลังมาก ก็สมควร เพราะเมื่อศรัทธามีกำลังมากอย่างนี้ โยคีบุคคลเชื่อมั่นอยู่ มุ่งหมายอยู่ ก็จักได้บรรลุถึงซึ่งอัปปนาสมาธิ | ||
- | |||
- | แหละ ในสมาธิกับปัญญานั้น สมาธิมีกำลังมากย่อมสมควรสำหรับผู้ที่เจริญสมถกัมมัฏฐาน เพราะโยคีบุคคลผู้เจริญสมถกัมมัฏฐานนั้นจะบรรลุอัปปนาสมาธิได้ก็ด้วยสมาธิที่มีกำลังมากอย่างนี้ ปัญญาที่มีกำลังมากย่อมสมควรสำหรับผู้เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพราะโยคีบุคคลผู้เจริญวิปัสสนานั้น ย่อมจะบรรลุถึงซึ่งการแทงตลอดลักษณะของสังขารธรรม ก็ด้วยปัญญาที่มีกำลังมากนี้ แต่เพราะเหตุที่สมาธิกับปัญญาทั้งสองสมดุลย์กัน จึงจะสำเร็จอัปปนาสมาธินั่นเทียว | ||
- | |||
- | '''สติจำปรารถนาในอินทรีย์ทั้ง 5 | ||
- | ''' | ||
- | ส่วนสตินั้นมีกำลังมากในอินทรีย์ 5 ทุกประการยิ่งดี เพราะสติย่อมรักษา กุศลจิตให้พ้นจากการตกไปในอุทธัจจะ ด้วยอำนาจแห่งศรัทธา, วีริยะ และปัญญาอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความเกียจคร้าน เพราะเหตุนั้น สติจึงจำปรารถนาในอินทรีย์ 5 ทุกประการ เหมือนเกลือป่นจำปรารถนาในกับข้าวทุกชนิด และเหมือนอำมาตย์ผู้ชำนาญในกิจทั้งปวง จำปรารถนาในราชกิจทุกอย่างฉะนั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านอรรถกถาจารย์ จึงกล่าวไว้ว่า ก็แหละ สตินั้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จำปรารถนาในกิจทุกอย่าง เพราะเหตุไร ? เพราะจิตมีสติเป็นเครื่องเตือนให้ระลึก และสติมีการอารักขาเป็นอาการปรากฏ การยกจิตและการข่มจิต เว้นจากสติแล้ว หาเป็นไปได้ไม่ ฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''3. โดยฉลาดในนิมิต | ||
- | ''' | ||
- | ความฉลาดในนิมิตนั้น ได้แก่ความฉลาดในการทำนิมิตของสมาธิ เช่นปถวีกสิณ เป็นต้นซึ่งยังไม่ได้ทำขึ้นอย่างหนึ่ง ได้แก่ความฉลาดในการภาวนาซึ่งนิมิตที่ทำขึ้นแล้วอย่าง | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 218) | ||
- | |||
- | หนึ่ง ความฉลาดในนิมิตที่ประสงค์เอาในอัปปนาโกศลกถานี้ ได้แก่ความฉลาดในการรักษาซึ่งนิมิตที่ได้มาแล้วด้วยการภาวนานั้น | ||
- | |||
- | ====โพชฌงค์==== | ||
- | |||
- | |||
- | |||
- | '''4. โดยยกจิตในสมัยที่ควรยก | ||
- | ''' | ||
- | ถาม - ข้อว่า โยคีบุคคลย่อมยกจิตในสมัยที่ควรยกนั้น คือทำอย่างไร ? | ||
- | |||
- | ตอบ - กาลใด โยคีบุคคลนั้นมีจิตหดหู่ด้วยเหตุทั้งหลาย เช่น ความมีวีริยะย่อหย่อนมากเป็นต้น กาลนั้น อย่าเจริญสัมโพชฌงค์ 3 ประการ มีปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นต้น แต่พึงเจริญสัมโพชฌงค์ 3 ประการ มีธัมมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นต้น | ||
- | |||
- | '''วิธียกจิตด้วยสัมโพชฌงค์ 3 | ||
- | ''' | ||
- | ข้อนี้สมดังที่พระผู้มีพระภาคทรงเทศนาไว้ดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้ใคร่จะสุมไฟกองเล็ก ๆ ให้ลุกโพลงขึ้น เขาใส่หญ้าสดเข้าไปด้วย ใส่มูลโคสดเข้าไปด้วย มิหนำซ้ำพ่นลมปนน้ำลายใส่ด้วย โปรยขี้ฝุ่นใส่ด้วย ในกองไฟนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นควรหรือไม่เล่า เพื่อจะทำไฟกองเล็ก ๆ นั้นให้ลุกโพลงขึ้นได้ ? ข้อนั้นไม่ควรจะเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันเดียวกันนั่นเทียวแล สมัยใดจิตหดหู่ สมัยนั้นไม่ใช่กาล เพื่อเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่กาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่กาลเพื่อเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะจิตหดหู่อยู่แล้ว จิตที่หดหู่นั้นย่อมยากที่จะช่วยยกขึ้นได้ด้วยสมโพชฌงคธรรมเหล่านี้ | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่สมัยใดจิตหดหู่ สมัยนั้นเป็นการเพื่อเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญวีริยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่จิตหดหู่นั้น ย่อมง่ายที่จะช่วยยกขึ้นด้วยสัมโพชฌงคธรรมเหล่านี้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 219) | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้ใคร่จะสุมไฟกองเล็ก ๆ ให้ลุกโพลงขึ้นเขาจึงใส่หญ้าแห้งเข้าไปด้วย ใส่มูลโคแห้งเข้าไปด้วย ใส่ไม้แห้งเข้าไปด้วย ช่วยเป่าลมปากใส่ด้วย แต่ไม่โปรยขี้ฝุ่นลงใส่ในกองไฟนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นควรหรือไม่เล่า เพื่อที่จะทำไฟกองเล็ก ๆ นั้นให้ลุกโพลงขึ้นได้ ? ควรที่จะเป็นอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าข้า | ||
- | |||
- | '''อาหารปัจจัยของธัมมวิจยะเป็นต้น | ||
- | ''' | ||
- | แหละในอธิการนี้ นักศึกษาพึงทราบถึงวิธีการเจริญสัมโพชฌงค์ 3 ประการมี ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นต้นให้เกิดขึ้น ด้วยอำนาจอาหารปัจจัยของตน ๆ ต่อไป ดังนี้ – | ||
- | |||
- | '''อาหารปัจจัยของธัมมวิจยะ | ||
- | ''' | ||
- | ข้อนี้ สมดังที่พระผู้มีพระภาคทรงเทศนาไว้ว่า – | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและที่เป็นอกุศลมีอยู่ ธรรมทั้งหลายที่มีโทษและที่หาโทษมิได้มีอยู่ ธรรมทั้งหลายชั้นทรามและชั้นประณีตมีอยู่ ธรรมทั้งหลายที่มีส่วนเปรียบด้วยของดำและที่มีส่วนเปรียบด้วยของขาวมีอยู่ การหมั่นมนสิการโดยชอบในกุศลธรรมเป็นต้นเหล่านั้น นี้นับเป็นอาหารปัจจัยที่ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น หรือย่อมเป็นไปด้วยความภิญโญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ แห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว | ||
- | |||
- | '''อาหารปัจจัยของวีริยะ | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง ทรงเทศนาไว้ว่า – | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารัมภธาตุ, นิกกมธาตุ และปรักกมธาตุมีอยู่ การหมั่นมนสิการโดยชอบในอารัมภธาตุเป็นต้นเหล่านั้น นี้จัดเป็นอาหารปัจจัยที่ย่อมเป็นไปเพื่อทำ วีริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น หรือย่อมเป็นไปเพื่อความภิญโญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ แห่งวีริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 220) | ||
- | |||
- | '''อาหารปัจจัยของปีติ | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง ทรงเทศนาไว้ว่า – | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์มีอยู่ การหมั่นมนสิการโดยชอบในธรรมเหล่านั้น นี้นับเป็นอาหารปัจจัยที่เป็นไปเพื่อปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น หรือย่อมเป็นไปด้วยความภิญโญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ แห่งปีติสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว | ||
- | |||
- | '''อรรถาธิบายบาลี | ||
- | ''' | ||
- | ในบาลีนั้น มีอรรถาธิบายดังนี้ - มนสิการที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจการรู้ปรุโปร่งซึ่งลักษณะของสภาวธรรม และลักษณะที่เสมอกันของสังขารธรรม ชื่อว่า มนสิการโดยชอบในกุศลธรรมเป็นต้น | ||
- | |||
- | มนสิการที่เป็นไปด้วยอำนาจที่ทำให้อารัมภธาตุเป็นต้นเกิดขึ้น ชื่อว่า มนสิการโดยชอบ ในอารัมภธาตุเป็นต้น ในธาตุเหล่านั้น ความเพียรขั้นแรกเรียกว่า อารัมภธาตุ ความเพียรที่มีกำลังกว่าอารัมภธาตุนั้น เพราะออกพ้นจากความเกียจคร้านแล้ว เรียกว่า นิกกมธาตุ ความเพียรที่มีกำลังมากกว่านิกกมธาตุนั้นขึ้นไปอีก เพราะก้าวสู่ฐานะยิ่ง ๆ ขึ้นไป เรียกว่า ปรักกมธาตุ | ||
- | |||
- | แหละคำว่า ธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ นี้ เป็นชื่อของปีตินั่นเอง มนสิการที่ให้ปีติแม้นั้นเกิดขึ้นนั่นแล ชื่อว่า มนสิการโดยชอบ | ||
- | |||
- | '''ธรรม 7 ที่เป็นเหตุให้ธัมมวิจยะเกิด | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง ธรรม 7 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น คือ – | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 221) | ||
- | |||
- | 1. การสอบถาม | ||
- | |||
- | 2. การทำร่างกายและเครื่องใช้ให้สะอาด | ||
- | |||
- | 3. การปรับอินทรีย์ 5 ให้สู่ความสมดุลย์กัน | ||
- | |||
- | 4. การหลีกเว้นคนมีปัญญาทราม | ||
- | |||
- | 5. การสมาคมกับคนมีปัญญาดี | ||
- | |||
- | 6. การพิจารณาธรรมที่ต้องสอดส่องด้วยญานอันลึกซึ้ง และ | ||
- | |||
- | 7. การน้อมจิตไปในธัมมวิจยะนั้น | ||
- | |||
- | '''ธรรม 11 ที่เป็นเหตุให้วีริยะเกิด | ||
- | ''' | ||
- | ธรรม 11 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้วีริยะสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น คือ – | ||
- | |||
- | 1. การพิจารณาเห็นภัยมีทุกข์ในอบายเป็นต้น | ||
- | |||
- | 2. การเห็นอานิสงส์ของการบรรลุคุณวิเศษ ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระอันเนื่องด้วยความเพียร | ||
- | |||
- | 3. การพิจารณาเห็นวิถีทางดำเนินอย่างนี้ว่า เราจะต้องดำเนินไปตามทางที่พระพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระมหาสาวกทั้งหลายดำเนินไปแล้ว แหละทางนั้นคนเกียจคร้านไม่สามารถจะดำเนินไปได้ | ||
- | |||
- | 4. การเคารพในข้าวสุก ด้วยทำให้ทายกผู้บริจาคทั้งหลายเป็นผู้ได้ผลมาก | ||
- | |||
- | 5. การพิจารณาถึงความยิ่งใหญ่ของพระบรมศาสดาอย่างนี้ว่า พระบรมศาสดาของเราตรัสสรรเสริญคุณของคนปรารภความเพียร และพระองค์ทรงมีคำสอนอันใคร ๆจะละเมิดมิได้ พระองค์ทรงมีพระอุปการะมากแก่เรา ทรงเป็นผู้อันเราบูชาอยู่และจะบูชาต่อไปด้วยปฏิบัติบูชา มิใช่ด้วยอามิสบูชาประการอื่น | ||
- | |||
- | 6. การพิจารณาถึงความยิ่งใหญ่แห่งมรดกอย่างนี้ว่า มรดกอันยิ่งใหญ่ คือพระสัทธรรม เป็นสิ่งอันเราจะต้องรับไว้ และมรดกอันยิ่งใหญ่นั้น คนเกียจคร้านไม่สามารถจะรับไว้ได้ | ||
- | |||
- | 7. การบรรเทาถีนะและมิทธะด้วยการมนสิกาถึงอาโลกสัญญา การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ และการอยู่ในที่โล่งแจ้ง | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 222) | ||
- | |||
- | 8. การหลีกเว้นคนเกียจคร้าน | ||
- | |||
- | 9. การสมาคมกับคนปรารภความเพียร | ||
- | |||
- | 10. การพิจารณาถึงอานุภาพของความเพียรชอบ 4 ประการ และ | ||
- | |||
- | 11. การน้อมจิตไปในวีริยะนั้น | ||
- | |||
- | '''ธรรม 11 ที่เป็นเหตุให้ปีติเกิด | ||
- | ''' | ||
- | ธรรม 11 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้ปีติสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น คือ- | ||
- | |||
- | 1. พุทธานุสสติ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า | ||
- | |||
- | 2. ธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม | ||
- | |||
- | 3. สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณพระอริยสงฆ์ | ||
- | |||
- | 4. สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลที่บริสุทธิ์ของตน | ||
- | |||
- | 5. จาคานุสสติ ระลึกถึงการบริจาคทานที่ตนบริจาคแล้ว | ||
- | |||
- | 6. เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา | ||
- | |||
- | 7. อุปสมานุสสติ ระลึกถึงพระนิพพานอันเป็นที่ดับทุกข์ทั้งปวง | ||
- | |||
- | 8. การหลีกเว้นคนที่มีใจหยาบกระด้าง | ||
- | |||
- | 9. การสมาคมกับคนที่รักใคร่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเป็นต้น | ||
- | |||
- | 10. การพิจารณาพระสูตรอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส และ | ||
- | |||
- | 11. การน้อมจิตไปในปีตินั้น | ||
- | |||
- | เมื่อโยคีบุคคลยังธรรมเหล่านี้ให้เกิดขึ้นด้วยอาการทั้งหลายเหล่านี้ ชื่อว่า เจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นต้นให้เกิดขึ้น | ||
- | |||
- | โยคีบุคคลย่อมยกจิตในสมัยที่ควรยก ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''5. โดยข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม | ||
- | ''' | ||
- | ถาม - ข้อว่า โยคีบุคคลย่อมข่มจิตในสมัยที่ควรข่มนั้น คือทำอย่างไร ? | ||
- | |||
- | ตอบ - กาลใด โยคีบุคคลนั้น มีจิตฟุ้งซ่านด้วยเหตุทั้งหลาย มีการปรารภความเพียรเคร่งเครียดเกินไปเป็นต้น กาลนั้น อย่าเจริญสัมโพชฌงค์ 3 ประการ มีธัมมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นต้น แต่พึงเจริญสัมโพชฌงค์ 3 ประการ มีปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นต้น | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 223) | ||
- | |||
- | '''วิธีข่มจิตด้วยสัมโพชฌงค์ 3 | ||
- | ''' | ||
- | ข้อนี้ สมด้วยพระผู้มีพระภาคทรงเทศนาไว้ ซึ่งมีปรากฏในคัมภีร์สังยุตตนิกายมหาวารวรรค ดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้ใคร่จะดับไฟกองใหญ่ให้มอด เขาใส่หญ้าแห้งเข้าไปด้วย ใส่มูลโคแห้งเข้าไปด้วย ใส่ไม้แห้งเข้าไปด้วย ช่วยเป่าลมปากใส่ด้วย และไม่ได้โปรยขี้ฝุ่นใส่ ในกองไฟนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นเขาควรหรือไม่เล่า เพื่อที่จะทำกองไฟใหญ่นั้นให้ดับมอดลง ? ข้อนั้น ไม่ควรที่จะเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันเดียวกันนั่นเทียวแล สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้น ไม่ใช่กาลเพื่อเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่กาลเพื่อเจริญวีริยสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่กาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่จิตฟุ้งซ่านอยู่แล้ว จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ย่อมยากที่จะข่มให้สงบลงด้วยโพชฌงคธรรมเหล่านี้ | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่สมัยใดแล จิตย่อมฟุ้งซ่าน สมัยนั้น เป็นกาลเพื่อเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่จิตฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ย่อมง่ายที่จะข่มให้สงบลงด้วยโพชฌงคธรรมเหล่านี้ | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้ใคร่จะดับไฟกองใหญ่ให้มอด เขาใส่หญ้าสดเข้าไปด้วย ใส่มูลโคสดเข้าไปด้วย ใส่ไม้สดเข้าไปด้วย พ่นลมปนน้ำลายเข้าไปด้วย และโปรยขี้ฝุ่นเข้าใส่ด้วย ในกองไฟนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นเขาควรหรือไม่เล่า เพื่อที่จะยังไฟกองใหญ่นั้นให้ดับมอดลง ? ควรที่จะเป็นอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าข้า | ||
- | |||
- | '''อาหารปัจจัยของปัสสัทธิเป็นต้น | ||
- | ''' | ||
- | แม้ในอธิการนี้ นักศึกษาพึงทราบถึงวิธีการเจริญสัมโพชฌงค์ 3 ประการ มีปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นต้นให้เกิดขึ้น ด้วยอาหารปัจจัยของตน ๆ ต่อไป ดังนี้ – | ||
- | |||
- | '''อาหารปัจจัยของปัสสัทธิ | ||
- | ''' | ||
- | ข้อนี้ สมด้วยพระผู้มีพระภาคทรงเทศนาไว้ ซึ่งปรากฏในคัมภีร์สังยุตตนิกายมหาวารวรรค ดังนี้ – | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 224) | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายปัสสัทธิ ความสงบกาย จิตตปัสสัทธิ ความสงบจิตมีอยู่ การหมั่นมนสิการโดยชอบในปัสสัทธิทั้งสองนั้น นี้นับเป็นอาหารปัจจัยที่ย่อมเป็นไปเพื่อ ทำปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น หรือย่อมเป็นไปเพื่อความภิญโญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ แห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว | ||
- | |||
- | '''อาหารปัจจัยของสมาธิ | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง ทรงเทศนาอาหารปัจจัยของสมาธิไว้ว่า - | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมถนิมิต นิมิตคือความสงบ อัพยัคคนิมิต นิมิตคือความไม่ฟุ้งซ่าน มีอยู่ การหมั่นมนสิการโดยชอบในนิมิตทั้งสองนั้น นี้นับเป็นอาหารปัจจัยที่ย่อมเป็นไปเพื่อทำสมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น หรือย่อมเป็นไปเพื่อความภิญโญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ แห่งสมาธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว | ||
- | |||
- | '''อาหารปัจจัยของอุเบกขา | ||
- | ''' | ||
- | และอีกประการหนึ่ง ทรงเทศนาไว้ว่า – | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งของอุเบกขาสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การหมั่นมนสิการโดยชอบในธรรมเหล่านั้น นี้นับเป็นอาหารปัจจัย ที่ย่อมเป็นไปเพื่อทำอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น หรือย่อมเป็นไปเพื่อความภิญโญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ แห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว | ||
- | |||
- | '''อรรถาธิบายบาลี | ||
- | ''' | ||
- | ในบาลีนั้นมีอรรถาธิบายดังนี้ - ธรรมทั้ง 3 คือ ปัสสัทธิ, สมาธิ และอุเบกขา เคยเกิดขึ้นแก่โยคีบุคคลแล้วโดยอาการอย่างใด มนสิการที่เป็นไปด้วยอำนาจกำหนดเอาอาการนั้นแล้วทำให้ธรรมทั้ง 3 นั้นเกิดขึ้น ชื่อว่า การมนสิการโดยชอบแม้ในบทบาลีทั้ง 3 พากย์นั้น | ||
- | |||
- | คำว่า สมถนิมิต นี้ เป็นชื่อของสมถะนั่นเอง และคำว่า อัพยัคคนิมิต ก็เป็นชื่อของสมถะนั้นเหมือนกัน โดยมีความหมายว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ฉะนี้แล | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 225) | ||
- | |||
- | '''ธรรม 7 ที่เป็นเหตุให้ปัสสัทธิเกิด | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง ธรรม 7 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น คือ – | ||
- | |||
- | 1. การบริโภคอาหารอันประณีต | ||
- | |||
- | 2. การได้รับอากาศสบาย | ||
- | |||
- | 3. การใช้อิริยาบถที่สบาย | ||
- | |||
- | 4. การประกอบกิจแต่พอดีอย่างสม่ำเสมอ | ||
- | |||
- | 5. การหลีกเว้นคนที่มีกายกระวนกระวาย | ||
- | |||
- | 6. การสมาคมกับคนผู้ที่มีกายสงบ และ | ||
- | |||
- | 7. การน้อมจิตไปในปัสสัทธินั้น | ||
- | |||
- | '''ธรรม 11 ที่เป็นเหตุให้สมาธิเกิด | ||
- | ''' | ||
- | ธรรม 11 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้สมาธิสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น คือ – | ||
- | |||
- | 1. ร่างกายและเครื่องใช้สะอาด | ||
- | |||
- | 2. ความฉลาดในนิมิตกัมมัฏฐาน | ||
- | |||
- | 3. การปรับอินทรีย์ 5 ให้สู่ความสมดุลย์ | ||
- | |||
- | 4. การข่มจิตในสมัย | ||
- | |||
- | 5. การยกจิตในสมัย | ||
- | |||
- | 6. การพยุงจิตที่เบื่อหน่ายให้ร่าเริงด้วยอำนาจความเชื่อและความสลดใจ | ||
- | |||
- | 7. การวางเฉยต่อจิตที่เป็นไปโดยชอบแล้ว | ||
- | |||
- | 8. การหลีกเว้นคนผู้ไม่มีสมาธิ | ||
- | |||
- | 9. การสมาคมกับคนผู้มีสมาธิ | ||
- | |||
- | 10. การพิจารณาเฉพาะฌานและวิโมกข์ และ | ||
- | |||
- | 11. การน้อมจิตไปในสมาธินั้น | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 226) | ||
- | |||
- | '''ธรรม 5 ที่เป็นเหตุให้อุเบกขาเกิด | ||
- | ''' | ||
- | ธรรม 5 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น คือ – | ||
- | |||
- | 1. ความเป็นกลาง ๆ ในสัตว์บัญญัติ | ||
- | |||
- | 2. ความเป็นกลาง ๆ ในสังขารทั้งหลาย | ||
- | |||
- | 3. การหลีกเว้นคนผู้มีความสาละวนในสัตว์และสังขาร | ||
- | |||
- | 4. การสมาคมกับคนเป็นกลาง ๆ ในสัตว์และสังขาร และ | ||
- | |||
- | 5. การน้อมจิตไปในอุเบกขานั้น | ||
- | |||
- | โยคีบุคคลเมื่อยังธรรมเหล่านี้ให้เกิดขึ้นอยู่ ด้วยอาการทั้งหลายเหล่านี้ ชื่อว่า เจริญสัมโพชฌงค์ 3 ประการมีปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นต้นให้เกิดขึ้น ฉะนี้ | ||
- | |||
- | โยคีบุคคลย่อมข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''6. โดยพยุงจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง | ||
- | ''' | ||
- | ถาม - ข้อว่า โยคีบุคคลย่อมพยุงจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริงนั้น คือทำอย่างไร ? | ||
- | |||
- | ตอบ - กาลใด โยคีบุคคลนั้นมีจิตไม่เบิกบาน เพราะการขวนขวายในปัญญาย่อหย่อน หรือเพราะไม่ได้รับความสงบสุข กาลนั้น ย่อมพยุงจิตนั้นให้สลดสังเวช ด้วยการพิจารณาถึงสังเวควัตถุ 8 ประการ สังเวควัตถุ 8 ประการนั้น ได้แก่ ชาติ, ชรา, พยาธิ และมรณะเป็น 4, ทุกข์ในอบายที่เป็น 5, ทุกข์มีวัฏฏะเป็นมูลรากในอดีตเป็นที่ 6, ทุกข์มีวัฏฏะเป็นมูลรากในอนาคตเป็นที่ 7, ทุกข์มีการแสวงหาอาหารเป็นมูลรากในปัจจุบันเป็นที่ 8 และโยคีบุคคลย่อมพยุงจิตนั้นให้เกิดความเลื่อมใส ด้วยการระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ อีกสถานหนึ่งด้วย | ||
- | |||
- | โยคีบุคคลย่อมพยุงจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''7. โดยเพ่งดูจิตเฉยในสมัยที่ควรเพ่งดูเฉย | ||
- | ''' | ||
- | ถาม - โยคีบุคคลย่อมเพ่งดูจิตเฉยในสมัยที่ควรเพ่งดูเฉยนั้น คือทำอย่างไร ? | ||
- | |||
- | ตอบ - กาลใด เมื่อโยคีบุคคลปฏิบัติอยู่อย่างนี้ จิตของเธอย่อมไม่หดหู่ ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมแช่มชื่นเบิกบาน เป็นไปโดยสม่ำเสมอในอารมณ์ ดำเนินสู่วิถีแห่งสมถภาวนา | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 227) | ||
- | |||
- | กาลนั้น โยคีบุคคลย่อมไม่ขวนขวายในอันที่จะยกและข่มจิตและในอันที่จะพยุงจิตให้ร่าเริงเหมือนนายสารถีขับรถม้า ไม่ขวนขวายในม้าทั้งหลายที่วิ่งลากรถไปอย่างสม่ำเสมอกัน ฉะนั้น | ||
- | |||
- | โยคีบุคคลย่อมเพ่งดูจิตเฉยในสมัยที่ควรเพ่งดูเฉย ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''8. โดยหลีกเว้นบุคคลผู้ไม่มีสมาธิ | ||
- | ''' | ||
- | การหลีกเว้นเสียอย่างห่างไกล ซึ่งบุคคลทั้งหลายจำพวกที่ไม่เคยก้าวขึ้นสู่เนกขัมมปฏิปทา คือไม่เคยปฏิบัติปฏิปทาที่ให้ออกจากกาม มัวแต่วิ่งวุ่นอยู่ในกิจการเป็นอันมาก มีใจฟุ้งเฟ้อไปในกิจการนั้น ๆ ชื่อว่า หลีกเว้นคนผู้ไม่มีสมาธิ | ||
- | |||
- | '''9. โดยสมาคมกับบุคคลผู้มีสมาธิ | ||
- | ''' | ||
- | การเข้าไปคบหาสมาคมกับบุคคลทั้งหลาย จำพวกที่ปฏิบัติเนกขัมมปฏิปทา ได้สำเร็จสมาธิ โดยกาลอันควรตลอดกาล ชื่อว่า สมาคมกับบุคคลผู้มีสมาธิ | ||
- | |||
- | '''10. โดยน้อมจิตไปในสมาธินั้น | ||
- | ''' | ||
- | ความน้อมจิตไปในอันที่จะทำสมาธิให้บังเกิดขึ้น คือความหนักในสมาธิ ความน้อมไปในสมาธิ ความโน้มไปในสมาธิ ความทุ่มเทไปในสมาธิ ชื่อว่า น้อมจิตไปในสมาธินั้น | ||
- | |||
- | อันโยคีบุคคลพึงทำอัปปนาโกศลให้เกิดขึ้นโดยบริบูรณ์ ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อย่าทอดทิ้งความเพียร | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ เมื่อโยคีบุคคลทำอัปปนาโกศลนี้ให้บริบูรณ์ในปฏิภาคนิมิตที่ได้แล้ว โดยอาการอย่างนี้ อัปปนาสมาธิก็จะบังเกิดขึ้นแน่นอน แต่เมื่อได้ปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าอัปปนาสมาธินั้นยังไม่บังเกิดขึ้น แม้ถึงเช่นนั้น โยคีบุคคลผู้บัณฑิตก็อย่าได้ทอดทิ้งความเพียรเสีย จงพยายามให้หนักยิ่งขึ้น เพราะเมื่อลูกผู้ชายทอดทิ้งความเพียรชอบเสียแล้ว จะพึงได้บรรลุคุณวิเศษแม้แต่นิดหน่อยนั้น ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้เลย | ||
- | |||
- | '''ประคองจิตให้จดจ่อในปฏิภาคนิมิต | ||
- | ''' | ||
- | เพราะฉะนั้น โยคีบุคคลผู้บัณฑิต พึงคอยใคร่ครวญพิจารณาซึ่งพฤติการณ์ที่เป็นไปของจิต พยายามปรับปรุงวีริยะกับสมาธิให้มีหน้าที่สมดุลย์กันอยู่เสมอ ๆ พึงคอยยกจิต | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 228) | ||
- | |||
- | ที่ตกไปสู่ความหดหู่แม้เพียงเล็กน้อยขึ้นไว้ ป้องกันจิตที่เคร่งเครียดเกินไป ประคองจิตให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอสมดุลย์กันให้จงได้ | ||
- | |||
- | พฤติการณ์ที่เป็นไปในละอองดอกไม้, ในใบบัว, ในใยแมลงมุม, ในเรือ และในขวดน้ำมัน ของสัตว์ทั้งหลายมีแมลงผึ้งเป็นต้น ซึ่งท่านพรรณนาไว้ด้วยดีแล้วในอรรถกถาฉันใด โยคีบุคคลพึงพยายามปลดเปลื้องภาวนาจิตจากภาวะที่หดหู่และภาวะที่ฟุ้งซ่านโดยสิ้นเชิง แล้วประคองภาวนาจิตให้บ่ายหน้าจดจ่ออยู่ในปฏิภาคนิมิต ฉันนั้น | ||
- | |||
- | '''เปรียบด้วยพฤติการณ์แมลงผึ้งกับละอองดอกไม้ | ||
- | ''' | ||
- | ในคำอุปมาอุปไมยนั้น มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | เปรียบเหมือนแมลงผึ้งตัวไม่ฉลาด ครั้นรู้ว่าต้นไม้โน้นมีดอกบานแล้ว ก็รีบบินไปด้วยความเร็วอย่างมาก จึงบินเลยต้นไม้นั้นไปเสีย เมื่อบินวกกลับมาอีก กว่าจะมาถึงก็ต่อเมื่อละอองดอกไม้ร่วงโรยไปเสียแล้ว แมลงผึ้งที่ไม่ฉลาดอีกตัวหนึ่ง บินไปด้วยความเร็วน้อยมาก เมื่อละอองดอกไม้ร่วงโรยแล้วจึงบินไปถึง ส่วนแมลงผึ้งตัวที่ฉลาด บินไปด้วยความเร็วอย่างพอดี จึงบินไปถึงป่าดอกไม้อย่างสบาย พาเอาละอองดอกไม้พอแก่ความต้องการมาปรุงให้เป็นน้ำหวาน แล้วย่อมได้เสวยรสแห่งน้ำหวาน ฉันใด | ||
- | |||
- | '''เปรียบด้วยพฤติการณ์ศิษย์แพทย์ผ่าตัดกับใบบัว | ||
- | ''' | ||
- | อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนศิษย์ของแพทย์ผ่าตัดทั้งหลาย ที่กำลังศึกษาการผ่าตัดที่ใบบัวซึ่งอยู่ในถาดน้ำ ศิษย์คนหนึ่งซึ่งไม่ฉลาด จรดมีดลงโดยแรงย่อมจะตัดใบบัวขาดเป็นสองเสี่ยง หรือทะลุลงไปในน้ำเสีย อีกคนหนึ่งซึ่งไม่ฉลาดเหมือนกัน ไม่สามารถแม้เพื่อจะจรดมีดลงใบบัว เพราะเกรงใบบัวจะขาดและเกรงมีดจะทะลุลงไปในน้ำ ส่วนศิษย์ผู้ฉลาดแสดงการจรดมีดลงที่ใบบัวนั้นได้ ด้วยประโยชน์อันพอดี นับว่าเป็นผู้มีศิลปะอันขาวสะอาด ครั้นไปประกอบการงานในสถานที่เห็นปานนั้น ก็จะได้ลาภร่ำรวยต่อไป ฉันใด | ||
- | |||
- | '''เปรียบด้วยพฤติการณ์ของบุรุษกับใยแมงมุม | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนพระราชาทรงมีพระราชโองการสั่งว่า ผู้ใดสามารถเอาใยแมงมุมมาให้ได้ประมาณสัก 4 วา เขาจะได้รับรางวัล 4 พันกหาปณะ ฉะนี้ บุรุษผู้ไม่ฉลาดคนหนึ่ง รีบสาวเอาใยแมงมุมมาโดยเร็ว เลยทำให้ใยแมลงมุมขาดกระท่อน | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 229) | ||
- | |||
- | กระแท่นไปหมด อีกคนหนึ่งซึ่งไม่ฉลาดเหมือนกัน ไม่กล้าแม้ที่จะจับต้องใยแมงมุมด้วยมือเพราะเกรงมันจะขาด ส่วนบุรุษคนที่ฉลาด ค่อย ๆ เอาใยแมงมุมพันเข้าที่ท่อนไม้ด้วยประโยคอันสม่ำเสมอตั้งแต่ปลายสุดแล้วนำมาถวายได้ เขาย่อมได้รับพระราชทานรางวัล ฉันใด | ||
- | |||
- | '''เปรียบด้วยพฤติการณ์ของนายท้ายเรือกับเรือ | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนนายท้ายเรือผู้ไม่ฉลาด ในเวลาลมแรงจัด กางใบเสียจนเต็ม เขาย่อมพาเรือแล่นไปผิดที่หมาย นายท้ายเรืออีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่ฉลาดเหมือนกัน ในเวลาลมอ่อน ลดใบลงเสีย เขาย่อมทำเรือให้หยุดอยู่ ณ ที่ตรงนั้นเอง ส่วนนายท้ายเรือผู้ฉลาด ในเวลาลมอ่อน ก็กางใบให้เต็มใบ ในเวลาลมแรง ก็กางเพียงครึ่งใบ เขาย่อมไปถึงสถานที่ซึ่งตนปรารถนาโดยความสวัสดี ฉันใด | ||
- | |||
- | '''เปรียบด้วยพฤติการณ์ของศิษย์กับขวดน้ำมัน | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการณ์หนึ่ง เปรียบเหมือนเมื่ออาจารย์ของศิษย์ทั้งหลายประกาศว่า ผู้ใดสามารถกรอกน้ำมันให้เต็มขวดได้โดยไม่ให้หกทิ้งแล้ว จะได้รับรางวัล ฉะนี้ ศิษย์คนหนึ่งซึ่งไม่ฉลาดแต่โลภอยากได้รางวัล จึงรีบกรอกน้ำมันโดยเร็ว เลยทำให้น้ำมันหกทิ้งไป อีกคนหนึ่งซึ่งไม่ฉลาดเหมือนกัน ย่อมไม่กล้าแม้เพื่อจะกรอกน้ำมันใส่ขวด เพราะเกรงน้ำมันจะหกทิ้งเสีย ส่วนศิษย์ผู้ฉลาด ค่อย ๆ กรอกน้ำมันใส่ขวดด้วยประโยคอันสม่ำเสมอ โดยไม่หกเลย เขาย่อมได้รับรางวัล ฉันใด | ||
- | |||
- | '''พฤติการณ์ของภิกษุผู้เป็นอุปไมย | ||
- | ''' | ||
- | ฉันเดียวกันนั่นแหละ ภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นแล้ว ทำความเพียรอย่างเคร่งเครียดทีเดียว ด้วยหมายใจว่า เราจักบรรลุถึงซึ่งอัปปมาสมาธิโดยเร็วนั่นเทียว จิตของเธอย่อมจะตกไปในความฟุ้งซ่านเสีย เพราะเหตุที่ปรารภความเพียรเคร่งเครียดเกินไป เธอไม่สามารถที่จะบรรลุถึงซึ่งอัปปนาสมาธิได้ อีกรูปหนึ่ง มองเห็นโทษในความเป็นผู้มีความเพียรเคร่งเครียดเกินไป จึงได้ทอดทิ้งความเพียรเสียด้วยทอดธุระว่า บัดนี้เราจะธุระอะไรกับอัปปนาสมาธิ แต่นั้น จิตของเธอก็จะตกไปในความเกียจคร้านเสีย เพราะเหตุที่มีความเพียรย่อหย่อน แม้ภิกษุนั้นก็ไม่สามารถเพื่อจะบรรลุถึงซึ่งอัปปนาสมาธิเช่นกัน ส่วนภิกษุใดพยายาม | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 230) | ||
- | |||
- | ปลดเปลื้องภาวนาจิตที่หดหู่แม้เพียงเล็กน้อยออกจากภาวะที่หดหู่ ปลดเปลื้องภาวนาจิตที่ฟุ้งซ่านจากภาวะที่ฟุ้งซ่าน แล้วประคองให้ภาวนาจิตเป็นไปเฉพาะต่อปฏิภาคนิมิต ด้วยประโยคอันสม่ำเสมอ (คือไม่ให้เคร่งเครียดเกินไปและไม่ให้หย่อนยานเกินไป) ภิกษุนั้นย่อมจะได้บรรลุถึงซึ่งอัปปนาสมาธิอย่างแน่นอน อันโยคีบุคคลพึงปฏิบัติให้เป็นเช่นนั้นนั่นเทียว | ||
- | |||
- | ข้าพเจ้าหมายเอาอรรถาธิบายนี้ จึงกล่าวประพันธคาถาไว้ ซึ่งมีใจความว่า – | ||
- | |||
- | พฤติการณ์ที่เป็นไป ในละอองดอกไม้, ในใบบัว, ในใยแมงมุม, ในเรือ และในขวดน้ำมัน ของบุคคลทั้งหลาย มีแมลงผึ้งเป็นต้น ซึ่งท่านพรรณนาไว้ด้วยดีแล้วในอรรถกถา ฉันใด โยคีบุคคลพึงภาวนาปลดเปลื้องภาวนาจิตจากภาวะที่หดหู่ และภาวะที่ฟุ้งซ่าน โดยสิ้นเชิง แล้วประคองภาวนาจิตให้บ่ายหน้าเฉพาะจดจ่ออยู่ในปฏิภาคนิมิต ฉันนั้น ฉะนี้แล | ||
- | |||
- | ==ได้ปฐมฌาน== | ||
- | ===อธิบายสภาพของผู้ได้ฌานอย่างละเอียด=== | ||
- | |||
- | ก็แหละเมื่อโยคีบุคคลประคองภาวนาจิตให้บ่ายหน้าเฉพาะจดจ่อในปฏิภาคนิมิตอยู่ด้วยอาการอย่างนี้นั้น มโนทวาราวัชชนจิต ทำปถวีกสิณอันปรากฏอยู่ด้วยอำนาจภาวนาว่า ปถวี – ปถวี นั้นนั่นแหละให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นตัดภวังคจิต เหมือนจะเตือนให้รู้ว่า อัปปนาสมาธิจักสำเร็จเดี๋ยวนี้แล้ว ถัดจากนั้น ชวนจิตเล่นไปในอารมณ์นั้นนั่นแหละ 4 ขณะบ้าง 5 ขณะบ้าง ในชวนจิต 4 หรือ 5 ขณะนั้น ดวงหนึ่งในขณะสุดท้ายจัดเป็น รูปาวจรกุศลจิต (อัปปนาจิต) อีก 3 หรือ 4 ดวงที่เหลือข้างต้นคงเป็น กามาวจรกุศลจิต | ||
- | |||
- | ===อัปปนาชวนวิถีจิต=== | ||
- | |||
- | จิตเหล่าใดซึ่งมี วิตก, วิจาร, ปีติ, สุข, เอกัคคตา (จิตเตกัคคตา) มีกำลังมากกว่าจิตปกติ จิตเหล่านั้นเรียกว่า บริกรรม บ้าง เพราะเหตุปรุงแต่งอัปปนา เรียกว่า อุปจาระ บ้าง เพราะเหตุอยู่ใกล้หรือเฉียดไปใกล้อัปปนา เหมือนกับสถานที่ซึ่งอยู่ใกล้หมู่บ้านและใกล้นครเป็นต้น เขาเรียกกันว่า อุปจาระแห่งบ้านและอุปจาระแห่งนคร ฉะนั้น และเรียกว่า อนุโลม บ้าง เพราะเหตุสมควรแก่อัปปนา ตั้งแต่ในตอนก่อนแต่นี้และตอนหลังแห่งบริกรรมทั้งหลายมา แหละในกามวจรชวนจิตนั้น ดวงใดที่เกิดภายหลังเขาทั้งหมด | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 231) | ||
- | |||
- | กามวจรชวนจิตดวงนั้น (ดวงที่ 3 หรือที่ 4) เรียกว่า โคตรภู บ้าง เพราะเหตุทำลายกามโคตร และทำให้มหัคคตโคตรเกิดขึ้น | ||
- | |||
- | แต่เมื่อว่าโดยศัพท์ที่ท่านมิได้กำหนดเอาไว้แล้ว ในอัปปนาชวนวิถีจิต 5 ดวงนั้น ดวงที่ 1 เรียกว่า บริกรรม ดวงที่ 2 เรียกว่า อุปจาระ ดวงที่ 3 เรียกว่า อนุโลม ดวงที่ 4 เรียกว่า โคตรภู อีกนัยหนึ่ง ดวงที่ 1 เรียกว่า อุปจาระ ดวงที่ 2 เรียกว่า อนุโลม ดวงที่ 3 เรียกว่า โคตรภู ดวงที่ 4 หรือ 5 เรียกว่า อัปปนา | ||
- | |||
- | จริงอยู่ ชวนจิตดวงที่ 4 หรือดวงที่ 5 เท่านั้น ย่อมสำเร็จ เป็น อัปปนาจิต แหละชวนจิตดวงที่ 4 หรือที่ 5 นั้นเล่า ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งโยคีบุคคลผู้มีปัญญาไวและมีปัญญาช้า (คนมีปัญญาไว ชวนจิตมีเพียง 4 ขณะ ส่วนคนมีปัญญาช้ามีถึง 5 ขณะ) หลังจากชวนจิตดวงที่ 4 หรือที่ 5 นั้นไป ชวนจิตก็ตกภวังค์ จึงเป็นวาระของภวังค์จิตต่อไป | ||
- | |||
- | '''ท่านโคทัตตเถระค้าน | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ ท่านโคทัตตเถระผู้ชำนาญอภิธรรมกล่าวแย้งไว้ว่า ธรรมที่เกิดขึ้นหลัง ๆ ย่อมมีกำลังมาก เพราะเหตุได้อาเสวนปัจจัย เพราะฉะนั้น อัปปนาจิตจึงมีได้ในชวนะดวงที่ 6 บ้าง ดวงที่ 7 บ้าง เพราะท่านอ้างสูตรนี้ว่า ปุริมา ปุริมา กุสลา ธมฺมา ปจฺฉิมานํ ปจฺฉิมานํ กุสลานํ ธมฺมานํ อาเสวนปจฺจเยน ปจฺจโย ความว่า ธรรมทั้งหลาย ที่เป็นกุศลซึ่งเกิดขึ้นตอนก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยอุดหนุนแก่ธรรมทั้งหลาย ที่เป็นกุศลเกิดขึ้นตอนหลัง ๆ ด้วยอาเสวนปัจจัย | ||
- | |||
- | '''ท่านอรรถกถาจารย์รับรอง | ||
- | ''' | ||
- | คำคัดค้านของท่านโคทัตตเถระนั้น ท่านอรรถกถาจารย์ปฏิเสธว่า นั้นเป็นเพียงสักว่าอัตโนมติ แล้วได้แสดงรับรองว่า ก็อัปปนาจิตนั้นย่อมมี่ได้ในขณะชวนจิตที่ 4 หรือที่ 5 นั้นถูกแล้ว ภายหลังจากนั้น ชวนจิตนับว่าตกภวังค์ไปแล้ว เพราะอยู่ใกล้ต่อภวังค์มาก | ||
- | |||
- | คำของท่านอรรถกถาจารย์นั้น อันใคร ๆ ไม่กล้าที่จะคัดค้านได้เลย เพราะท่านได้แสดงไว้อย่างรอบคอบแล้ว เปรียบเหมือนบุรุษผู้วิ่งตรงไปยังเหวอันชันโดยเร็ว แม้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 232) | ||
- | |||
- | ประสงค์จะยั้งตัวไว้ ก็ไม่สามารถเพื่อจะยันเท้าที่ขอบเหวยั้งตัวไว้ได้ ย่อมจะตกไปในเหวเลยทีเดียว ฉันใด ชวนจิตก็ไม่อาจที่จะเป็นอัปปนาได้ ในชวนจิตดวงที่ 6 หรือดวงที่ 7 เพราะเหตุที่อยู่ใกล้ภวังค์ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น นักศึกษาพึงเข้าใจเถิดว่า อัปปนาจิตย่อมมีในชวนจิตดวงที่ 4 หรือดวงที่ 5 นั้นถูกต้องแล้ว | ||
- | |||
- | '''อัปปนาเกิดชั่วขณะจิตเดียว | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ อัปปนานั้นเกิดขึ้นชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น อธิบายว่า ใน 7 ฐานะ ย่อมไม่มีขีดขั้นกาลเวลา คือ ขณะอัปปนาจิตเกิดทีแรก 1 ขณะโลกิยอภิญญาทั้งหลาย 1 ขณะมรรคทั้งสี่ 1 ขณะผลเกิดต่อจากมรรค 1 ขณะภวังคฌานในรูปภพและอรูปภพ 1 ขณะเนวสัญญายตนฌานเป็นปัจจัยแก่นิโรธสมาบัติ 1 ขณะผลสมาบัติของท่านผู้ออกจากนิโรธ 1 | ||
- | |||
- | ในฐานะทั้ง 7 นั้น ขณะผลเกิดต่อจากมรรค ย่อมไม่มีเกินกว่า 3 ขณะจิต ขณะเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเป็นปัจจัยแก่นิโรธสมาบัติ ย่อมไม่มีเกิน 2 ขณะจิต ปริมาณมากน้อยของภวังคฌานในรูปภพและอรูปภพไม่มี ในฐานะที่เหลือ 4 ฐานะ มีเพียงขณะจิตเดียวเท่านั้น | ||
- | |||
- | ฉะนี้ อัปปนาจึงเกิดขึ้นชั่วขณะจิตเท่านั้น แต่นั้นก็ตกภวังค์ ครั้นแล้วอาวัชชนจิตตัดภวังค์เกิดขึ้นเพื่อพิจารณาฌาน แต่นั้นชวนจิตก็ทำหน้าที่พิจารณาฌานต่อไป | ||
- | |||
- | ===ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา=== | ||
- | ก็แหละ ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเพียงเท่านี้ เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | ||
- | |||
- | #สงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วแน่นอนจากอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงเข้าปฐมฌานมีวิตกวิจารมีปีติและสุขอันเกิดแต่ความสงัดอยู่ (องค์ฌาน 5) | ||
- | #ละองค์ 5 และประกอบด้วยองค์ 5 | ||
- | #มีความงาม 3 และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10 | ||
- | #ได้บรรลุปฐมฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์ | ||
- | |||
- | ====ส่วนที่ 1 องค์ฌาน 5 (ได้สงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย เป็นต้น)==== | ||
- | |||
- | ในคำบาลีอันแสดงถึงองค์สำหรับละของฌานนั้น มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 233) | ||
- | |||
- | คำว่า สงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย ได้แก่ เพราะพรากแล้ว เว้นแล้ว หลีกออกแล้ว จากกามทั้งหลาย ส่วน เอว อักษรในบทว่า วิวิจฺเจว นี้นั้น มีความหมายว่าเป็นการแน่นอน และเพราะเหตุที่ เอว อักษรมีความหมายว่าเป็นการแน่นอน ฉะนั้น เอว อักษรจึงประกาศถึงภาวะที่ปฐมฌานนั้นเป็นปฏิปักษ์แก่กามทั้งหลาย แม้ที่ไม่มีปรากฏอยู่ ในขณะที่เข้าอยู่ในปฐมฌานนั้นด้วย และประกาศถึงการได้บรรลุถึงปฐมฌานนั้น ด้วยการสละกามได้อย่างแน่นอนด้วย | ||
- | |||
- | ถาม - ข้อนี้มีอรรถาธิบายอย่างไร ? | ||
- | |||
- | ตอบ - อธิบายว่า เมื่อ เอว อักษรทำความแน่นอนให้ในคำว่า เพราะสงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย อย่างนี้ ปฐมฌานย่อมปรากฏชัด จริงทีเดียว กามทั้งหลายย่อมเป็นปฏิปักษ์แก่ฌาน เมื่อกามเหล่าใดมีอยู่ ฌานนี้ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เหมือนเมื่อความมืดมีอยู่แสงสว่างแห่งตะเกียงก็ชื่อว่ายังไม่เกิดขึ้น และการบรรลุถึงฌานนั้นจะมีได้ ก็ด้วยการละเสียได้ซึ่งกามเหล่านั้นอย่างแน่นอน เปรียบเหมือนการไปถึงฝั่งโน้นได้ด้วยการละซึ่งฝั่งนี้เสีย เพราะฉะนั้น เอว อักษรจึงชื่อว่า ทำความแน่นอนให้ ฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''เอว อักษรประกอบในสองบท | ||
- | ''' | ||
- | จะพึงมีคำถามขึ้นในเรื่อง เอว อักษรนั้นว่า - ก็แหละ ทำไม เอว อักษรนี้ ท่านจึงแสดงไว้แต่ในบทต้นบทเดียว ไม่แสดงไว้ในบทหลัง หรือว่า โยคีบุคคลนั้นแม้ไม่สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ก็จะพึงบรรลุฌานได้อยู่ ? | ||
- | |||
- | ขอวิสัชนาว่า - ก็แหละ การที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เอว อักษรไว้ในบทต้นนั้น ท่านเข้าใจอย่างนั้นหาถูกไม่ เพราะพระพุทธองค์ทรงแสดง เอว อักษรไว้ในบทต้นนั้นก็โดยที่ฌานเป็นเครื่องสลัดทิ้งซึ่งกามนั้นต่างหาก | ||
- | |||
- | จริงอยู่ ฌานนี้เป็นเครื่องสลัดทิ้งซึ่งกามทั้งหลายแน่นอน เพราะเป็นปฏิปทาเครื่องก้าวล่วงซึ่งกามธาตุด้วย เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อกามราคะด้วย สมกับที่ทรงแสดงไว้ว่า เนกขัมมะ คือฌานนี้นั้น เป็นเครื่องสลัดทิ้งซึ่งกามทั้งหลาย | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 234) | ||
- | |||
- | แต่อย่างไรก็ตาม แม้ในบทหลังก็ต้องยกเอา เอว อักษรมาแสดงประกอบไว้ด้วยเหมือนอย่างที่ท่านยกมาแสดงประกอบไว้ในคำนี้ว่า อิเธว ภิกฺขเว ปฐโม สมโณ, อิธทุติโย สมโณ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะที่ 1 มีในศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่ 2 ก็มีในศาสนานี้เท่านั้น ทั้งนี้ เพราะว่าใคร ๆ ก็ตาม ที่ยังไม่สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย กล่าวคือนิวรณ์แม้ข้ออื่น ๆ จากกามฉันทะแล้ว ก็ไม่สามารถเพื่อที่จะบรรลุถึงซึ่งฌานได้เลย เพราะเหตุนั้น เอว อักษรนี้ นักศึกษาพึงทราบว่าประกอบไว้ในบททั้งสองว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺเจว อกุสเลหิ ธมฺเมหิ ฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบาย วิวิจฺจ - สงัดแล้ว | ||
- | ''' | ||
- | อนึ่ง ด้วยคำว่า วิวิจฺจ ที่แปลว่าสงัดนี้แล้ว อันเป็นคำร่วมกันในทั้งสองบท ย่อมสงเคราะห์เอาวิเวกคือความสงัดแม้หมดทุกอย่าง คือ วิเวก 5 มีตทังควิเวกเป็นต้น และวิเวก 3 มีกายวิเวกเป็นต้น ก็จริง แต่กระนั้น ณ ที่นี้นักศึกษาพึงเข้าใจว่า หมายเอาเพียงวิเวก 3 อย่าง คือ กายวิเวก ความสงัดกาย 1 จิตตวิเวก ความสงัดใจ 1 วิกขัมภนวิเวก ความสงัดเพราะข่มกิเลสไว้ 1 | ||
- | |||
- | '''กาม หมายเอาวัตถุกามและกิเลสกาม | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละด้วยบทว่า กาเมหิ ที่แปลว่า จากกามทั้งหลายนี้ วัตถุกามเหล่าใดที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ในคัมภีร์มหานิทเทสโดยนัยมีอาทิว่า วัตถุกามทั้งหลายเป็นไฉน ? วัตถุกามทั้งหลาย คือ รูปทั้งหลายอันเป็นที่รักเป็นที่เจริญใจ………. และกิเลสกามเหล่าใดที่ทรงแสดงไว้ในคัมภีร์มหานิทเทสนั่นแหละ และในคัมภีร์ฌานวิภังค์โดยนัยอย่างนี้ว่า ฉันทะความพอใจ ชื่อว่ากาม ราคะ ความกำหนัด ชื่อว่ากาม ฉันทราคะ ความกำหนัดด้วยความพอใจ ชื่อว่ากาม สังกัปปะ ความดำริ ชื่อว่ากาม ราคะ ความกำหนัด ชื่อว่ากามสังกัปปราคะ ความกำหนัดด้วยความดำริ ชื่อว่ากาม อกุศลธรรมเหล่านี้ เรียกว่ากาม | ||
- | |||
- | นักศึกษาพึงเข้าใจว่า ท่านสงเคราะห์เอาวัตถุกามและกิเลสกามเหล่านั้นแม้ทั้งหมดด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 235) | ||
- | |||
- | '''วิเวก 2 อย่าง | ||
- | ''' | ||
- | แหละเมื่อสงเคราะห์เอากามทั้ง 2 อย่างเช่นนี้ คำว่า สงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย ก็เป็นอันหมายความว่า สงัดแล้วแน่นอนจากวัตถุกามทั้งหลายแต่อย่างเดียวหาได้หมายเอาว่า สงัดแล้วแน่นอนจากกิเลสกามทั้งหลายไม่ และด้วยความสงัดจากวัตถุกามนั้น เป็นอันท่านแสดงถึง กายวิเวก คือความสงัดกาย คำว่า สงัดแล้วแน่นอนจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ก็เป็นอันหมายความว่า สงัดแล้วแน่นอนจากกิเลสทั้งหลาย หรือจากอกุศลธรรมทั้งปวง และด้วยความสงัดจากกิเลสกามนั้น เป็นอันท่านแสดงถึง จิตตวิเวก คือความสงัดจิต | ||
- | |||
- | '''อธิบายวิเวก 2 อย่าง | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ ในวิเวกทั้ง 2 นั้น ด้วยบทที่ 1 เป็นอันท่านประกาศถึงความสละซึ่ง กามสุข เพราะคำว่าสงัดจากวัตถุกามทั้งหลายนั้นเอง ด้วยบทที่ 2 เป็นอันท่านประกาศถึงการถือเอาซึ่ง เนกขัมมสุข สุขเพราะออกจากกาม เพราะคำว่าสงัดจากกิเลสกามทั้งหลายนั่นเอง อนึ่ง ในบททั้ง 2 นั้น ด้วยบทที่ 1 ท่านประกาศถึงการประหานซึ่งวัตถุแห่งสังกิเลส ด้วยบทที่ 2 ท่านประกาศถึงการประหานซึ่งตัวสังกิเลสมีตัณหาเป็นต้น เพราะคำว่าสงัดจากวัตถุกามและกิเลสกามนั่นเอง อนึ่ง ด้วยบทที่ 1 ท่านประกาศถึงการสละซึ่งเหตุแห่งการโลเล ด้วยบทที่ 2 ท่านประกาศถึงการสละซึ่งเหตุแห่งความเป็นพาล อนึ่ง ด้วยบทที่ 1 ท่านประกาศถึงความบริสุทธิ์แห่งประโยคคือการกระทำ ด้วยบทที่ 2 ท่านประกาศถึงการชำระอัชฌาสัยให้บริสุทธิ์ นักศึกษาพึงทราบอรรถาธิบายดังแสดงมา ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบายกิเลสกาม | ||
- | ''' | ||
- | ส่วนในฝ่ายกิเลสกามนั้น กามฉันทะซึ่งมีประเภทเป็นอันมาก เช่น ฉันทะ และ ราคะ เป็นต้นนั่นเทียว ท่านประสงค์เอาว่า กาม แหละกามนั้น แม้ถึงจะนับเนื่องอยู่ในอกุศลธรรมแล้วก็ตาม แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแยกไว้ต่างหากโดยความเป็นปฏิปักษ์แก่ฌาน ดังในคัมภีร์ฌานวิภังค์โดยนัยมีอาทิว่า ในบรรดาอกุศลธรรมเหล่านั้น กามเป็นไฉน ? ฉันทะชื่อว่ากาม | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 236) | ||
- | |||
- | อีกประการหนึ่ง ในบทต้น ท่านแสดงกามไว้โดยความเป็นกิเลสกาม ในบทที่ 2 ท่านแสดงไว้ด้วยเป็นสภาพที่นับเนื่องอยู่ในอกุศลธรรม แหละเพราะกามนั้นมีประเภทเป็นอันมาก ท่านจึงไม่แสดงเป็นเอกพจน์ว่า กามโต จากกาม แต่แสดงเป็นพหูพจน์ว่า กาเมหิ จากกามทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''องค์ฌาน 5 เป็นปฏิปักษ์แก่นิวรณ์ 5 | ||
- | ''' | ||
- | แหละถึงแม้ว่าธรรมทั้งหลายอื่น ๆ เช่นทิฏฐิมานะเป็นต้น มีภาวะเป็นอกุศลมีอยู่แต่ในคัมภีร์ฌานวิภังค์ พระผู้มีพระภาคตรัสเอาเฉพาะนิวรณ์ทั้งหลายเท่านั้น โดยที่ทรงแสดงถึงภาวะที่เป็นปฏิปักษ์แก่องค์ฌานทั้งหลายต่อ ๆ ไป โดยนัยมีอาทิว่า ในบรรดาธรรมเหล่านั้น อกุศลธรรมเป็นไฉน ? อกุศลธรรมได้แก่กามฉันทะ….. | ||
- | |||
- | จริงอยู่ นิวรณ์ทั้งหลายเป็นข้าศึกแห่งองค์ฌาน องค์ฌานทั้งหลายนั้นเล่าก็เป็น ปฏิปักษ์แก่นิวรณ์เหล่านั้น คือเป็นเครื่องกำจัด เป็นเครื่องทำลายนิวรณ์เหล่านั้น | ||
- | |||
- | เป็นความจริงเช่นนั้น ท่านพระมหากัจจายนะแสดงไว้ในคัมภีร์เปฏกะ ว่า – | ||
- | |||
- | 1. สมาธิ เป็นปฏิปักษ์แก่ กามฉันทะ | ||
- | |||
- | 2. ปีติ เป็นปฏิปักษ์แก่ พยาปาทะ | ||
- | |||
- | 3. วิตก เป็นปฏิปักษ์แก่ ถีนมิทธะ | ||
- | |||
- | 4. สุข เป็นปฏิปักษ์แก่ อุทธัจจะกุกกุจจะ และ | ||
- | |||
- | 5. วิจาร เป็นปฏิปักษ์แก่ วิจิกิจฉา | ||
- | |||
- | '''บททั้ง 2 เป็นเครื่องข่มกิเลสต่างกัน | ||
- | ''' | ||
- | ด้วยประการฉะนี้ ในบททั้ง 2 นั้น ด้วยบทว่า สงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย นี้ พระพุทธองค์ทรงประสงค์เอาความสงัดเพราะข่มซึ่งกามฉันทนิวรณ์ ด้วยบทว่า สงัดแล้วแน่นอนจากอกุศลธรรมทั้งหลาย นี้ ทรงประสงค์เอาความสงัดเพราะข่มนิวรณ์ทั้ง 5 ประการ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 237) | ||
- | |||
- | แต่เมื่อว่าโดยศัพท์ที่ท่านมิได้กำหนดไว้แล้ว นักศึกษาพึงเข้าใจความหมายดังนี้- | ||
- | |||
- | ด้วยบทที่ 1 ทรงหมายเอาความสงัดเพราะข่มกามฉันทนิวรณ์ ด้วยบทที่ 2 ทรงหมายเอาความสงัดเพราะข่มนิวรณ์ทั้งหลายที่เหลือ | ||
- | |||
- | ในอกุศลมูล 3 ก็เหมือนกันคือ ด้วยบทที่ 1 ทรงหมายเอาความสงัดเพราะข่มโลภะอันมีกามคุณ 5 ต่างชนิดเป็นอารมณ์ ด้วยบทที่ 2 ทรงหมายเอาความสงัดเพราะข่มโทสะและโมหะอันมีอาฆาตวัตถุต่างชนิดเป็นต้นเป็นอารมณ์ | ||
- | |||
- | อีกประการหนึ่ง ในบรรดาอกุศลธรรมทั้งหลายมีโอฆะเป็นต้น ด้วยบทที่ 1 ทรงหมายเอาความสงัดเพราะข่มกามโอฆะ, กามโยคะ, กามาสวะ, กามุปาทานะ, อภิชฌากายคันถะ และกามราคสังโยชน์ ด้วยบทที่ 2 ทรงหมายเอาความสงัดเพราะข่มโอฆะ, โยคะ, อาสวะ, อุปาทานะ, คันถะ, และสังโยชน์ข้อที่เหลือ | ||
- | |||
- | อีกอย่างหนึ่ง ด้วยบทที่ 1 ทรงหมายเอาความสงัดเพราะข่มตัณหาและธรรมทั้งหลายที่ประกอบกับตัณหานั้น ด้วยบทที่ 2 ทรงหมายเอาความสงัดเพราะข่มอวิชชา และธรรมทั้งหลายที่ประกอบกับอวิชชานั้น | ||
- | |||
- | อีกประการหนึ่ง ด้วยบทที่ 1 ทรงหมายเอาความสงัดเพราะข่มอกุศลจิตตุปบาท 8 ดวง ซึ่งประกอบด้วยโลภะ (โลภมูลจิต 8 ดวง) ด้วยบทที่ 2 ทรงหมายเอาความสงัดเพราะข่มอกุศลจิตตุปบาท 4 ดวงที่เหลือ (คือโทสมูลจิต 2 โมหมูลจิต 2) | ||
- | |||
- | อรรถาธิบายความในคำว่า สงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วแน่นอนจากอกุศลธรรมทั้งหลาย นี้ ยุติเพียงเท่านี้ | ||
- | |||
- | =====องค์ฌาน 5===== | ||
- | |||
- | ก็แหละ ครั้นข้าพเจ้าได้แสดงองค์สำหรับละของปฐมฌาน ด้วยอรรถาธิบายเพียงเท่านี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะแสดงองค์ที่ประกอบของปฐมฌานนั้น ข้าพเจ้าจะอรรถาธิบายคำว่า มีวิตกมีวิจาร เป็นต้นต่อไป – | ||
- | |||
- | '''อธิบายวิตก | ||
- | ''' | ||
- | ในวิตกและวิจาร 2 อย่างนั้น ความนึกถึงอารมณ์ ชื่อว่า วิตก ได้แก่ความกำหนดเอาอารมณ์ วิตกนี้นั้น มีอันยกจิตขึ้นไว้ในอารมณ์เป็นลักษณะ มีอันตะล่อมอารมณ์ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 238) | ||
- | |||
- | ไว้ตะล่อมอารมณ์ไว้โดยรอบเป็นกิจ จริงอย่างนั้น เพราะวิตกนั้นท่านจึงกล่าวไว้ว่า โยคาวจรบุคคลย่อมทำอารมณ์กัมมัฏฐานให้เป็นอันวิตกตะล่อมไว้แล้วให้เป็นอันวิตกตะล่อมไว้โดยรอบแล้วฉะนี้ แหละวิตกนั้นมีอันรั้งจิตเข้าไว้ในอารมณ์เป็นอาการปรากฏ | ||
- | |||
- | '''อธิบายวิจาร | ||
- | ''' | ||
- | การพิจารณาอารมณ์ เรียกว่า วิจาร ได้แก่การไตร่ตรองดูอารมณ์ วิจารนี้นั้น มีอันพิจารณาอารมณ์เป็นลักษณะ มีอันประกอบสหชาตธรรมไว้ในอารมณ์นั้นเป็นกิจ มีอันตามผูกพันจิตไว้ในอารมณ์เป็นอาการปรากฏ | ||
- | |||
- | '''วิตกหยาบและเกิดก่อนวิจาร | ||
- | ''' | ||
- | ถึงแม้ว่า ในจิตบางดวงคือในปฐมฌานจิตและกามาวจรจิตตุปบาท วิตก และ วิจาร นั้นจะไม่มีการแยกกันก็ตาม แต่กระนั้น วิตกก็ทำหน้าที่ยกจิตขึ้นไว้ในอารมณ์ก่อน ด้วยความหมายว่าเป็นสิ่งที่หยาบกว่าวิจาร และเกิดก่อนวิจาร เปรียบเหมือนเสียงเคาะระฆัง ซึ่งหยาบกว่าเสียงครางแห่งระฆัง และเกิดก่อนเสียงครางนั้น | ||
- | |||
- | '''เปรียบวิตกวิจารเหมือนอาการบินของนกและแมลงภู่ | ||
- | ''' | ||
- | อนึ่ง ในวิตกและวิจารนั้น วิตก ยังมีความไหวอยู่ คือทำให้จิตไหว ๆ ในเวลาเกิดขึ้นครั้งแรก เปรียบเหมือนการโบกปีกของนกขนาดใหญ่ที่เตรียมจะบินไปในอากาศ และเหมือนการบินมุ่งหน้าไปหาดอกปทุมของแมลงภู่ ซึ่งมีจิตติดพันในกลิ่นดอกไม้ ส่วน วิจาร มีพฤติการณ์สงบ คือมีภาวะไม่ทำจิตให้ไหวมาก เปรียบเหมือนการกางปีกของนกที่บินขึ้นไปอยู่บนอากาศแล้ว และเหมือนการเคล้าคลึงอยู่ที่ดอกปทุมของแมลงภู่ที่บินไปถึงดอกปทุมแล้ว | ||
- | |||
- | ส่วนในอรรถกถาทุกนิบาตอังคุตตรนิกาย ท่านแสดงไว้ว่า วิตก เป็นไปโดยภาวะที่ยกจิตขึ้นไว้ในอารมณ์ เปรียบเหมือนนกชนิดใหญ่ เมื่อบินอยู่บนอากาศมันกวักปีกทั้งสองเอาลม แล้วกางปีกไว้เฉยบินไป วิจาร เป็นไปตามภาวะที่ตามพิจารณาอารมณ์ เหมือนการบินของนกที่กระดิกปีกทั้งสองเพื่อให้กินลม ฉะนี้ คำของท่านอรรถกถาจารย์นั้นถูกต้อง ในขณะที่วิตกวิจารเป็นไปโดยต่อเนื่องกันในอุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิ ส่วนวามต่างกันของวิตกและวิจารนั้น ย่อมปรากฏชัดในปฐมฌานและทุติยฌานในปัญจกนัยแล้ว | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 239) | ||
- | |||
- | '''เปรียบวิตกวิจารเหมือนคนขัดภาชนะ | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง เมื่อบุคคลจะขัดภาชนะสัมฤทธิ์ที่สนิมจับ เอามือข้างหนึ่งจับภาชนะไว้อย่างแน่น แล้วเอามืออีกข้างหนึ่งขัดด้วยแปรงขนสัตว์ที่ชุบด้วยน้ำมันปนผง วิตก เปรียบเหมือนมือที่จับภาชนะไว้อย่างแน่น วิจาร เปรียบเหมือนมือที่ขัดภาชนะ | ||
- | |||
- | '''เปรียบวิตกวิจารเหมือนช่างตีหม้อ | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง เมื่อช่างหม้อทำหม้อ ใช้เครื่องจักช่วยหมุนไม้ตีหม้อ วิตก เปรียบเหมือนมือที่กุมบีบก้อนดินไว้ วิจาร เปรียบเหมือนมือที่คอยลูบคลำข้างโน้นข้างนี้ | ||
- | |||
- | '''เปรียบวิตกวิจารเหมือนเหล็กวงเวียน | ||
- | ''' | ||
- | อีกอย่างหนึ่ง เมื่อบุคคลทำลายวงกลมที่ภาชนะสัมฤทธิ์เป็นต้น วิตก ซึ่งยกจิตขึ้นไว้ในอารมณ์ เปรียบเหมือนเหล็กแหลมที่ใช้ปักติดไว้ตรงใจกลาง วิจาร ซึ่งตามพิจารณาอารมณ์ เปรียบเหมือนเหล็กแหลมที่หมุนไปรอบ ๆ ข้างนอก | ||
- | |||
- | '''ปฐมฌานมีวิตกวิจาร | ||
- | ''' | ||
- | ฌานย่อมเกิดร่วมกับวิตกนี้ด้วย เกิดร่วมกับวิจารนี้ด้วย เปรียบเหมือนต้นไม้เกิดพร้อมกับดอกและผล ดังนั้น ท่านจึงเรียกฌานนี้ว่า มีวิตกมีวิจาร ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | ส่วนในคัมภีร์วิภังค์ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นปุคคลาธิษฐานโดยนัยมีอาทิว่า ฌานลาภีบุคคล เป็นผู้เข้าถึงแล้ว เข้าถึงพร้อมแล้ว ด้วยวิตกนี้ และด้วยวิจารนี้ ฉะนี้ แต่อรรถาธิบายแม้ในวิภังค์นั้น นักศึกษาก็พึงทราบอย่างที่อธิบายมาแล้วนี้นั่นแล | ||
- | |||
- | '''อธิบาย เกิดแต่ความสงัด | ||
- | ''' | ||
- | ในคำว่า เกิดแต่ความสงัด นี้ มีอรรถาธิบายว่า - ความสงบเงียบชื่อว่า ความสงัด หมายความว่า การปราศจากนิวรณ์ อีกอย่างหนึ่ง สภาวธรรมที่สงบ ชื่อว่า ธรรมอันสงัด หมายเอากองธรรมที่ประกอบกับฌานซึ่งสงบจากนิวรณ์ เพราะฉะนั้น ปีติและสุขที่เกิดแต่ความสงัดนั้น หรือที่เกิดในธรรมอันสงัดนั้น ชื่อว่า วิเวกชํ แปลว่า เกิดแต่ความสงัด หรือเกิดในธรรมอันสงัด ก็ได้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 240) | ||
- | |||
- | =====ปีติ 5===== | ||
- | |||
- | ในคำว่า ปีติและสุข นี้ มีอรรถาธิบายว่า - ธรรมชาติใดที่ทำให้เอิบอิ่ม ธรรมชาตินั้นชื่อว่า ปีติ ปีตินั้นมีความเอิบอิ่มเป็นลักษณะ มีอันทำกายและใจให้เอิบอิ่มเป็นกิจ หรือมีอันแผ่ซ่านไปในกายและกายเป็นกิจก็ได้ มีอันทำกายและใจให้ฟูขึ้นเป็นอาการปรากฏ | ||
- | |||
- | ก็แหละ ปีตินี้นั้น มี 5 อย่าง คือ | ||
- | |||
- | 1. ขุททกาปีติ ปีติทำให้ขนชูชันเล็กน้อย | ||
- | |||
- | 2. ขณิกาปีติ ปีติที่เกิดขึ้นชั่วขณะ ๆ เหมือนฟ้าแลบ | ||
- | |||
- | 3. โอกกันติกาปีติ ปีติที่กระทบกาย เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง | ||
- | |||
- | 4. อุพเพงคาปีติ ปีติโลดโผน ทำให้ตัวลอยขึ้นได้ | ||
- | |||
- | 5. ผรณาปีติ ปีติที่ซาบซ่าน แผ่ไปทั่วร่างกาย | ||
- | |||
- | '''อธิบายปีติ 5 | ||
- | ''' | ||
- | ในปีติ 5 อย่างนั้น มีอรรถาธิบายดังนี้ – | ||
- | |||
- | 1. ขุททกาปีติ เพียงแต่ทำให้ขนในกายลุกชูชันเบา ๆ แล้วก็หายไปไม่เกิดขึ้นอีก | ||
- | |||
- | 2. ขณิกาปีติ ย่อมเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ๆ หลาย ๆครั้ง เปรียบเหมือนฟ้าแลบแปลบปลาบ | ||
- | |||
- | 3. โอกกันติกาปีติ เกิดขึ้นกระทบกายแล้วหายไป กระทบกายแล้วก็หาย ไปเหมือนลูกคลื่นกระทบฝั่งมหาสมุทร | ||
- | |||
- | 4. อุพเพงคาปีติ มีกำลังมาก ทำกายให้ลอยขึ้นได้ ถึงขนาดทำให้ลอยไปบนอากาศก็ได้ | ||
- | |||
- | '''เรื่องท่านมหาติสสเถระ | ||
- | ''' | ||
- | เป็นความจริงอย่างนั้น ท่านมหาติสสเถระที่อยู่ ณ วัดปุณณวัลลิกวิหาร เวลาเย็นแห่งวันเพ็ญวันหนึ่ง ท่านได้ไปยังลานพระเจดีย์ เห็นแสงเดือน จึงหันหน้าสู่พระมหาเจดีย์ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 241) | ||
- | |||
- | พลางคิดว่า "เออหนอ ป่านนี้พวกพุทธบริษัททั้ง 4 คงกำลังพากันไหว้พระมหาเจดีย์อยู่" ดังนี้แล้วได้ทำอุพเพงคาปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ให้เกิดขึ้น ด้วยอำนาจอารมณ์ที่ตนได้เห็นมาตามปกติ ท่านได้ลอยขึ้นบนอากาศไปตกลงที่ลานพระมหาเจดีย์นั่นแล มีอาการเหมือนลูกฟุตบอลอันวิจิตรงดงามตกลงที่พื้นปูนขาว ฉะนั้น | ||
- | |||
- | '''เรื่องกุลธิดาคนหนึ่ง | ||
- | ''' | ||
- | แม้กุลธิดาคนหนึ่ง อยู่ที่บ้านวัตตกาลกคาม ใกล้ ๆ กับวัดคิริกัณฑกวิหาร ก็ได้ลอยไปบนอากาศด้วยอุพเพงคาปีติอันมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อย่างแรงเหมือนกัน | ||
- | |||
- | ได้ยินว่า มารดาบิดาของนางกุลธิดานั้น เมื่อจะไปฟังธรรมที่วัดในเวลาเย็นวันหนึ่ง ได้สั่งเธอว่า "หนู ! เจ้ามีภาระธุระมากจึงไม่อาจที่จะไปในเวลาที่มิใช่กาล แม่และพ่อจักฟังธรรม แบ่งส่วนบุญให้แก่หนูด้วย" ครั้นแล้วก็ได้ออกเดินทางไป | ||
- | |||
- | ฝ่ายนางกุลธิดาแม้ถึงปรารถนาจะไปแทบใจจะขาด แต่ก็ไม่อาจขัดขืนคำสั่งของ มารดาบิดา จึงค้างแขวนอยู่ที่บ้าน เธอไปยืนอยู่ที่เนินบ้าน มองเห็นองค์พระเจดีย์ซึ่งสร้างไว้ที่กลางแจ้ง ณ วัดคิริกัณฑกวิหารด้วยแสงเดือน ได้เห็นแสงไฟบูชาพระเจดีย์และหมู่พุทธบริษัททั้ง 4 กำลังเดินปทักษิณทำการบูชาพระเจดีย์ด้วยดอกไม้และของหอมเป็นต้น และได้ยินเสียงสวดสาธยายของหมู่พระภิกษุสงฆ์ | ||
- | |||
- | ขณะนั้น นางจึงรำพึงอยู่ว่า "ชนเหล่าใด มีโอกาสได้ไปวัดแล้วเดินเวียนไปบนลานพระเจดีย์เห็นปานนี้ และได้ฟังธรรมกถาอันไพเราะเห็นปานนี้ ชนเหล่านั้น ช่างมีบุญจริงหนอ" ฉะนี้แล้ว อุพเพงคาปีติได้เกิดขึ้นแก่นาง ขณะที่นางเห็นองค์พระเจดีย์เหมือนดังกองแก้วมุกดานั่นแล เธอได้ลอยขึ้นไปบนอากาศ ไปลงจากอากาศที่ลานพระเจดีย์ก่อนกว่ามารดาบิดาเสียอีก ไหว้พระเจดีย์แล้วได้ยืนฟังธรรมอยู่ ภายหลังมารดาบิดามาถึงแล้วจึงถามนางว่า "แม่หนู เจ้ามาทางไหน ?" นางตอบว่า "หนูมาโดยทางอากาศ มิได้มาโดยทางเท้าค่ะ" เมื่อมารดาบิดาติงว่า "แม่หนู พระอรหันตขีณาสพต่างหาก จึงจะสัญจรไปโดยทางอากาศได้นี่หนูมาได้อย่างไร ?" เธอจึงตอบชี้แจงว่า "ขณะที่หนูยืนแลดูพระเจดีย์ด้วยแสงเดือนหงายอยู่นั้น ปีติอันมีกำลังแรงซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ได้เกิดแก่หนู เมื่อเป็นเช่นนี้ หนูก็มิได้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 242) | ||
- | |||
- | ทราบถึงภาวะที่ตนยืนอยู่ มิได้ทราบถึงภาวะที่ตนนั่งอยู่ แต่แล้วได้ลอยขึ้นไปบนอากาศมาตกลงที่ลานพระเจดีย์นี้ ด้วยนิมิตที่หนูยึดเอานั่นเอง ฉะนี้แล" | ||
- | |||
- | อุพเพงคาปีติ ย่อมมีกำลังมาก ขนาดที่ทำให้ลอยไปบนอากาศได้ ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | 5. ส่วนผรณาปีติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายสิ้นเชิง มีลักษณะ | ||
- | |||
- | เหมือนกระเพาะน้ำเบาที่เต็ม และท้องภูเขาที่กระแสน้ำใหญ่ไหลเข้าไปจนเต็ม ฉะนั้น | ||
- | |||
- | ปีติที่ประสงค์เอา ณ ที่นี้ | ||
- | |||
- | ก็แหละ ปีติ 5 ประการนี้นั้น เมื่อถือเอาห้อง ถึงความแก่เต็มที่แล้ว ย่อมทำ ปัสสัทธิ 2 ประการให้บริบุรณ์ คือ กายปัสสัทธิ ความสงบกาย 1 จิตตปัสสัทธิ ความสงบจิต 1 เมื่อปัสสัทธิถือเอาห้องถึงความแก่ได้ที่แล้ว ย่อมทำสุขทั้ง 2 ประการให้บริบูรณ์ คือ กายิกสุข สุขกาย 1 เจตสิกสุข สุขใจ 1 เมื่อสุขถือเอาห้องถึงความแก่ได้ที่แล้วย่อมทำสมาธิ 3 ประการให้บริบูรณ์ คือ ขณิกสมาธิ 1 อุปจารสมาธิ 1 อัปปนาสมาธิ 1 | ||
- | |||
- | ในบรรดาปีติ 5 ประการนั้น ผรณาปีติ อันใดที่เจริญแก่กล้าขึ้นพอจะเป็นมูลฐานแก่อัปปนาสมาธิ ถึงซึ่งอันประกอบเข้ากับสมาธิได้ ปีตินี้ประสงค์เอาในอรรถาธิบายนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบาย สุข | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ ความสบายอื่นจากปีติ ชื่อว่า สุข อีกนัยหนึ่ง ธรรมขาติใดย่อมกินเสียซึ่งความไม่สบายกายความไม่สบายใจ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า สุข อีกนัยหนึ่ง ธรรมชาติใดย่อมขุดออกซึ่งความไม่สบายกายไม่สบายใจ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า สุข สุขนั้น มีความดีใจ เป็นลักษณะ มีอันเพิ่มพูนสัมปยุตธรรมให้เจริญเป็นกิจ มีอันอนุเคราะห์เป็นอาการปรากฏ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 243) | ||
- | |||
- | '''ความต่างกันระหว่างปีติกับสุข | ||
- | ''' | ||
- | แหละถึงแม้ในจิตบางดวง เช่น ปฐมฌานจิตเป็นต้น จะไม่มีการแยกกันระหว่างปีติกับสุขก็ตาม แต่ความยินดีที่เกิดขึ้นเพราะได้อิฏฐารมณ์ จัดเป็น ปีติ การเสวยรสแห่งอารมณ์ที่ได้มานั้น จัดเป็น สุข ปีติมีในจิตใด ในจิตนั้นก็มีสุขด้วย แต่สุขมีในจิตใด ในจิตนั้นไม่มีปีติเสมอไป ปีติสงเคราะห์เข้าในสังขารขันธ์ สุขสงเคราะห์เข้าในเวทนาขันธ์ เปรียบเหมือนเมื่อคนสิ้นเสบียงในทางทุรกันดาร ในขณะที่ได้เห็นหรือได้ข่าวซึ่งป่าไม้หรือน้ำ ปีติย่อมเกิด ในขณะที่เข้าไปถึงร่มเงาป่าไม้หรือรับประทานน้ำแล้ว สุขย่อมเกิด นักศึกษาพึงเข้าใจว่า ปีติและสุขนี้ท่านกล่าวหมายเอาโดยเป็นสิ่งที่ปรากฏในสมัยนั้นๆ | ||
- | |||
- | '''อธิบายมีปีติและสุข | ||
- | ''' | ||
- | ปีตินี้ด้วย สุขนี้ด้วย ย่อมมีแก่ฌานนั้น หรือย่อมมีในฌานนั้น ดังนั้น ฌานนั้นท่านจึงเรียกว่า มีปีติและสุข ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | อีกประการหนึ่ง ปีติด้วย สุขด้วย ชื่อว่า ปีติและสุข เช่นคำว่า ธรรมและวินัย เป็นต้น ปีติและสุขอันเกิดแต่ความสงัดมีอยู่แก่ฌานนั้น หรือมีอยู่ในฌานนั้น ดังนั้น ฌานนั้นชื่อว่า มีปีติและสุขเกิดแต่ความสงัด แม้ด้วยประการฉะนี้ เหมือนอย่างว่า ฌานย่อมเกิดแต่ความสงัด ฉันใด ปีติและสุขในที่นี้ก็ย่อมเกิดแต่ความสงัดเหมือนกัน ฉันนั้น อนึ่ง ปีติและสุขอันเกิดแต่ความสงัดนั้น ย่อมมีแก่ฌานนั้น เพราะฉะนั้น การที่จะกล่าวบวกเข้าเป็นบทเดียวกันว่า วิเวกชมฺปีติสุขํ ซึ่งแปลว่า มีปีติและสุขอันเกิดแต่ความสงัดดังนี้ ก็ใช้ได้ | ||
- | |||
- | แต่ในคัมภีร์วิภังค์ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้โดยนัยมีอาทิว่า สุขนี้ประกอบด้วยปีตินี้ ฉะนี้ แม้ในคัมภีร์วิภังค์นั้น นักศึกษาก็พึงทราบอรรถาธิบายอย่างเดียวกันนี้เหมือนกัน | ||
- | |||
- | '''อธิบายบรรลุแล้วซึ่งปฐมฌาน | ||
- | ''' | ||
- | คำว่า ปฐมฌาน จักอธิบายให้แจ่มแจ้งข้างหน้า คำว่า บรรลุแล้ว ได้แก่เข้าไปถึงแล้ว คือประสบแล้ว อีกนัยหนึ่ง คำว่า บรรลุแล้ว ได้แก่ทำให้ถึงพร้อมแล้ว คือให้สำเร็จแล้ว | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 244) | ||
- | |||
- | แต่ในคัมภีร์วิภังค์ทรงแสดงไว้ว่า การได้, การได้เฉพาะ, การถึง, ถึงพร้อม, การถูกต้อง, การทำให้แจ้ง, การเข้าถึงพร้อมซึ่งปฐมฌาน ชื่อว่า บรรลุแล้ว แม้พระพุทธพจน์นั้นอันศึกษาพึงทราบอรรถาธิบายอย่างเดียวกันนี้เหมือนกัน | ||
- | |||
- | '''อธิบาย วิหรติ ที่แปลว่าอยู่ | ||
- | ''' | ||
- | คำว่า วิหรติ ที่แปลว่า อยู่ นั้น อธิบายว่า โยคีบุคลผู้พรั่งพร้อมด้วยฌานมีประการดังกล่าวฉะนี้ ย่อมยังการกระทำของอัตภาพร่างกาย คือการประพฤติ, การเลี้ยง, การเป็นไป, การให้เป็นไป, การเที่ยวไป และการผัดผ่อนแห่งอัตภาพร่างกาย ให้สำเร็จโดยการอยู่ด้วยอิริยาบทชนิดที่สมควรแก่อัตภาพนั้น ข้อนี้สมด้วยพระบาลีที่ทรงแสดงไว้ในคัมภีร์วิภังค์ว่า คำว่า ย่อมอยู่ นั้น คือ ย่อมกระทำ ย่อมประพฤติ ย่อมเลี้ยง ย่อมเป็นไป ย่อมให้เป็นไป ย่อมเที่ยวไป ย่อมเดินไป เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า วิหรติ ย่อมอยู่ ฉะนี้ | ||
- | |||
- | ====ส่วน 2 ละองค์ 5 และประกอบด้วยองค์ 5==== | ||
- | |||
- | ก็แหละ ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า ละองค์ 5 ประกอบด้วยองค์ 5 นั้น มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | '''องค์สำหรับละมี 5 | ||
- | ''' | ||
- | นักศึกษาพึงทราบถึงภาวะที่ปฐมฌาน ละองค์ 5 ด้วยอำนาจที่ประหานนิวรณ์ 5 เหล่านี้ คือ | ||
- | |||
- | '''นิวรณ์ 5 | ||
- | ''' | ||
- | 1. กามฉันทะ ความพอใจในกาม | ||
- | |||
- | 2. พยาปาทะ ความไม่ชอบใจ | ||
- | |||
- | 3. ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาและความเซื่องซึม | ||
- | |||
- | 4. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและความรำคาญใจ และ | ||
- | |||
- | 5. วิจิกิจฉา ความสงสัยตัดสินใจไม่ได้ | ||
- | |||
- | ก็เมื่อโยคีบุคคลยังละนิวรณ์ 5 เหล่านี้ไม่ได้ ฌานก็เกิดขึ้นไม่ได้เป็นธรรมดาด้วยเหตุนั้น นิวรณ์ 5 เหล่านี้ จึงเรียกว่าเป็นองค์สำหรับละของฌานนั้น ถึงแม้ว่า ในขณะ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 245) | ||
- | |||
- | ฌานเกิดนั้น แม้อกุศลธรรมอย่างอื่น ๆ อันฌานลาภีบุคคลย่อมละได้ด้วยก็จริง แต่กระนั้นนิวรณ์ 5 เหล่านี้เท่านั้นที่ทำอันตรายแก่ฌานโดยพิเศษ | ||
- | |||
- | เป็นความจริง จิตที่ถูก กามฉันทนิวรณ์ รบเร้าไว้ในอารมณ์ต่าง ๆ แล้ว ย่อมไม่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่เป็นเอกภาพคือมีอารมณ์อย่างเดียว หรือจิตที่ถูกกามฉันทนิวรณ์ครอบงำแล้วนั้น ย่อมไม่ดำเนินไปสู่ปฏิปทาเพื่อประหานเสียซึ่งกามธาตุ (คือกามโลก) และจิตที่ถูกพยาปาทนิวรณ์ กดดันไว้ในอารมณ์ ย่อมเป็นไปอย่างกระพร่องกระแพร่งไม่บริบูรณ์ จิตที่ถูก ถีนมิทธนิวรณ์ ครอบงำแล้ว ย่อมไม่ควรแก่ที่จะประกอบการภาวนา จิตที่ถูก อุจธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ครอบงำแล้ว ย่อมหมุนคว้างไปไม่สงบอยู่ได้เลย จิตที่ถูก วิจิกิจฉานิวรณ์ เข้าแทรกแซงแล้ว ย่อมไม่หยั่งลงสู่ปฏิปทาอันจะให้สำเร็จการบรรลุถึงซึ่งฌานได้ | ||
- | |||
- | ด้วยประการฉะนี้ เฉพาะนิวรณ์ 5 นี้ ท่านจึงเรียกว่า เป็นองค์สำหรับละ เพราะเป็นข้าศึกที่ทำอันตรายแก่ฌานโดยพิเศษ | ||
- | |||
- | '''องค์แห่งปฐมฌาน 5 | ||
- | ''' | ||
- | แหละ เพราะเหตุที่ วิตก ย่อมยกจิตขึ้นไว้ในอารมณ์ วิจารณ์ ตามผูกพันจิตไว้ในอารมณ์ ปีติ อันเป็นที่เกิดแห่งประโยคสมบัติของจิตซึ่งมีประโยคอันวิตกและวิจารให้ถึงพร้อมแล้วด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมทำให้จิตเอิบอิ่ม สุข ย่อมทำสัมปยุตธรรมให้เจริญและถัดมาเอกัคคตา อันความยกขึ้น, ความตามผูกพัน, ความเอิบอิ่มและความเจริญเหล่านี้ อนุเคราะห์แล้วย่อมตั้งจิตนั้นพร้อมทั้งสัมปยุตธรรมที่เหลือไว้ในอารมณ์อันเป็นเอกภาพ อย่างสม่ำเสมอ โดยถูกต้อง | ||
- | |||
- | ฉะนั้น นักศึกษาพึงทราบถึงภาวะที่ปฐมฌานประกอบด้วยองค์ 5 ด้วยอำนาจความบังเกิดขึ้นแห่งองค์ 5 เหล่านี้ คือ | ||
- | |||
- | 1. วิตก ธรรมชาติที่ยกจิตสู่อารมณ์ | ||
- | |||
- | 2. วิจาร ธรรมชาติที่พิจารณาอารมณ์ | ||
- | |||
- | 3. ปีติ ธรรมชาติที่ทำจิตใจให้เอิบอิ่ม | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 246) | ||
- | |||
- | 4. สุข ธรรมชาติที่ทำจิตให้ยินดี และ | ||
- | |||
- | 5. จิตเตกัคคตา ความมีอารมณ์อย่างเดียวของจิต | ||
- | |||
- | ก็เมื่อองค์ 5 เหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นอันชื่อว่า ฌานเกิดขึ้นแล้ว ด้วยเหตุนั้น องค์ 5 เหล่านี้ จึงเรียกว่าองค์ที่ประกอบของฌานนั้น นักศึกษาพึงยึดหลักไว้เถิดว่าขึ้นชื่อว่า ฌาน อื่นจากที่ประกอบด้วยองค์ 5 เหล่านี้หามีไม่ | ||
- | |||
- | ก็แหละ เหมือนอย่างชาวโลกเรียกขานกันว่า เสนามีองค์ 4 ดนตรีมีองค์ 5 มรรคมีองค์ 8 ทั้งนี้ ด้วยอำนาจสักว่าองค์เท่านั้น ฉันใด แม้ฌานนี้นักศึกษาก็พึงเข้าใจว่าที่ท่านเรียกว่า มีองค์ 5 หรือประกอบด้วยองค์ 5 นั้น ด้วยอำนาจสักว่าองค์เท่านั้นเช่นเดียวกัน | ||
- | |||
- | '''องค์ฌาน 5 มีกำลังมากกว่าปกติ | ||
- | ''' | ||
- | แหละ แม้ว่าองค์ฌานทั้ง 5 เหล่านี้ จะได้มีในขณะอุปจารสมาธิเกิด และในขณะอุปจารสมาธินั้นจะมีกำลังมากกว่าจิตปกติก็ตาม ส่วนในปฐมฌานนี้ องค์ฌานทั้ง 5 มีกำลังมากกว่าอุปจารสมาธิขึ้นไปอีก เพราะบรรลุถึงลักษณะที่เป็นรูปาวจรกุศลจิตแล้ว | ||
- | |||
- | จริงอยู่ในปฐมฌานนี้ วิตก ย่อมเกิดยกจิตขึ้นไว้ในอารมณ์โดยอาการอันบริสุทธิ์ที่สุด วิจาร ย่อมเกิดขึ้นตามพิจารณาอารมณ์อย่างดีที่สุด ปีติและสุข ย่อมเกิดแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงเทศนาไว้ว่า ณ ที่ตรงไหนทั่วสรรพางค์กายของฌานลาภีบุคคลนั้น ที่ปีติและสุขอันเกิดแต่ความสงัดจะไม่ถูกต้องนั้นเป็นอันไม่มี ฝ่าย จิตเตกัคคตา คือภาวะที่จิตมีอารมณ์อย่างเดียวนั้น ย่อมเกิดขึ้นถูกต้องทั่วอารมณ์ทั้งหลาย มีอาการเหมือนฝาสมุกอันบนสวมลงตัวสมุกอันล่างโดยทั่วสิ้นฉะนั้น | ||
- | |||
- | อรรถาธิบายนี้เป็นความต่างกันระหว่างปีติและสุขกับองค์ฌานอื่น ๆ แม้นอกนี้ | ||
- | |||
- | '''จิตเตกัคคตาเป็นองค์ฌานอันหนึ่ง | ||
- | ''' | ||
- | ในบรรดาองค์ฌานทั้ง 5 นั้น ถึงแม้ว่าจิตเตกัคคตาจะมิได้ทรงแสดงไว้ในบาลีที่ว่า สวิตกฺกํ สวิจารํ เป็นต้นนั้นก็ตาม แม้กระนั้น จิตเตกัคคตาก็จัดเข้าเป็นองค์ฌาน | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 247) | ||
- | |||
- | องค์หนึ่งเหมือนกัน เพราะเหตุที่ทรงเทศนาไว้ในคัมภีร์ภวังค์ว่า วิตก, วิจาร, ปีติ, สุข, และ จิตเตกัคคตา ชื่อว่า ฌาน ดังนี้ อธิบายว่า การที่พระผู้มีพระภาคทรงเทศนาพระบาลีไว้โดยนัยมีอาทิว่า สวิตกฺกํ สวิจารํ ด้วยข้อพระพุทธาธิบายอย่างใด ก็เป็นอันว่าข้อพระพุทธาธิบายนั้น พระองค์ทรงประกาศแสดงไขไว้แล้วว่า จิตเตกัคคตา นั้น ท่านไม่ได้ทรงถือเอาในพระบาลีที่แสดงถึงฌานนั้น ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | ====ส่วน 3 มีความงาม 3 และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10==== | ||
- | |||
- | ก็แหละ ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวสังเขปไว้ว่า มีความงาม 3 สมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10 นั้น มีอรรถาธิบายโดยพิศดารดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | นักศึกษาพึงทราบความงาม 3 อย่างของปฐมฌาน ด้วยอำนาจความงามในเบื้องต้น 1 ความงามในท่ามกลาง 1 และความงามในที่สุด 1 และพึงทราบความสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10 ประการของปฐมฌาน ด้วยอำนาจลักษณะของความงามในเบื้องต้น ความงามในท่ามกลาง และความงามในที่สุดเหล่านั้นนั่นแล | ||
- | |||
- | ในการแสดงถึงความงามและลักษณะแห่งความงามของปฐมฌานนั้น มีคำบาลีรับรองไว้ดังนี้ – | ||
- | |||
- | '''ความงาม 3 ประการ | ||
- | ''' | ||
- | ความบริสุทธิ์แห่งปฏิปทา เป็นความงามในเบื้องต้นของปฐมฌาน ความเจริญได้ที่แห่งอุเบกขา เป็นความงามในท่ามกลางของปฐมฌาน และความร่าเริงใจ เป็นความงามที่สุดของปฐมฌาน | ||
- | |||
- | '''ลักษณะแห่งความงามเบื้องต้น 3 ประการ | ||
- | ''' | ||
- | ถาม - ข้อว่า ความบริสุทธิ์แห่งปฏิปทา เป็นความงามเบื้องต้นของปฐมฌานนั้น ความงามในเบื้องต้นของปฐมฌาน มีลักษณะเท่าไร ? | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 248) | ||
- | |||
- | ตอบ - ความงามในเบื้องต้นของปฐมฌาน มีลักษณะ 3 ประการ คือ จิตย่อมบริสุทธิ์จากธรรมที่เป็นข้าศึก 1 เพราะเหตุที่จิตบริสุทธิ์ จิตจึงดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นกลาง 1 เพราะเหตุที่จิตดำเนินไป จิตจึงแล่นตรงไป ในสมถนิมิตอันเป็นกลางนั้น 1 | ||
- | |||
- | อาการที่จิตบริสุทธิ์จากธรรมที่เป็นข้าศึก อาการที่จิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นกลางด้วยเหตุที่บริสุทธิ์ และอาการที่จิตแล่นตรงไปในสมถนิมิตอันเป็นกลาง ด้วยเหตุที่ดำเนินไปแล้วเหล่านี้เป็นลักษณะ 3 ประการ แห่งความงามในเบื้องต้นของปฐมฌาน ซึ่งมีความบริสุทธิ์แห่งปฏิปทาเป็นความงามในเบื้องต้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ปฐมฌานมีความงามในเบื้องต้น และสมบูรณ์ในลักษณะ 3 ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''ลักษณะแห่งความงามท่ามกลาง 3 ประการ | ||
- | ''' | ||
- | ถาม - ข้อว่า ความเจริญได้ที่แห่งอุเบกขาเป็นความงามในท่ามกลางของปฐมฌานนั้น ความงามในท่ามกลางของปฐมฌานมีลักษณะเท่าไร ? | ||
- | |||
- | ตอบ - ความงามในท่ามกลางของปฐมฌานมีลักษณะ 3 ประการ คือ โยคีบุคคลย่อมเพ่งดูเฉยซึ่งจิตบริสุทธิ์แล้ว 1 ย่อมเพ่งดูเฉยซึ่งจิตที่ปรากฏเป็นเอกภาพ แล้ว 1 | ||
- | |||
- | อาการที่เพ่งดูเฉยซึ่งจิตที่บริสุทธิ์แล้ว อาการที่เพ่งดูเฉยซึ่งจิตที่ดำเนินไปสู่สมถนิมิตแล้ว และอาการที่เพ่งดูเฉยซึ่งจิตที่ปรากฏเป็นเอกภาพแล้วเหล่านี้เป็นลักษณะ 3 ประการ แห่งความงามในท่ามกลางของปฐมฌาน ซึ่งมีความเจริญได้ที่แห่งอุเบกขาเป็นความงามในท่ามกลาง ด้วยเหตุนั้นจึงเรียกว่า ปฐมฌานมีความงามในท่ามกลางและสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 3 ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 249) | ||
- | |||
- | '''ลักษณะแห่งความงามในที่สุด 4 ประการ | ||
- | ''' | ||
- | ถาม - ข้อว่า ความร่าเริงใจ เป็นความงามในที่สุดของปฐมฌานนั้น ความงามในที่สุดของปฐมฌาน มีลักษณะเท่าไร ? | ||
- | |||
- | ตอบ - ความงามในที่สุดของปฐมฌานมีลักษณะ 4 ประการ คือ ความร่าเริงใจเพราะผลที่ธรรมทั้งหลายซึ่งเกิดในฌานจิตนั้นไม่ล่วงล้ำก้ำเกินกัน 1 ความร่าเริงใจเพราะผลที่อินทรีย์ทั้งหลายมีรสเป็นอันเดียวกัน 1 ความร่าเริงใจเพราะผลที่ทำให้วีริยะอันสมควรแก่อินทรีย์ทั้งหลายบังเกิดขึ้น 1 ความร่าเริงใจเพราะผลที่ได้อาเสวนปัจจัย 1 | ||
- | |||
- | อาการเหล่านี้เป็นลักษณะ 4 ประการแห่งความงามในที่สุดของปฐมฌาน ซึ่งมีความร่าเริงใจเป็นความงามในที่สุด ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ปฐมฌาน มีความงามในที่สุดและสมบูรณ์ในลักษณะ 4 ด้วยประการฉะนี้แล | ||
- | |||
- | '''มติวัดอภัยคีรีวิหาร | ||
- | ''' | ||
- | ในความงาม 3 อย่างนั้น อุปจารสมาธิพร้อมทั้งธรรมเครื่องปรุงแต่ง คือบริกรรมในอาวัชนะต่าง ๆ ชื่อว่า ปฏิปทาวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งปฏิปทา อัปปนาสมาธิ ชื่อว่า ความเจริญได้ที่แห่งอุเบกขา ปัจจเวกขณะ คือการพิจารณาฌานที่ได้บรรลุแล้ว ชื่อว่า ความร่าเริงใจ อธิบายนี้ท่านอาจารย์ทั้งหลายชาววัดอภัยคีรีวิหารพรรณาไว้ | ||
- | |||
- | '''มติในปฏิสัมภิทามัคค์ | ||
- | ''' | ||
- | แต่เพราะเหตุที่ในบาลีแห่งปฏิสัมภิทามัคค์ ท่านแสดงไว้ จิตที่ถึงเอกภาพแล้ว จึงจะเป็นอันแล่นไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งปฏิปทา, จึงจะเป็นอันเจริญได้ที่แล้วด้วยอุเบกขา และจึงจะเป็นอันร่าเริงแล้วด้วยญาณ ดังนี้ ฉะนั้น นักศึกษาพึงเข้าใจว่า ความบริสุทธิ์แห่งปฏิปทาจะมีได้ก็ด้วยอำนาจที่มาถึงภายในอัปปนาสมาธิเท่านั้น ความเจริญได้ที่แห่งอุเบกขาจะมีได้ด้วยการทำกิจของตัตรมัชฌัตตุเบกขา และความร่าเริงใจจะมีได้ด้วย | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 250) | ||
- | |||
- | อำนาจความสำเร็จแห่งการทำกิจของญาณอันทำให้ผ่องใส โดยยังภาวะที่ธรรมทั้งหลายไม่ล่วงล้ำกันเป็นต้นให้สำเร็จ (หมายความว่าอรรถาธิบายของพวกอาจารย์วัดอภัยคีรีวิหารผิดจากบาลีปฏิสัมภิทามัคค์) | ||
- | |||
- | ถาม - ข้อนี้ มีอรรถาธิบายอย่างไร ? | ||
- | |||
- | ตอบ - มีอรรถาธิบายว่า ในวาระที่อัปนาสมาธิเกิดขึ้น จิตจึงจะบริสุทธิ์จากกลุ่มกิเลสคือนิวรณ์อันเป็นข้าศึกของฌานนั้น เพราะจิตเป็นสภาพที่บริสุทธิ์แล้ว จึงจะหลีกเว้นจากนิวรณ์เครื่องกั้น ดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นกลาง สมถนิมิตอันเป็นกลาง นั้นได้แก่อัปนาสมาธิที่เป็นไปโดยสม่ำเสมอนั่นเอง | ||
- | |||
- | '''อธิบายความบริสุทธิ์แห่งปฏิปทา | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ จิตดวงก่อน ซึ่งเป็นอนันตรปัจจัยแก่อัปนาจิตนั้นได้แก่ โคตรภูจิต กำลังเข้าไปสู่ภาวะที่แท้ ชื่อว่า ดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นกลาง ด้วยนัยที่แปรไปแห่งสันตติเพียงอันเดียว เพราะจิตดำเนินไปด้วยอาการอย่างนี้ ชื่อว่า แล่นไปในสมถนิมิตนั้น ด้วยการดำเนินไปสู่ภาวะที่แท้ นักศึกษาพึงเข้าใจถึงความบริสุทธิ์แห่งปฏิปทาอันให้สำเร็จอาการที่บริสุทธิ์จากอันตรายเป็นต้นซึ่งมีอยู่ในจิตดวงก่อนแห่งอัปนาจิต ด้วยอำนาจที่มาถึงในอุปปาทขณะแห่งปฐมฌาน ด้วยประการฉะนี้ก่อน | ||
- | |||
- | '''อธิบาย ความเจริญได้ที่อุเบกขา | ||
- | ''' | ||
- | แหละเมื่อจิตนั้นบริสุทธิ์แล้วอย่างนี้ โยคีบุคคลก็ไม่ทำความขวนขวายในอันที่จะทำจิตให้บริสุทธิ์อีก เพราะไม่มีสิ่งที่จะต้องทำให้บริสุทธิ์ ชื่อว่า ย่อมเพ่งดูเฉยซึ่งจิตอันบริสุทธิ์แล้ว เมื่อจิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตด้วยการเข้าสู่ภาวะที่สงบ โยคีบุคคลก็ไม่ทำการขวนขวายในอันที่จะทำให้จิตตั้งมั่นอีก ชื่อว่า ย่อมเพ่งดูเฉยซึ่งจิตที่ดำเนินไปสู่สมถนิมิตแล้ว และเมื่อฌานจิตนั้น ละความคลุกคลีด้วยกิเลสเข้าไปตั้งอยู่โดยความเป็นเอกภาพ โดยภาวะที่ดำเนิน | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 251) | ||
- | |||
- | ไปสู่สมถนิมิตแล้วนั่นแล โยคีบุคคลก็ไม่ทำความขวนขวายในอันที่จะทำให้จิตปรากฏเป็นเอกภาพอีก ชื่อว่า ย่อมเพ่งดูเฉยซึ่งจิตที่ปรากฏเป็นเอกภาพแล้ว | ||
- | |||
- | นักศึกษาพึงเข้าใจความเจริญได้ที่ของอุเบกขา ด้วยอำนาจการทำกิจของตัตรมัชฌัตตุเบกขา ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบายความร่าเริงใจ | ||
- | ''' | ||
- | แหละอาการทั้งหลาย คือ เมื่อฌานจิตเจริญได้ที่แล้วด้วยอุเบกขาอย่างนี้ ธรรมที่เนื่องเป็นคู่กันคือสมาธิกับปัญญาซึ่งเกิดแล้วในฌานจิตนั้น เป็นไปไม่ก้ำเกินซึ่งกันและกัน 1 อินทรีย์ทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้น เป็นไปมีรสเป็นอันเดียวกันด้วยวิมุตติรส เพราะหลุดพ้นจากกิเลสนานาชนิด 1 โยคีบุคคลนั้นทำวีริยะอันควรแก่ธรรมเหล่านั้นคือสมควรแก่ภาวะที่ธรรมเหล่านั้นไม่ก้ำเกินกันและมีรสเป็นอันเดียวกันให้เป็นไปอยู่ 1 การเสพอารมณ์ของฌานจิตนั้นเป็นไปในขณะนั้น (ภังคขณะ) 1 โดยเหตุที่อาการทั้งหมดนั้นสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะโยคีบุคคลเห็นโทษและอานิสงส์นั้น ๆ ในความเศร้าหมองและความผ่องแผ้วของภาวนาด้วยญาณ จึงได้ร่าเริงใจแล้ว ทำให้จิตบริสุทธิ์ผ่องใสแล้ว ด้วยประการนั้น ๆ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวไว้ว่า นักศึกษาพึงเข้าใจว่า………ความร่าเริงใจจะมีได้ก็ด้วยอำนาจความสำเร็จแห่งการทำกิจของญาณให้ผ่องใส โดยยังภาวะที่ธรรมทั้งหลายไม่ก้ำเกินกันเป็นต้นให้สำเร็จ | ||
- | |||
- | '''ญาณปรากฏชัดด้วยอุเบกขา | ||
- | ''' | ||
- | เพราะในภาวนาจิตนั้น ญาณย่อมปรากฏด้วยอำนาจอุเบกขาเหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค์ว่า โยคีบุคคลย่อมเพ่งดูเฉยซึ่งจิตที่ตนประคองไว้อย่างนั้นเป็นอย่างดี ปัญญินทรีย์ย่อมมีประมาณยิ่ง ด้วยอำนาจอุเบกขา ด้วยอำนาจปัญญา จิตย่อมหลุดพ้นจากกิเลสอันมีสภาวะต่าง ๆ ด้วยอำนาจอุเบกขา ปัญญินทรีย์ย่อมมีประมาณยิ่ง | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 252) | ||
- | |||
- | ด้วยอำนาจความหลุดพ้น คือ ศรัทธากับปัญญาและวีริยะกับสมาธิ ย่อมมีรสเป็นอันเดียวกัน คือ ทำกิจเท่านั้น เพราะผลที่มีรสเป็นอันเดียวกัน จึงชื่อว่า ภาวนา | ||
- | |||
- | ฉะนั้น ความร่าเริงใจอันเป็นกิจแห่งญาณ ท่านจึงกล่าวว่า เป็นความงามในที่สุดฉะนี้ | ||
- | |||
- | ====ส่วน 4 ได้บรรลุปฐมฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์==== | ||
- | |||
- | บัดนี้ จะอรรถาธิบายในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ ได้บรรลุปฐมฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์ ต่อไป | ||
- | |||
- | ที่ชื่อว่า ปฐม ซึ่งแปลว่า ที่หนึ่ง เพราะเป็นลำดับแห่งการคำนวณ ที่ชื่อว่า ปฐม เพราะว่า เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ดังนี้ก็ได้ | ||
- | |||
- | ที่ชื่อว่า ฌาน เพราะเพ่งอารมณ์ อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า ฌาน เพราะเผาธรรมอันเป็นข้าศึกมีนิวรณ์เป็นต้น | ||
- | |||
- | แหละมณฑลแห่งดินคือวงกลมแห่งดิน เรียกว่า ปถวีกสิณ ด้วยความหมายว่า ดินทั้งสิ้น นิมิต ที่ได้เพราะอาศัยปถวีกสิณนั้นก็ชื่อว่า ปถวีกสิณ ฌานที่ได้นิมิตปถวีกสิณก็เรียกว่า ปถวีกสิณ ใน 2 อย่างนั้น นักศึกษาพึงทราบว่า ฌานปถวีกสิณ ประสงค์เอาในอรรถาธิบายนี้ (มิใช่นิมิตปถวีกสิณ) ข้าพเจ้าหมายเอาปถวีกสิณนั้น จึงได้กล่าวไว้ว่า ปฐมฌานปถวีกสิณ….ย่อมเป็นอันโยคีบุคคลนั้นได้บรรลุแล้ว ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | ===ต้องพยายามจำอาการที่บรรลุฌาณไว้ให้แม่นยำ=== | ||
- | |||
- | ก็แหละ เมื่อได้บรรลุปฐมฌานอย่างนี้แล้ว อันโยคีบุคคลนั้นพึงกำหนดสังเกตอาการทั้งหลายขณะที่ได้บรรลุไว้ให้แม่นยำ เหมือนนายขมังธนูผู้ยิงขนทราย และเหมือนดังพ่อครัว | ||
- | |||
- | '''เปรียบเหมือนนายขมังธนูยิงขนทราย | ||
- | ''' | ||
- | อธิบายว่า เหมือนนายขมังธนูผู้ชาญฉลาด ประกอบกรรมในการยิงขนทราย เมื่อยิงถูกขนทรายในวาระใด เขาจะพึงกำหนดสังเกตุอาการที่ยันเท้า อาการแห่งคันธนู อาการ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 253) | ||
- | |||
- | แห่งสายธนู และอาการแห่งลูกธนู ในวาระนั้นไว้อย่างแม่นยำว่า เรายืนท่านี้ จับคันธนูท่านี้ ขึ้นสายธนูอย่างนี้ แล้วจึงยิงขนทราย จำเดิมแต่นั้น เขายังอาการเหล่านั้นให้ถึงพร้อมอยู่ด้วยประการนั้นนั่นแหละ ย่อมยิงถูกขนทรายอย่างไม่ผิดพลาดเลยฉันใด แม้อันโยคีบุคคลนี้ ก็ฉันเดียวกันนั่นแล คือเธอพึงกำหนดสังเกตกิริยาอาการทั้งหลายมีอาการเป็นอันที่สบายเป็นต้นเหล่านี้ว่า เราบริโภคอาหารชนิดนี้ คบหาสมาคมบุคคลเห็นปานนี้ จึงได้บรรลุปฐมฌานนี้ ในเสนาสนะชนิดนี้ ด้วยอิริยาบทอย่างนี้ ในเวลาเช่นนี้ | ||
- | |||
- | ครั้นสังเกตจดจำอาการไว้ได้อย่างนี้แล้ว แม้เมื่อสมาธิขั้นอ่อน ๆ นั้นเสื่อมหายไป โยคีบุคคลนั้น จักสามารถเพื่อที่จะทำอาการเหล่านั้นให้ถึงพร้อมแล้ว ทำสมาธินั้นให้กลับเกิดขึ้นอีกได้ หรือจักสามารถเพื่อที่จะทำสมาธิที่ยังไม่คล่องแคล่วให้คล่องแคล่วกลับเป็นอัปนาสมาธิบ่อย ๆ โดยไม่ลำบากเลย | ||
- | |||
- | '''เปรียบเหมือนพ่อครัว | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนพ่อครัวทำการเลี้ยงอาหารเจ้านาย คอยสังเกตอาการนั้น ๆ ที่เจ้านายชอบบริโภคไว้เป็นอย่างดี แต่นั้น ก็พยายามเตรียมจัดเฉพาะแต่สิ่งที่เจ้านายชอบใจเท่านั้นเข้าไปให้ เขาย่อมจะเป็นผู้มีส่วนได้รับรางวัล ฉันใด แม้โยคีบุคคลนี้ก็ฉันเดียวกันนั่นเทียว คอยกำหนดจับเอาอาการทั้งหลายมีอาการอันเป็นที่สบายเป็นต้นในขณะที่บรรลุปฐมฌาน แล้วยังอาการเหล่านั้นให้ถึงพร้อมอยู่เสมอ ไม่ให้เลอะเลือน เมื่อสมาธินั้นเสื่อมหายไป ก็ย่อมจะได้อัปปนาสมาธิกลับคืนมาเสมอ ๆ | ||
- | |||
- | เพราะฉะนั้น อันโยคีบุคคลนั้น จึงจำต้องคอยสังเกตจดจำอาการทั้งหลาย ในขณะที่ได้บรรลุปฐมฌานไว้ เหมือนดังนายขมังธนูผู้ยิงขนทรายและเหมือนดังพ่อครัว ข้อนี้สมจริงดังพุทธวจนะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ในคัมภีร์สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ซึ่งมีความว่า – | ||
- | |||
- | '''พระบาลีรับสมอ้างข้ออุปมา | ||
- | ''' | ||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า พ่อครัวผู้ชำนาญในการทำครัว มีปรีชาญาณชาญฉลาด ทำการต้อนรับพระราชาหรือมหาอำมาตย์ของพระราชาด้วยอาหารทั้งหลายนานาชนิด คืออาหารที่มีรสเปรี้ยวบ้าง มีรสขมบ้าง | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 254) | ||
- | |||
- | มีรสเผ็ดบ้าง มีรสหวานบ้าง มีรสกร่อยบ้าง มีรสเค็มบ้าง มีรสจืดบ้าง | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พ่อครัวผู้ชำนาญในการทำครัว มีปรีชาญาณอันชาญฉลาดนั้นแล เขาย่อมคอยจับดูอาการของเจ้านายของตนว่า วันนี้เจ้านายของเราชอบอาหารชนิดนี้ หรือเจ้านายของเราเอื้อมมือเอาอาหารอย่างนี้ หรือเจ้านายของเราหยิบเอาอาหารชนิดนี้มาก หรือเจ้านายของเราพูดชมคุณอาหารอย่างนี้ หรือว่าวันนี้เจ้านายของเราชอบอาหารมีรสเปรี้ยว หรือเอื้อมมือเอาแต่อาหารรสเปรี้ยวเป็นส่วนมาก หรือพูดชมคุณอาหารที่มีรสเปรี้ยว ….หรือว่า….พูดชมคุณอาหารที่มีรสจืด | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พ่อครัวผู้ชำนาญในการทำครัวมีปรีชาญาณชาญฉลาดนั้นแล เขาย่อมจะได้เครื่องนุ่งห่มด้วย ได้เครื่องบำเหน็จรางวัลด้วย ได้เครื่องบรรณาการด้วย ข้อนั้น เพราะมีอะไรเป็นเหตุ ? | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า พ่อครัวผู้ชำนาญในการทำครัว มีปรีชาญาณชาญฉลาดนั้น เขาคอยจับตาดูเจ้านายของเขาด้วยประการดังกล่าวแล้ว ฉันใด | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ชำนาญมีปรีชาญาณชาญฉลาดบางรูปในศาสนานี้ ก็ฉันเดียวกันนั่นแล คือย่อมพิจารณาเห็นกายที่กายอยู่ พิจารณาเห็นเวทนาที่เวทนาอยู่ พิจารณาเห็นจิตที่จิตอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ เป็นผ้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌา ความดีใจ และโทมนัสความเสียใจในโลกออกเสียได้ เมื่อเธอพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ จิตย่อมเป็นสมาธิ อุปกิเลสทั้งหลายย่อมหายไป เขาย่อมจ้องจับเอานิมิตนั้นได้ | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ชำนาญ มีปรีชาญาณชาญฉลาดนั้นแล ย่อมได้การอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ย่อมได้สติและสัมปชัญญะ ข้อนั้นเพราะมีอะไรเป็นเหตุเล่า ? | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 255) | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะภิกษุผู้ชำนาญมีปรีชาญาณชาญฉลาดนั้น คอยจ้องจับเอานิมิตแห่งจิตของตนได้เป็นเหตุโดยแท้ | ||
- | |||
- | '''พึงรักษาฌานให้ดำรงอยู่ได้นาน ๆ | ||
- | ''' | ||
- | แหละเมื่อโยคีบุคคล ทำอาการทั้งหลายให้ถึงพร้อมอยู่ด้วยการคอยจ้องจับเอานิมิตนั้น อัปปนาสมาธิเพียงสำเร็จคืนมาได้อีกเท่านั้น หาได้สำเร็จเป็นการให้ดำรงอยู่ได้นาน ๆ ไม่ ส่วนที่จะให้อัปปนาสมาธิดำรงอยู่ได้นาน ๆ นั้น ย่อมสำเร็จได้ด้วยการชำระล้างธรรมทั้งหลายที่เป็นข้าศึกแก่สมาธิให้สะอาดด้วยดี | ||
- | |||
- | '''เหตุที่อยู่ในสมาบัติไม่ได้นาน | ||
- | ''' | ||
- | จริงอยู่ ภิกษุใดไม่ได้ข่มกามฉันทนิวรณ์ไว้เป็นอย่างดีด้วยอุบายวิธีมีการพิจารณาเห็นโทษของกามเป็นต้น ไม่ได้ทำความกระวนกระวายทางกายให้สงบลงด้วยดี ด้วยอำนาจทำกายให้สงบ ไม่ได้บรรเทาถีนมิทธนิวรณ์ด้วยดี ด้วยอำนาจมนสิการถึงอารัมภธาตุ คือการปรารถความเพียรเป็นต้น ไม่ได้ถอดถอนออกด้วยดีซึ่งอุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ด้วยอำนาจมนสิการถึงสมถนิมิตเป็นต้น แม้ธรรมทั้งหลายอันเป็นข้าศึกแก่สมาธิอย่างอื่น ๆ ก็ไม่ได้ชำระล้างให้สะอาดด้วยดีแล้วเข้าสู่ฌานสมาบัติ ภิกษุนั้นย่อมจะออกจากฌานสมาบัติเสียโดยเร็วพลันนั่นเทียว เหมือนแมลงภู่ที่เข้าไปยังโพรงที่อยู่อาศัย ซึ่งมิได้ชำระให้สะอาด และเหมือนพระราชาที่เสด็จเข้าไปสู่พระราชอุทยานที่สกปรก ย่อมไม่สามารถทรงทนอยู่ได้นาน | ||
- | |||
- | '''เหตุที่ให้อยู่ในสมาบัติได้นาน | ||
- | ''' | ||
- | ส่วนภิกษุใด ชำระธรรมทั้งหลายอันเป็นข้าศึกแก่สมาธิให้สะอาดด้วยดีเสียก่อนแล้วจึงสู่ฌานสมาบัติ ภิกษุนั้นย่อมจะอยู่ได้ภายในแห่งสมาบัตินั่นแล แม้ตลอดกาลอันเป็นส่วนแห่งวันทั้งสิ้นทีเดียว เหมือนแมลงภู่ที่เข้าไปยังโพรงที่อยู่อาศัยซึ่งได้ชำระให้สะอาดแล้วเป็นอย่างดี และเหมือนพระราชาเสด็จเข้าไปสู่พระราชอุทยานที่สะอาดเป็นอย่างดี ฉะนั้น | ||
- | |||
- | ด้วยเหตุนั้น ท่านโบราณาจารย์จึงได้ประพันธ์สุภาษิตไว้ ซึ่งมีความว่า- | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 256) | ||
- | |||
- | โยคีบุคคล พึงกำจัดปัดเป่าเสียซึ่งความพอใจในกามทั้งหลาย 1 ความเคียดแค้น 1 ความฟุ้งซ่าน 1 ความเซื่องซึม 1 และความสงสัยเป็นที่ 5 แล้วพึงมีใจปราโมชซึ่งเกิดแต่ความสงัด จากนิวรณ์กิเลสอภิรมย์ชมชื่นอยู่ในฌานนั้น เหมือนพระราชาที่เสด็จเข้าไปสู่พระราชอุทยานที่สะอาดตลอดสุดบริเวณ ย่อมทรงอภิรมย์ชมชื่นอยู่ในพระราชอุทยานนั้น ฉะนั้น | ||
- | |||
- | เพราะเหตุฉะนั้น อันโยคีบุคคลผู้ใคร่จะให้ฌานนั้นดำรงอยู่ได้นาน ๆ ก็จงชำระธรรมทั้งหลายอันเป็นข้าศึกแก่สมาธิมีกามฉันทนิวรณ์เป็นต้นให้สะอาด แล้วจึงเข้าสู่ฌานสมาบัตินั้นเถิด | ||
- | |||
- | ===การขยายปฏิภาคนิมิต=== | ||
- | |||
- | อีกประการหนึ่ง โยคีบุคคลผู้ฌานลาภีนั้น พึงขยายปฏิภาคนิมิตตามที่ได้มาแล้วทั้งนี้ เพื่อความเจริญไพบูลย์แห่งสมาธิภาวนา ภูมิที่จะขยายปฏิภาคนิมิตนั้นมี 2 ภูมิ ได้แก่ อุปจารภูมิ หรือ อัปปนาภูมิ กล่าวคือ โยคีบุคคลบรรลุถึงอุปจารภูมิแล้วขยายปฏิภาคนิมิตนั้นก็ได้ บรรลุถึงอัปปนาภูมิแล้วขยายปฏิภาคนิมิตนั้นก็ได้ แต่ที่จริงแล้ว จะพึงขยายได้ในฐานะอันเดียว ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า พึงขยายปฏิภาคนิมิตตามที่ได้มาแล้ว ฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''วิธีขยายปฏิภาคนิมิต | ||
- | ''' | ||
- | แนวทางแห่งการขยายปฏิภาคนิมิตนั้น ดังต่อไปนี้- อันโยคีบุคคลอย่าได้ขยายปฏิภาคนิมิตนั้น ด้วยวิธีที่ขยายของบาตร วิธีขยายของขนม วิธีขยายของข้าวสุก วิธีขยายของเถาวัลย์ และวิธีขยายของผ้า พึงกะกำหนดประมาณแห่งนิมิตตามที่ได้มานั้นด้วยใจไว้ก่อนว่า ประมาณ 1 นิ้ว 2 นิ้ว 3 นิ้ว 4 นิ้ว โดยลำดับ แล้วจึงขยายไปเท่าที่กะกำหนดไว้ เหมือนอย่างชาวนากะกำหนดสถานที่ซึ่งจะไถด้วยไถไว้ก่อน แล้วจึงไถเนื้อที่ภายในที่กำหนดไว้ แหละอีกประการหนึ่ง เหมือนภิกษุสงฆ์จะผูกสีมา กำหนดนิมิตทั้งหลายไว้ก่อนแล้วจึง | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 257) | ||
- | |||
- | ผูกภายหลังฉะนั้น เมื่อไม่ได้กะกำหนดเสียก่อนแล้วอย่าเพิ่งขยาย ครั้นกะกำหนดขยายไปได้ขนาด 4 นิ้วแล้ว แต่นั้นพึงขยายออกไปด้วยกำหนดเอาชั่วคืบหนึ่ง ศอกหนึ่ง ชั่วหน้ามุขหนึ่ง บริเวณหนึ่ง ชั่ววัดหนึ่ง หรือชั่วเขตหมู่บ้านหนึ่ง ชั่วตำบลหนึ่ง ชั่วอำเภอหนึ่ง ชั่วจังหวัดหนึ่ง ชั่วประเทศหนึ่ง และชั่วมหาสมุทรหนึ่ง หรือพึงกำหนดขยายเขตออกไปชั่วจักรวาลหนึ่ง หรือแม้กว้างใหญ่ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นก็ได้ | ||
- | |||
- | '''เปรียบเหมือนลูกนกหงส์ | ||
- | ''' | ||
- | เหมือนอย่างลูกนกหงส์ประเภทที่มีกำลังเร็ว นับแต่เวลาที่ขนปีกทั้งหลายงอกขึ้นเต็มที่แล้ว มันฝึกบินโฉบขึ้นไปคราวละเล็กละน้อยก่อน ครั้นฝึกให้ชำนิชำนาญแล้วย่อมบินไปถึงที่ใกล้โลกพระจันทร์โลกพระอาทิตย์ก็ได้ตามลำดับ ฉันใด ภิกษุผู้ฌานลาภีก็ฉันเดียวกันนั่นเทียว คือ เมื่อกำหนดขยายนิมิตออกไปโดยนัยที่กล่าวแล้ว ย่อมขยายออกไปจนถึงจักรวาลหนึ่งเป็นกำหนด หรือแม้ขยายให้กว้างใหญ่ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ปฏิภาคนิมิตนั้นย่อมจะปรากฏแก่เธอในที่จะขยายไปแล้วขยายไปแล้วนั้นๆ เหมือนดั่งโคตัวผู้ที่ถูกเกี่ยวไว้ด้วยขอตั้งร้อยอัน ณ ตรงที่ดอนที่ลุ่มแห่งแผ่นดิน ตรงที่คดโค้งแห่งแม่น้ำ และตรงที่ลดหลั่นแห่งภูเขา | ||
- | |||
- | ===วสี 5=== | ||
- | ====ฝึกความชำนาญในฌาน 5 ประการ==== | ||
- | |||
- | |||
- | ก็แหละ โยคีบุคคลผู้แรกทำกัมมัฏฐาน ซึ่งได้บรรลุปฐมฌานในเพราะปฏิภาคนิมิตนั้น ต้องฝึกการเข้าฌานมาก ๆ แต่อย่าพิจารณาองค์ฌานให้มาก เพราะเมื่อพิจารณามากองค์ฌานทั้งหลายก็จะปรากฏเป็นสภาวะที่หยาบมีกำลังน้อย และเพราะเหตุที่ปรากฏด้วยอาการอย่างนั้น องค์ฌานเหล่านั้นก็จะถึงซึ่งความเป็นปัจจัยแก่ความขวนขวายเพื่อภาวนาเบื้องสูงขึ้นไปเสีย เมื่อเธอสาละวนขวนขวายอยู่ในฌานที่ยังไม่คล่องแคล่ว เธอก็จะเสื่อมจากปฐมฌานที่ได้บรรลุแล้วด้วย จะไม่สามารถเพื่อที่จะบรรลุซึ่งทุติยฌานด้วย | ||
- | |||
- | '''พระบาลีรับสมอ้าง | ||
- | ''' | ||
- | เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงเทศนาไว้ว่า – | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 258) | ||
- | |||
- | '''เปรียบเหมือนแม่โคโง่ไม่ชำนาญภูเขา | ||
- | ''' | ||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างแม่โคที่ชอบเที่ยวไปตามภูเขา ตัวที่โง่ไม่ชำนาญไม่รู้เขตที่หากิน ไม่ฉลาดเพื่อท่องเที่ยวไปตามภูเขาอันไม่เรียบราบ แม่โคนั้นจะพึงคิดอย่างนี้ว่า ทำอย่างไรหนอเราจะพึงไปทิศที่ยังไม่เคยไป ครั้นแล้วมันยังไม่ทันได้เหยียบเท้าหน้าไว้ให้ได้ที่ดีเสียก่อนแล้วยกเท้าหลังขึ้น มันก็จะไม่พึงไปถึงทิศที่ไม่เคยไป ไม่พึงได้กัดกินหญ้าที่ตนยังไม่เคยกัดกิน และยังไม่พึงได้ดื่มน้ำที่ตนยังไม่เคยดื่ม มิหนำซ้ำมันยังจะไม่พึงกลับคืนมาโดยสวัสดียังสถานที่เดิมที่มันยืนคิดอยู่ว่า ทำอย่างไรหนอ เราจะพึงไปถึงทิศที่ยังไม่เคยไป จะพึงได้กัดกินหญ้าที่ยังไม่เคยกัดกิน จะพึงได้ดื่มน้ำที่ยังไม่เคยดื่ม ฉะนี้ด้วย ข้อนั้นเพราะมีอะไรเป็นเหตุเล่า ? | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุว่า แม่โคที่ชอบเที่ยวไปตามภูเขานั้น มันโง่ มันไม่ชำนาญ มันไม่รู้จักเขตที่หากิน มันไม่ฉลาดเพื่อที่จะท่องเที่ยวไปตามภูเขานั้นอันไม่เรียบราบโดยแท้ ฉันใด | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ก็ฉันเดียวกันนั่นเทียว คือเป็นคนโง่เพราะไม่ได้ส้องเสพสมถนิมิต เป็นคนไม่ชำนาญ เพราะไม่ทำสมาธิให้เจริญขึ้น เป็นคนไม่รู้จักขอบเขต เพราะไม่หมั่นทำให้มาก และเป็นคนไม่ฉลาดเพื่อที่จะบรรลุซึ่งปฐมฌาน อันมีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดแต่ความสงัดอยู่ เพราะสงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย เพราะสงัดแล้วแล้วแน่นอนจากอกุศลธรรมทั้งหลาย | ||
- | |||
- | ภิกษุนั้น ไม่ได้ส้องเสพนิมิตนั้น ไม่ทำนิมิตนั้นให้เจริญขึ้น ไม่ทำให้มาก ๆ เข้า ไม่ทำให้ตั้งอยู่ด้วยดี ถึงเธอจะมีความคิดอย่างนี้ว่า ทำอย่างไรหนอ เราจะพึงบรรลุถึงซึ่ง ทุติยฌาน อันเป็นภายใน ประกอบด้วยความเลื่อมใสแห่งใจ มีภาวะที่ให้ธรรมอันประเสริฐเกิดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไปแล้ว มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ เธอก็ไม่สามารถเพื่อที่จะบรรลุถึงซึ่งทุติยฌาน……นั้นได้ ถึงเธอจะมีความคิดขึ้นอย่างนี้ว่า ทำอย่างไรหนอ เราจะพึงบรรลุถึงซึ่งปฐมฌาน อันมีวิตกมีวิจารมีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่ความสงัด เพราะสงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย เพราะสงัดแล้วแน่นอนจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เธอก็ไม่สามารถเพื่อที่จะบรรลุถึงซึ่งปฐมฌาน ….นั้นได้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 259) | ||
- | |||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรากล่าวว่าเป็นผู้พลัดตกเสียแล้วจากฌานทั้ง 2 เป็นผู้เสื่อมสูญแล้วจากฌานทั้ง 2 เปรียบเหมือนแม่โคที่ชอบเที่ยวไปตามภูเขา ซึ่งเป็นสัตว์โง่ไม่ชำนาญ ไม่รู้จักขอบเขตที่หากิน ไม่ฉลาดเพื่อที่ท่องเที่ยวไปตามภูเขาอันไม่ราบเรียบนั้น | ||
- | |||
- | เพราะเหตุฉะนี้ อันโยคีบุคคลนั้นจำต้องเป็นผู้สั่งสมวสีคือความสามารถด้วยอาการ 5 อย่าง ในปฐมฌานนั้นนั่นเทียวเสียก่อน | ||
- | |||
- | '''วสี 5 อย่าง | ||
- | ''' | ||
- | ในการสั่งสมวสีนั้น วสีมี 5 อย่างดังนั้นคือ – | ||
- | |||
- | 1. อาวัชชนวสี ความสามารถในการพิจารณาองค์ฌานด้วยมโนทวาราวัชชนจิต | ||
- | |||
- | 2. สมาปัชชนวสี ความสามารถในการเข้าฌาน | ||
- | |||
- | 3. อธิฏฺฐานวสี ความสามารถในการให้ฌานดำรงอยู่ตามกำหนด | ||
- | |||
- | 4. วุฏฺฐานวสี ความสาใมารถในการออกจากฌานตามกำหนด และ | ||
- | |||
- | 5. ปัจจเวกขณวสี ความสามารถในการพิจารณาองค์ฌานด้วยชวนจิต | ||
- | |||
- | ฌานลาภีบุคคล ย่อมสามารถพิจารณาปฐมฌาน ตามที่ตนปรารถนาตลอดเวลาที่ต้องการ และในการพิจารณานั้นไม่มีความชักช้าเฉื่อยชา ดังนั้นจึงเรียกว่า อาวัชชนวสี ความสามารถในการพิจารณาองค์ฌาน ฌานลาภีบุคคลย่อมสามารถเข้าปฐมฌานได้ตามที่ตนปรารถนาทุกครั้งตลอดเวลาที่ต้องการ และในการเข้านั้น ก็ไม่มีความชักช้า เฉื่อยชา ดังนั้นจึงชื่อว่า สมาปัชชนวสี ความสามารถในการเข้าฌาน แม้วสี 3 ที่เหลือ นักศึกษาก็พึงขยายความให้พิสดารโดยทำนองเดียวกันนี้ | ||
- | |||
- | '''อรรถาธิบายวสี 5 อย่าง | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ ในวสี 5 อย่างนั้น มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | '''1. อธิบาย อาวัชชนวสี | ||
- | ''' | ||
- | ขณะเมื่อฌานลาภีบุคคลออกจากปฐมฌานแล้ว พิจารณาถึงองค์ฌานที่ 1 คือ วิตกอยู่นั้น ชวนจิตทั้งหลายซึ่งมีวิตกเป็นอารมณ์นั่นแลย่อมแล่นไป บางบุคคลก็ 4 ขณะ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 260) | ||
- | |||
- | บางบุคคลก็ 5 ขณะ ต่อจากมโนทวาราวัชชนจิตที่ตัดภวังค์เกิดขึ้นนั้น ถัดนั้นภวังคจิตก็เกิดขึ้น 2 ขณะ ต่อจากภวังจิตนั้น มโนทวาวัชชนจิตมีวิจารเป็นอารมณ์ ก็เกิดขึ้นต่อไปอีก ชวนจิตทั้งหลายซึ่งมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล ก็เกิดขึ้นต่อจากมโนทวาราวัชชนะนั้น กาลใด ที่ฌานลาภีบุคคลสามารถส่งจิตไปพิจารณาในองค์ฌานทั้ง 5 ติดต่อกันดังกล่าวมานี้ กาลนั้น ชื่อว่า อาวัชชนวสี ย่อมสำเร็จแก่เธอ แหละอาวัชชนวสีที่กล่าวมานี้ ที่จัดเป็นวสีชั้นสูงถึงขั้นสุดยอด ย่อมมีได้แต่ในขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระยมกปาฏิหาริย์ หรือในขณะเป็นที่บังเกิดขึ้นแห่งอาวัชชนวสีอย่างฉับพลันของท่านพระธรรมเสนาบดีสารีปุตตะเป็นต้น นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว อาวัชชนวสีที่รวดเร็วฉับพลันเช่นนี้หามีไม่ | ||
- | |||
- | '''2. อธิบาย สมาปัชชนวสี | ||
- | ''' | ||
- | แหละความสามารถในการเข้าฌานได้อย่างฉับพลัน เหมือนในการที่ท่านมหาโมคคัลลานะทรมานพญานันโทปนันทนาคราช ชื่อว่า สมาปัชชนวสี | ||
- | |||
- | '''3. อธิบายอธิฏฐานวสี | ||
- | ''' | ||
- | ความสามารถเพื่อที่จะทำให้ฌานดำรงอยู่ได้ ชั่วขณะประมาณลัดนิ้วมือหนึ่ง หรือชั่วขณะประมาณ 10 ลัดนิ้วมือก็ดี ชื่อว่า อธิฏฐานวสี | ||
- | |||
- | '''4. อธิบาย วุฏฐานวสี | ||
- | ''' | ||
- | ความสามารถเพื่อที่จะออกจากฌานได้อย่างฉับพลัน ชั่วขณะประมาณลัดนิ้วมือหนึ่ง หรือชั่วขณะประมาณ 10 ลัดนิ้วมือก็ดี ชื่อว่า วุฏฐานวสี | ||
- | |||
- | การข่มภวังคจิตไว้ไม่ให้เกิดขึ้น เพื่อให้ฌานดำรงเป็นไปตามเวลาที่ต้องการเหมือนสะพานกั้นกระแสน้ำไม่ให้ไหลไปเร็ว ชื่อว่า อธิฏฐาน เมื่อภวังคจิตเกิดขึ้นแล้ว ก็ชื่อว่า วุฏฐาน คือการออกจากฌาน ความสามารถในอันให้ฌานดำรงอยู่ได้ คือไม่ให้ภวังคจิตเกิดด้วยอำนาจแห่งการบริกรรมเบื้องต้นว่า จักให้ฌานดำรงอยู่ชั่วขณะประมาณเท่านั้นเท่านี้ ชื่อว่า อธิฏฐานวสี ฉันใด ความสามารถในการออกจากฌานด้วยอำนาจบริกรรม | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 261) | ||
- | |||
- | เบื้องต้นว่า เราอยู่ในฌานจักออกจากฌานชั่วขณะประมาณเท่านั้น นักศึกษาพึงทราบว่าเป็น วุฏฐานวสี ฉันนั้น | ||
- | |||
- | เพื่อที่จะแสดงวสีทั้ง 2 คืออธิฏฐานวสีกับวุฏฐานวสีให้แจ่มแจ้ง ควรนำเรื่องพระพุทธรักขิตเถระมาเล่าประกอบด้วย ดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | '''เรื่องพระพุทธรักขิตเถระ | ||
- | ''' | ||
- | ได้ยินมาว่า ท่านพุทธรักขิตเถระนั้น จำเดิมแต่อุปสมบทมาได้ 8 พรรษาขณะที่ท่านนั่งอยู่ ณ ท่ามกลางพระเถระผู้ทรงฤทธิ์ทั้งหลายประมาณ 30 พันองค์ ซึ่งพากันมายังที่เยี่ยมไข้ของพระมหาโรหณคุตตเถระที่เถรัมพัตถลวิหาร ท่านได้เหลียวเห็นพระญาครุฑกำลังโฉบลงมาจากอากาศ ด้วยหมายว่าจักเฉี่ยวเอาพญานาคผู้อุปัฏฐาก ซึ่งกำลังถวายข้าวต้มแก่พระเถรอยู่ ท่านจึงนิรมิตภูเขาขึ้นในทันใดนั้น แล้วฉวยเอาพญานาคมาไว้ในระหว่างแขนแล้วไส่เข้าไปในหลืบภูเขาที่ท่านนิรมิตขึ้นนั้น ฝ่ายพญาครุฑกระทบเข้ากับภูเขาเข้าปังใหญ่แล้วก็บินหนีไป พระมหาโรหณคุตตเถระจึงได้พูดสรรเสริญว่า "อาวุโสทั้งหลาย ถ้ามิได้มีพระภิกษุพุทธรักขิตะแล้ว เราทั้งหมดจะถูกครหาว่า 'ผู้มีฤทธิ์มากมายถึงเพียงนี้ ไม่สามารถรักษาอุปัฏฐากเพียงคนเดียวให้รอดพ้นจากครุฑได้' ฉะนี้" | ||
- | |||
- | '''5. อธิบาย ปัจจเวกขณวสี | ||
- | ''' | ||
- | ส่วนปัจจเวกขณวสีนั้น เป็นอันข้าพเจ้าได้แสดงไว้แล้วในอาวัชชนวสีนั้นแล้วเพราะปัจจเวกขณชวนะ 4 หรือ 5 ขณะนั้น ย่อมเกิดขึ้นติดต่อมโนทวาราวัชชนะในวิถีจิตเดียวกันนั้น กล่าวคือ ชวนจิต 4 หรือ 5 ขณะเหล่าใดซึ่งเกิดขึ้นต่อจากมโนทวาราวัชชนจิตที่ทำหน้าที่พิจารณาองค์ฌานมีวิตกเป็นต้นไปตามลำดับโดยความเป็นอาวัชชนวสี ชวนจิตเหล่านั้น ก็ทำหน้าที่พิจารณาองค์ฌานเหล่านั้น โดยความเป็น ปัจจเวกขณวสี ด้วย นักศึกษาพึงทราบว่าความสำเร็จเป็นอาวัชชนวสีด้วยอารมณ์ใด ความสำเร็จเป็นปัจจเวกขณวสีก็ด้วยอารมณ์นั้น ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 262) | ||
- | |||
- | ==ได้ทุติยฌาน== | ||
- | |||
- | ก็แหละ โยคีบุคคลผู้มีวสีอันได้สั่งสมดีแล้วในวสี 5 ประการเหล่านี้ ออกจากปฐมฌานที่ทำให้คล่องแคล่วดีแล้ว แต่นั้นพิจารณาเห็นโทษในปฐมฌานนั้นว่า สมาบัตินี้ยังใกล้ต่อนิวรณ์อันเป็นข้าศึก เพราะเพิ่งละนิวรณ์ได้เป็นครั้งแรก และว่า สมาบัตินี้มีองค์อันทุรพลเพราะวิตกและวิจารเป็นสภาพที่หยาบ ฉะนี้แล้วพึงมนสิการถึง ทุติยฌาน โดยเป็นสภาพที่ละเอียด คลายความยินดีในปฐมฌานแล้วพึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุซึ่งทุติยฌานต่อไป | ||
- | |||
- | แหละการใด เมื่อโยคีบุคคลนั้นออกจากปฐมฌาน มีสติสัมปชัญญะพิจารณาถึงองค์ฌานอยู่นั้น วิตกและวิจารย่อมจะปรากฏโดยเป็นสภาพที่หยาบ ปีติ, สุข และเอกัคคตาย่อมจะปรากฏโดยเป็นสภาพที่ละเอียด กาลนั้น ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแล อย่างแล้ว ๆ เล่า ๆ ว่า ปถวี - ปถวี หรือ ดิน - ดิน ฉะนี้ เพื่อละเสียซึ่งองค์ฌานที่หยาบ และให้ได้มาซึ่งองค์ฌานที่ละเอียดอยู่นั้น มโนทวาราวัชชนจิต ทำปถวีกสิณนั้นนั่นแลให้เป็นอารมณ์ตัดภวังคจิตเกิดขึ้น เหมือนจะบอกให้รู้ว่า ทุติยฌานจักเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แล้ว ต่อแต่นั้น ชวนจิตก็จะแล่นไปในอารมณ์นั้นนั่นแหละ 4 ขณะบ้าง 5 ขณะบ้าง (ตามควรแก่โยคีที่เป็นติกขบุคคลและมันทบุคคล) บรรดาชวนจิตเหล่านั้น ดวงสุดท้าย 1 ดวงเป็น รูปาวจรกุศลจิตทุติยฌาน ดวงที่เหลือนอกนี้เป็น กามาวจรกุศลจิต เหมือนดังที่กล่าวมาแล้วในปฐมฌานนั้นทุกประการ | ||
- | |||
- | ===ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา=== | ||
- | ก็แหละ ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเท่านี้ เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | ||
- | |||
- | #วิตกและวิจารสงบไปแล้ว สมาธิภายใน จึงปลอดโปร่ง เหลือเพียงสมาธิอย่างเดียว ไม่เหลือวิตกและวิจาร เข้าทุติยฌานที่มีแค่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ (องค์ฌาน 3) | ||
- | #ละองค์ 2 และประกอบด้วยองค์ 3 | ||
- | #มีความงาม 3 และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10 | ||
- | #ได้บรรลุทุติยฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 263) | ||
- | |||
- | ====ส่วน 1 องค์ฌาน 3 (วิตกและวิจารสงบไปแล้ว เป็นต้น)==== | ||
- | ในคำว่า เพราะวิตกและวิจารสงบไป นั้น มีอรรถาธิบายว่า - เพราะองค์ฌานทั้ง 2 คือวิตกและวิจารนี้สงบไป คือ เพราะก้าวล่วงวิตกและวิจารทั้ง 2 ไป ได้แก่ เพราะไม่มีวิตกและวิจารทั้ง 2 ปรากฏในขณะแห่งทุติยฌาน | ||
- | |||
- | ในฌานทั้ง 2 นั้น ถึงแม้ว่าธรรมที่มีในปฐมฌานแม้ทุก ๆ อย่าง จะไม่มีในทุติยฌาน เพราะเจตสิกธรรมทั้งหลายเช่นผัสสะเป็นต้นในปฐมฌานก็เป็นอย่างหนึ่ง ในทุติยฌานนี้ก็เป็นอย่างหนึ่ง ก็ตาม แต่กระนั้น การบรรลุฌานอื่น ๆ จากปฐมฌานขึ้นไปเช่นทุติยฌานเป็นต้นย่อมมีได้เพราะผ่านองค์ฌานที่หยาบ ๆ ไป ดังนั้น นักศึกษาพึงทราบว่า เพื่อที่จะแสดงความหมายดังอธิบายมานี้ ท่านจึงกล่าวว่า เพราะวิตกและวิจารสงบไป ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบายเป็นภายใน | ||
- | ''' | ||
- | คำว่า เป็นภายใน ณ ที่นี้ หมายเอาภายในที่เกิดในตน ส่วนในคัมภีร์วิภังคปกรณ์ พุทธองค์ทรงแสดงไว้เพียงสั้น ๆ ว่า คำว่า เป็นภายใน คือเป็นไปเฉพาะตน และเพราะในคำว่า เป็นภายใน นี้ ประสงค์เอาภายในที่เกิดในตน ฉะนั้น จึงมีอรรถาธิบายว่า เกิดแล้วแก่ตนอย่างหนึ่ง บังเกิดในสันดานตนอย่างหนึ่ง ฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบาย สมฺปสาทนํ ประด้วยความเลื่อมใส | ||
- | ''' | ||
- | คำว่า ประกอบด้วยความเลื่อมใส นั้น มีอรรถาธิบายว่า – ศรัทธา เรียกว่า ความเลื่อมใส แม้ฌานก็เรียกว่าความเลื่อมใส เพราะประกอบด้วยความเลื่อมใส เหมือนที่เรียกว่า ผ้าเขียว เพราะประกอบด้วยสีเขียว ฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบาย สมฺปสาทนํ ทำจิตให้เลื่อมใส | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง เพราะฌานนั้นทำให้จิตเลื่อมใส โดยเหตุที่ประกอบด้วย ความเลื่อมใส และโดยเหตุที่สงบเสียได้ซึ่งความวุ่นวายเพราะวิตกและวิจาร ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สมฺปสาทนํ แปลว่า ทำให้จิตเลื่อมใส แหละในอรรถวิกัปนี้ พึงทราบถึงการ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 264) | ||
- | |||
- | เชื่อมบทเข้าด้วยกันอย่างนี้คือ สมฺปทาทนํ เจตโส แปลว่า ทำจิตให้เลื่อมใส ส่วนในอรรถวิกัปต้นต้องยกเอาบทว่า เจตโส ไปประกอบเข้ากับบทว่า เอโกทิภาวํ เป็น เจตโส เอโกทิภาวํ แปลว่า เป็นภาวะที่ให้สมาธิชั้นเอกเกิดขึ้นแก่ใจ | ||
- | |||
- | '''อธิบาย เอโกทิภาวํ | ||
- | ''' | ||
- | ในบทว่า เอโกทิภาวํ นั้น มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ - สมาธิใดเป็นเอกเกิดขึ้น ฉะนั้น สมาธินั้นชื่อว่า เอโกทิ แปลว่า เป็นเอกเกิดขึ้น อธิบายว่า เป็นธรรมล้ำเลิศ เป็นธรรมประเสริฐเกิดขึ้น เพราะไม่ถูกวิตกและวิจารขึ้นครอบงำ จริงอยู่ บุคคลรู้ประเสริฐ เขาก็เรียกกันว่าเป็นเอกในโลก หรือจะพูดว่า สมาธิเป็นเอกคือไม่มีเพื่อน เพราะเว้นจากวิตกและวิจาร ฉะนี้บ้างก็ได้ | ||
- | |||
- | อีกประการหนึ่ง สมาธิโดยยังสัมปยุตธรรมทั้งหลายให้เกิดขึ้น คือให้ตั้งขึ้น ฉะนั้น สมาธินั้นชื่อว่า อุทิ แปลว่า สภาพที่ยังสัมปยุตธรรมให้เกิดขึ้น สมาธิที่เป็นเอกเพราะอรรถว่าประเสริฐนั้นด้วย ทำให้สัมปยุตธรรมเกิดขึ้นด้วย ฉะนั้นจึงชื่อว่า เอโกทิ แปลว่า สมาธิชั้นเอกและทำให้สัมปยุตธรรมเกิดขึ้นได้ คำว่า เอโกทิ นี้เป็นชื่อของสมาธิ ทุติยฌานนี้ ชื่อว่า เอโกทิภาวํ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ทำสมาธิที่ชื่อว่าเอโกทินี้ให้เกิดขึ้น คือทำให้เจริญขึ้น ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | อนึ่ง เพราะสมาธิที่ชื่อว่า เอโกทิ นี้นั้น เป็นสมบัติของใจ มิใช่ของสัตว์ มิใช่ของชีวะ ฉะนั้นท่านจึงแสดงไว้ว่า เจตโส เอโกทิภาวํ ดังนี้ แปลว่า ทุติยฌานเป็นภาวะที่ทำสมาธิชื่อเอโกทิให้เจริญขึ้นแก่ใจ | ||
- | |||
- | ถาม - แม้ในปฐมฌาน ก็มีศรัทธานี้ด้วย มีสมาธิที่ชื่อว่าเอโกทินี้ด้วยแล้วใช่หรือเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านจึงกล่าวเฉพาะทุติยฌานนี้เท่านั้นว่า ทำจิตให้เลื่อมใส เป็นภาวะที่ทำสมาธิชื่อเอโกทิให้เจริญขึ้น ฉะนี้เล่า ? | ||
- | |||
- | ตอบ - ก็ปฐมฌานนั้นยังไม่ผ่องใสดีนัก โดยเหตุที่ยังวุ่นวายอยู่เพราะวิตกและวิจาร เปรียบเหมือนน้ำที่ถูกรบกวนอยู่ด้วยละลอกและลูกคลื่นฉะนั้น เพราะฉะนั้น ถึงแม้ศรัทธาจะมีอยู่ก็ตาม ท่านก็ไม่แสดงว่า สมฺปสาทนํ ทำจิตให้เลื่อมใส และเพราะเหตุที่ยัง | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 265) | ||
- | |||
- | ผ่องใสไม่ดีนั่นเอง แม้สมาธิในปฐมฌานนั้นจึงยังไม่เด่นชัดดี เพราะเหตุนั้น ท่านจึงไม่แสดงว่า เอโกทิภาวํ เป็นภาวะที่ทำสมาธิชื่อเอโกทิให้เจริญขึ้น | ||
- | |||
- | ส่วนในทุติยฌานนี้ ศรัทธาได้โอกาสและมีกำลังมาก เพราะเหตุไม่มีเครื่องกังวลคือวิตกและวิจารรบกวน และแม้สมาธิเล่าก็เด่นชัดเพราะเหตุที่ได้เพื่อนคือศรัทธาอันมีกำลัง เพราะฉะนั้น ท่านจึงแสดงเช่นนี้เฉพาะทุติยฌานนี้เท่านั้น นักศึกษาพึงเข้าใจความหมาย ฉะนี้ | ||
- | |||
- | ในส่วนคัมภีร์วิภังค์ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้เพียงว่า ความเชื่อ ความเชื่อฟัง ความหยั่งใจลงเชื่อ ความเลื่อมใสยิ่ง อันใด นี้ชื่อว่า ความเลื่อมใส ความตั้งอยู่แห่งจิต…….ความตั้งมั่นโดยชอบแห่งจิต อันใด นี้ชื่อว่า ภาวะที่ทำสมาธิ ชื่อเอโกทิให้เจริญขึ้นแก่จิต และการพรรณนาความนี้ย่อมไม่ผิดกับพระบาลีในคัมภีร์วิภังค์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้แล้วอย่างนั้น คือย่อมเทียบกันได้ ย่อมเข้ากันได้ด้วยประการใด นักศึกษาพึงทราบด้วยประการนั้นเทอญ | ||
- | |||
- | '''อธิบายไม่มีวิตกไม่มีวิจาร | ||
- | ''' | ||
- | คำว่า ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร นั้น มีอรรถาธิบายว่า - วิตกไม่มีในทุติยฌานนี้ หรือวิตกไม่มีแก่ทุติยฌานนี้ เพราะเหตุที่ละได้แล้วด้วยภาวนา เพราะเหตุนั้น ทุติยฌานนี้ จึงชื่อว่า อวิตกฺกํ แปลว่าไม่มีวิตก คำว่า วิจาร ก็มีอรรถวิเคราะห์โดยทำนองเดียวกันนี้แล | ||
- | |||
- | แม้ในคัมภีร์วิภังค์ พระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงไว้ว่า วิตกนี้ด้วย วิจารนี้ด้วย เป็นสภาพสงบแล้ว ระงับแล้ว สงบด้วยดีแล้ว ถึงภาวะที่ตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว ถึงภาวะที่ตั้งอยู่ไม่ได้แน่แล้ว ถึงภาวะที่พินาศไปแล้ว ถึงภาวะที่พินาศแน่แล้ว เหือดแห้งไปแล้ว เหือดแห้งแน่แล้ว ถูกทำให้หมดที่สุดแล้ว ฉะนี้ เพราะฉะนั้น ทุติยฌานนี้จึงเรียกว่า ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร | ||
- | |||
- | ในอธิการนี้ จะมีผู้กล่าวติงขึ้นว่า - แม้ด้วยคำว่า เพราะวิตกและวิจารสงบไป นี้ก็เป็นอันสำเร็จความหมายนี้แล้วมิใช่หรือ เออก็เหตุไฉนจึงทรงแสดงว่า ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร ฉะนี้ ซ้ำอีกเล่า ? | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 266) | ||
- | |||
- | ข้าพเจ้าจะวิสัชนาต่อไป- ข้อนี้เป็นอย่างนั้นจริง ความหมายนี้ก็สำเร็จแล้วจริงแต่คำว่า เพราะวิตกและวิจารสงบไป นี้ มิได้บ่งถึงความหมายที่ว่า ไม่มีวิตกและวิจาร นั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วไม่ใช่หรือว่า การบรรลุฌานขั้นอื่น ๆ จากปฐมฌานขึ้นไป เช่นทุติยฌานเป็นต้น ย่อมมีได้เพราะการผ่านองค์ฌานที่หยาบ ๆ ไป ดังนั้น เพื่อที่จะทรงแสดงความหมายดังอธิบายมานี้ จึงตรัสว่า เพราะวิตกและวิจารสงบไป ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | อีกประการหนึ่ง คำว่า เพราะวิตกและวิจารสงบไป นี้ เป็นเครื่องแสดงถึงเหตุแห่งความเลื่อมใสและภาวะที่ทำสมาธิชั้นเอกให้เจริญขึ้นของทุติยฌานอย่างนี้ว่า ทุติยฌานนี้ ชื่อว่าประกอบด้วยความเลื่อมใส เพราะเหตุที่วิตกและวิจารสงบไป มิใช่เพราะเหตุที่กิเลสซึ่งเกิดฟุ้งขึ้นตามกาลสงบไป และที่ชื่อว่า เป็นภาวะที่ทำสมาธิชั้นเอกให้เจริญขึ้น เพราะเหตุที่วิตกและวิจารสงบไป มิใช่เพราะเหตุที่ประหานนิวรณ์เหมือนอุปจารฌาน และมิใช่เพราะเหตุที่องค์ฌานปรากฏเด่นชัดเหมือนปฐมฌาน | ||
- | |||
- | และอีกอย่างหนึ่ง เป็นเครื่องแสดงถึงเหตุภาวะที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจารอย่างนี้ว่า ทุติยฌานนี้ ชื่อว่าไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เพราะเหตุที่วิตกและวิจารสงบไป มิใช่เพราะเหตุที่วิตกวิจารไม่มีมาแต่เดิม เหมือนอย่างตติยฌานและจตุถฌาน และเหมือนอย่างทวิปัญญจวิญญาน เช่นจักขุวิญญานเป็นต้น แต่ไม่ใช่เป็นเครื่องแสดงถึงแต่เพียงสักว่าความไม่มีแห่งวิตกและวิจาร ส่วนคำว่า ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร นี้ เป็นเครื่องแสดงถึงแต่เพียงสักว่าความไม่มีแห่งวิตกและวิจารเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะได้ทรงแสดงมาแล้วตอนต้นว่า เพราะวิตกและวิจารสงบไป ก็จำที่จะต้องทรงแสดงว่า ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ซ้ำอีกนั่นเทียว | ||
- | |||
- | '''อธิบายบทว่า สมาธิชํ (เกิดแต่สมาธิ) เป็นต้น''' | ||
- | |||
- | คำว่า '''สมาธิชํ (เกิดจากสมาธิ)''' อธิบายว่า ฌานจิตตุปบาททั้งที่เกิดจากปฐมฌานสมาธิหรือที่เกิดจากทุติยฌานสัมปยุตตสมาธิ ก็ล้วนเกิดจากสมาธิ. ใน 2 อย่างนั้น แม้ปฐมฌานจิตตุปบาทที่เกิดจากปฐมฌานสัมปยุตสมาธิจะมีอยู่ก็จริง, แต่ทุติยฌานสมาธิ(ที่ทำให้เกิดทุติยฌานจิตตุปบาท)นี่เองที่เรียกว่าสมาธิได้เต็มที่ เพราะไม่หวั่นไหวเกินไป และมีความปลอดโปร่งเป็นอย่างดีเนื่องจากไม่มีวิตกวิจารแล้วนั่นเอง, ดังนั้น จึงตรัสคำว่า "สมาธิชํ (เกิดแต่สมาธิ)" ไว้ในทุติยฌานจิตตุปบาทนี้เท่านั้น เพื่อกล่าวยกย่องสมาธิของทุติยฌานจิตตุปบาทด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้. | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 267) | ||
- | |||
- | คำว่า ปีติและสุข นั้น มีนัยดังพรรณนามาแล้วในปฐมฌานนั่นเทียว | ||
- | |||
- | คำว่า ฌานที่ 2 อธิบายว่า ที่ชื่อว่า 2 เพราะเป็นลำดับแห่งการคำนวณฌานนี้ชื่อว่าเป็นที่ 2 เพราะเหตุที่โยคีบุคคลย่อมเข้าเป็นอันดับที่ 2 ดังนี้ก็ได้ ฌานนี้เกิดขึ้นเป็นอันดับที่ 2 แม้เพราะเหตุนั้นจึงกล่าวว่า ฌานที่ 2 ดังนี้ก็ได้ | ||
- | |||
- | ====ส่วน 2 ละองค์ 2 และประกอบด้วยองค์ 3==== | ||
- | |||
- | ก็แหละ ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วว่า ทุติยฌานละองค์ 2 ประกอบด้วยองค์ 3 นั้น มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ – | ||
- | |||
- | ที่ว่า ทุติยฌานละองค์ 2 นั้น นักศึกษาพึงทราบด้วยอำนาจแห่งการละซึ่ง วิตก 1 วิจาร 1 แหละโยคีบุคคลย่อมละนิวรณ์ทั้งหลายในขณะอุปจาระของปฐมฌาน ฉันใดหาได้ละวิตก และวิจารในขณะอุปจาระของทุติยฌานนี้เหมือนอย่างนั้นไม่ แต่ทุติยฌานนี้ย่อมเกิดโดยปราศจากวิตกและวิจารทั้ง 2 ในขณะแห่งอัปปนานั่นเทียว ด้วยเหตุนั้น วิตกและวิจารทั้ง 2 นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นองค์สำหรับละของทุติยฌานนั้น | ||
- | |||
- | '''อธิบาย ทุติยฌานประกอบด้วยองค์ 3 | ||
- | ''' | ||
- | ส่วนที่ว่า ทุติยฌานประกอบด้วยองค์ 3 นั้น นักศึกษาพึงทราบด้วยอำนาจความเกิดขึ้นแห่งองค์ 3 เหล่านี้ คือ ปีติ 1 สุข 1 จิตเตกัคคตา 1 เพราะฉะนั้น พระพุทธวจนะใดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ในคัมภีร์วิภังค์ว่า คำว่า ฌาน ได้แก่ ความเลื่อมใส, ความเอิบอิ่ม, ความสุข, และภาวะที่จิตมีอารมณ์อันเดียว ดังนี้ พระพุทธวจนะนั้น พระพุทธองค์ทรงเทศนาไว้โดยอ้อม เพื่อจะทรงชี้ถึงฌานพร้องทั้งเครื่องปรุงแต่งด้วย แต่เมื่อว่าโดยตรงแล้ว ทุติยฌานนี้ย่อมประกอบด้วยองค์ 3 เท่านั้น ด้วยอำนาจแห่งองค์ที่ถึงซึ่งลักษณะที่เพ่งได้ โดยยกเว้นความเลื่อมใสเสีย สมดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ฌานที่ประกอบด้วยองค์ 3 นั้น คือ ปีติ 1 สุข 1 จิตเตกัคคตา 1 ฉะนี้ | ||
- | |||
- | คำที่เหลือ[[#ส่วน 3 มีความงาม 3 และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10|มีนัยดังพรรณนามาแล้ว]]ในปฐมฌานนั่นแล | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 268) | ||
- | |||
- | ==ได้ตติยฌาน== | ||
- | |||
- | ก็แหละ ครั้นได้บรรลุทุติยฌานแม้นั้นด้วยประการฉะนี้แล้ว โยคีบุคคลผู้มีวสีอันได้สั่งสมดีแล้วด้วยอาการ 5 อย่าง โดยนัยที่กล่าวแล้วในปฐมฌานนั่นแล ออกจากทุติยฌานที่คล่องแคล่วดีแล้ว แต่นั้นพิจารณาเห็นโทษในทุติยฌานนั้นว่า สมาบัตินี้ ยังใกล้ต่อวิตกและวิจารอันเป็นข้าศึก และว่า สมาบัตินี้มีองค์อันทุรพล เพราะเป็นสภาพที่หยาบด้วยปีติที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ปีติในทุติยฌานนั้นใดทำใจให้กำเริบ ทุติยฌานนั้นจึงปรากฏเป็นสภาพที่หยาบเพราะปีตินั้น ฉะนี้แล้ว พึงมนสิการถึงตติยฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด คลายความยินดีในทุติยฌานแล้ว พึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุซึ่งตติยฌานต่อไป | ||
- | |||
- | แหละกาลใด เมื่อโยคีบุคคลออกจากทุติยฌานแล้ว มีสติมีสัมปชัญญะพิจารณาองค์ฌานอยู่นั้น ปีติก็จะปรากฏโดยเป็นสภาพที่หยาบ สุขกับเอกัคคตาจะปรากฏเป็นสภาพที่ละเอียด กาลนั้น ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแล อย่างแล้ว ๆ เล่า ๆ ว่า ปถวี – ปถวี หรือ ดิน - ดิน เพื่อละเสียซึ่งองค์ฌานที่หยาบและให้ได้มาซึ่งองค์ฌานที่ละเอียดอยู่นั้น มโนทวาราวัชชนจิต ก็จะตัดภวังคจิตเกิดขึ้น เหมือนจะเตือนให้รู้ว่า ตติยฌาน จักเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แล้ว ถัดนั้น ในอารมณ์ปถวีกสิณนั้นนั่นแล ชวนจิตก็แล่นไป 4 ขณะบ้าง 5 ขณะบ้าง (ตามควรแก่โยคีบุคคลที่เป็นติกขบุคคลและมันทบุคคล) บรรดาชวนจิต 4 หรือ 5 ขณะนั้น ดวงหนึ่ง สุดท้ายเขาเป็น รูปาวจรกุศลจิตขั้นตติยฌาน ส่วน 3 หรือ 4 ดวงที่เหลือข้างต้นเป็น กามาวจรกุศลจิต ตามนัยที่กล่าวแล้วในทุติยฌานนั่นแล | ||
- | |||
- | ===ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา=== | ||
- | ก็แหละ ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเท่านี้ เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | ||
- | |||
- | #ละปีติได้ อยู่อย่างมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเป็นผู้เสวยสุขอยู่ด้วยนามกายที่พระอริยเจ้าสรรเสริญว่า "เป็นผู้มีอุเบกขามีสติเสวยสุขอยู่" เข้าตติยฌานอยู่ (องค์ฌาน 2) | ||
- | #ละองค์ 1 และประกอบด้วยองค์ 2 | ||
- | #มีความงาม 3 และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10 | ||
- | #ได้บรรลุตติยฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 269) | ||
- | |||
- | ====ส่วน 1 องค์ฌาน 2 (ละปีติได้ อยู่อย่างมีอุเบกขา เป็นต้น)==== | ||
- | |||
- | '''อธิบาย เพราะก้าวล่วงซึ่งปีติ | ||
- | ''' | ||
- | บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า เพราะก้าวล่วงซึ่งปีติ มีอรรถาธิบายดังนี้ - ความเบื่อหน่าย หรือความก้าวล่วงซึ่งปีติอันมีประการดังกล่าวแล้ว ชื่อว่า วิราคะ แปลว่า ความก้าวล่วงปีติ ส่วน จ ศัพท์ระหว่างบททั้ง 2 คือ ปีติยา จ วิราคา หมายความว่า รวบรวม กล่าวคือ จ ศัพท์นั้นรวบรวมเอาซึ่งความสงบ หรือซึ่งความสงบไปแห่งวิตกและวิจาร ใน 2 อย่างนั้น คราวใด จ ศัพท์ รวมเอาความสงบแต่อย่างเดียว คราวนั้นนักศึกษาพึงทราบการเรียงเข้าประโยคดังนี้ ปีติยา จ วิราคา กิญฺจ ภิยฺโย วูปสมา จ แปลว่า เพราะเบื่อหน่ายปีติ และเพราะความสงบโดยยิ่ง ๆ ขึ้นไป และในการเรียงประโยคเช่นนี้ วิราค ศัพท์ แปลว่า ความเบื่อหน่าย เพราะฉะนั้นพึงทราบความหมายว่า เพราะเบื่อหน่ายปีติและความสงบ ฉะนี้ | ||
- | |||
- | แต่คราวใด จ ศัพท์ รวมเอาความสงบแห่งวิตกและวิจารด้วย คราวนั้น นักศึกษาพึงทราบการเรียงเข้าประโยคดังนี้ ปีติยา จ วิราคา, กิญฺจ ภิยฺโย วิตกฺกวิจารานญฺจ วูปสมา ซึ่งแปลว่า เพราะก้าวล่วงปีติไป และเพราะความสงบแห่งวิตกและวิจารโดยยิ่ง ๆ ขึ้นไป และในการเรียงเข้าประโยคเช่นนี้ วิราค ศัพท์ แปลว่าก้าวล่วง เพราะฉะนั้น พึงทราบความหมายว่า เพราะก้าวล่วงปีติไปและเพราะความสงบแห่งวิตกและวิจาร ฉะนี้ | ||
- | |||
- | ถึงวิตกและวิจารทั้ง 2 นี้ได้สงบไปแล้วแต่ในทุติยฌานนั้นก็จริง แต่ที่ท่านนำมาแสดงไว้อีกก็เพื่อที่จะประกาศแนวทางอันเป็นอุบายของตติยฌานนี้ และเพื่อจะสรรเสริญคุณของตติยฌานนี้ จริงทีเดียว เมื่อพรรณนาว่า เพราะความสงบไปแห่งวิตกและวิจาร ฉะนี้ ตติยฌานนี้ย่อมปรากฏเด่นชัด ความสงบไปแห่งวิตกและวิจาร จึงเป็นแนวทางของตติยฌานนี้อย่างแน่นอน เหมือนอย่างในอริยมรรคที่ 3 (อนาคามิมรรค) ท่านพรรณนาถึงการประหานสัญโญชน์ทั้งหลายแม้ที่ไม่ได้ประหานมีสักกายทิฏฐิเป็นต้นว่า เพราะประหานสัญโญชน์เบื้องต่ำ 5 ประการ ฉะนี้ ก็เป็นการสรรเสริญคุณอริยมรรคที่ 3 นั้น คือ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 270) | ||
- | |||
- | เป็นการยังความอุตสาหะให้เกิดแก่ผู้ขวนขวายเพื่อจะบรรลุอริยมรรคที่ 3 นั้น ฉันใด ความสงบไปแห่งวิตกและวิจารแม้ที่ไม่ได้สงบ ซึ่งท่านพรรณนาในตติยฌานนี้ ก็เป็นอันสรรเสริญคุณแห่งตติยฌานนี้ฉันนั้นเหมือนกัน ด้วยเหตุนั้น จึงได้ทรงแสดงความหมายว่า เพราะการก้าวล่วงปีติไปและเพราะความสงบไปแห่งวิตกและวิจาร ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบาย เป็นผู้เห็นเสมอกันอยู่ | ||
- | ''' | ||
- | ในคำว่า เป็นผู้เห็นเสมอกันอยู่ นี้ มีอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ - ธรรมชาติใดย่อมเห็นโดยกำเนิด คือเห็นเสมอกัน เห็นไม่ตกไปในฝ่าย ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า อุเปกฺขา โยคีบุคคลผู้เข้าอยู่ในตติยฌาน เรียกว่า อุเปกฺขโก ผู้เห็นเสมอกัน เพราะประกอบด้วยอุเบกขานั้น อันบริสุทธิ์ อันยิ่งใหญ่ ถึงซึ่งความมั่นคง | ||
- | |||
- | =====อุเบกขา 10===== | ||
- | |||
- | ก็แหละ อุเบกขานั้นมี 10 ประการ คือ | ||
- | |||
- | 1. ฉฬังคุเปกขา อุเบกขาประกอบด้วยองค์ 6 | ||
- | |||
- | 2. พรหมวิหารุเปกขา อุเบกขาพรหมวิหาร | ||
- | |||
- | 3. โพชฌังคุเปกขา อุเบกขาสัมโพชฌงค์ | ||
- | |||
- | 4. วีริยุเปกขา อุเบกขาคือวิรียะ | ||
- | |||
- | 5. สังขารุเปกขา อุเบกขาในสังขาร | ||
- | |||
- | 6. เวทนูเปกขา อุเบกขาเวทนา | ||
- | |||
- | 7. วิปัสสนูเปกขา อุเบกขาในวิปัสสนา | ||
- | |||
- | 8. ตัตรมัชฌัตตุเปกขา อุเบกขาเจตสิก | ||
- | |||
- | 9. ฌานุเปกขา อุเบกขาในฌาน และ | ||
- | |||
- | 10. ปาริสุทธุเปกขา อุเบกขาบริสุทธิ์จากข้าศึก | ||
- | |||
- | '''1. อธิบาย ฉฬังคุเปกขา | ||
- | ''' | ||
- | ในอุเบกขา 10 ประการนั้น อุเบกขาของพระขีณาสพอันใด คืออาการที่ไม่ละปกติ ภาวะอันบริสุทธิ์ ในคลองแห่งอารมณ์ 6 ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ในทวาร | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 271) | ||
- | |||
- | ทัง 6 ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้เป็นพระอรหันตขีณาสพในศาสนานี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมไม่ดีใจ ย่อมไม่เสียใจ เป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะเห็นเสมอกันอยู่ อุเบกขานี้ชื่อว่า ฉฬังคุเปกขา | ||
- | |||
- | '''2. อธิบาย พรหมวิหารุเปกขา | ||
- | ''' | ||
- | อุเบกขาอันใด คืออาการอันเป็นกลาง ๆ ในสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า ภิกษุมีจิตประกอบด้วยอุเบกขาแผ่ไปทางทิศหนึ่งอยู่ อุเบกขานี้ชื่อว่า พรหมวิหารุเปกขา | ||
- | |||
- | '''3. อธิบาย โพชฌังคุเปกขา | ||
- | ''' | ||
- | อุเบกขาอันใด คืออาการอันเป็นกลาง ๆ ในสหชาตธรรมทั้งหลาย ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า ภิกษุย่อมยังอุเบกขาสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อันอาศัยนิพพานให้เกิดขึ้น อุเบกขานี้ชื่อว่า โพชฌังคุเปกขา | ||
- | |||
- | '''4. อธิบาย วีริยุเปกขา | ||
- | ''' | ||
- | อุเบกขาอันใด กล่าวคือความเพียรที่ไม่ตึงเครียดเกินไป และที่ไม่หย่อนยานเกินไป ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้โยคีบุคคล ย่อมมนสิการถึงอุเบกขานิมิตตลอดกาลโดยกาล อุเบกขานี้ชื่อว่า วีริยุเปกขา | ||
- | |||
- | '''5. อธิบาย สังขารุเปกขา | ||
- | ''' | ||
- | อุเบกขาอันใด ที่พิจารณาข้าศึกมีนิวรณ์เป็นต้นโดยสภาวะแล้วจึงลงความเห็น ซึ่งมีอาการเป็นกลาง ๆ ในการยึดถือสังขาร อันมาแล้วอย่างนี้ว่า สังขารุเปกขาทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งสมถะมีเท่าไร ? สังขารุเปกขาทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนามีเท่าไร ? สังขารุเปกขาทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะมี 8 สังขารุเปกขาเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนามี 10 อุเบกขานี้ชื่อว่า สังขารุเปกขา | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 272) | ||
- | |||
- | '''6. อธิบาย เวทนูเปกขา | ||
- | ''' | ||
- | อุเบกขาอันใด ที่รู้สึกไม่ทุกข์ไม่สุข (คือเฉย ๆ) ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า สมัยใดกามาวจรกุศลจิตอันประกอบด้วยอุเบกขาเวทนาเกิดขึ้น อุเบกขานี้ชื่อว่า เวทนูเปกขา | ||
- | |||
- | '''7. อธิบาย วิปัสสนูเปกขา | ||
- | ''' | ||
- | อุเบกขาอันใด คือความเป็นกลาง ๆ ในการพิจารณา ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า ขันธ์ 5 ใดมีอยู่ ขันธ์ 5 ใดปรากฏชัด โยคีบุคคลย่อมละขันธ์ 5 นั้น ย่อมได้อุเบกขาในขันธ์ 5 นั้น อุเบกขานี้ชื่อว่า วิปัสสนูเปกขา | ||
- | |||
- | '''8. อธิบาย ตัตรมัชฌัตตุเปกขา | ||
- | ''' | ||
- | อุเบกขาอันใด ที่ยังสหชาตธรรมทั้งหลายให้เป็นไปเสมอกัน ซึ่งมาแล้วในเยวาปนกธรรมทั้งหลายมีฉันทะเป็นต้น อุเบกขานี้ชื่อว่า ตัตรมัชฌัตตุเปกขา | ||
- | |||
- | '''9. อธิบาย ฌานุเปกขา | ||
- | ''' | ||
- | อุเบกขาอันใด ที่ไม่ให้เกิดความเอนเอียงไปในฝ่าย แม้ในฝ่ายสุขอันเลิศนั้นก็ตาม ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า และเป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะเห็นเสมอกันอยู่ อุเบกขานี้ชื่อว่า ฌานุเปกขา | ||
- | |||
- | '''10. อธิบาย ปาริสุทธุเปกขา | ||
- | ''' | ||
- | แหละอุเบกขาอันใดที่บริสุทธิ์จากข้าศึกทั้งปวงมีนิวรณ์และวิตกวิจารเป็นต้น มีอันไม่ขวนขวายแม้ในการสงบแห่งธรรมอันเป็นข้าศึก เพราะธรรมอันเป็นข้าศึกเหล่านั้นสงบไปแล้ว ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า จตุตถฌาน อันมีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา อุเบกขานี้ชื่อว่า ปาริสุทธุเปกขา | ||
- | |||
- | '''อุเบกขา 6 ความหมายเหมือนกัน | ||
- | ''' | ||
- | ในบรรดาอุเบกขา 10 ประการนั้น อุเบกขา 6 ประการเหล่านี้คือ ฉฬังคุเบกขา 1 พรหมวิหารุเบกขา 1 โพชฌังคุเบกขา 1 ตัตรมัชฌัตตุเบกขา 1 ฌานุเบกขา 1 และปาริ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 273) | ||
- | |||
- | สุทธุเบกขา 1 โดยใจความเป็นอย่างเดียวกัน คือเป็นตัตรมัชฌัตตุเบกขานั่นเอง แต่ความต่างกันแห่งอุเบกขานั้นนี้ ย่อมมีด้วยความต่างแห่งอวัตถานนั้น ๆ เช่นเดียวกับความต่างกันแม้แห่งบุคคลคนเดียว ย่อมมีได้ด้วยอำนาจแห่งความเป็นเด็ก, เป็นหนุ่ม, เป็นผู้ใหญ่, เป็นเสนาบดี และเป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นต้น เพราะเหตุนั้นนักศึกษาพึงทราบว่า ในบรรดาอุเบกขา 6 ประการนั้น ฉฬังคุเบกขามี ณ ที่ใด ณ ที่นั้นย่อมไม่มีโพชฌังคุเบกขาเป็นต้น แหละหรือ โพชฌังคุเบกขา มี ณ ที่ใด ณ ที่นั้นย่อมไม่มีฉฬังคุเบกขาเป็นต้น | ||
- | |||
- | '''อุเบกขา 2 ความหมายเหมือนกัน | ||
- | ''' | ||
- | แหละอุเบกขา 6 ประการนี้ โดยความหมายเป็นอย่างเดียวกัน ฉันใด แม้สังขารุเบกขากับวิปัสสนูเบกขา โดยความหมายก็เป็นอย่างเดียวกัน ฉันนั้นจริงอยู่ อุเบกขานั้น ก็คือปัญญานั่นเอง ที่แบ่งออกเป็น 2 ประการ ด้วยอำนาจทำหน้าที่ต่างกัน เปรียบเหมือนบุรุษถือเอาไม้เท้าแพะแล้วค้นหางู ซึ่งเลื้อยเข้าไปในเรือนในเวลาเย็น ๆ ไปพบงูนั้นนอนซ่อนอยู่ในลังแกลบ ใคร่ครวญอยู่ว่าจะเป็นงูหรือมิใช่หนอ ครั้นเห็นลายดอกจัน 3 แฉกแล้วก็หมดสงสัย แต่นั้นย่อมเกิดความเป็นกลาง ๆ ในการพิจารณาที่ว่าจะเป็นงูหรือมิใช่งูนั้นฉันใด เมื่อโยคีบุคคลผู้เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่นั้น เห็นลักษณะทั้งสามของสังขารด้วยวิปัสสนาฌานแล้ว ความเป็นเฉย ๆ ในการพิจารณาว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้น ฉันนั้น ความเป็นเฉย ๆ นี้ชื่อว่า สังขารุเบกขา | ||
- | |||
- | แหละเมื่อบุรุษนั้น ใช้ไม้เท้าแพะกดงูไว้อย่างแน่นแล้ว ค้นคิดหาวิธีการที่จะปล่อยงูอยู่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะไม่เบียดเบียนงูนี้ให้ลำบากด้วย ไม่ให้มันกัดตัวเราด้วย แล้วปล่อยมันไปฉะนี้ ความเฉย ๆ ในการกดงูไว้นั้น ย่อมมี ฉันใด เมื่อโยคีบุคคลผู้เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่นั้น เห็นภพทั้งสามเป็นเหมือนถูกไฟเผา เพราะได้เห็นลักษณะทั้งสามของสังขาร ย่อมเกิดความเห็นเฉย ๆ ในการยึดถือสังขาร ฉันนั้นเหมือนกัน ความเห็นเฉย ๆ นี้ชื่อว่า สังขารุเบกขา | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 274) | ||
- | |||
- | ด้วยประการฉะนี้ เมื่อ วิปัสสนูเบกขา สำเร็จแล้ว แม้ สังขารุเบกขา ก็ย่อมเป็นอันสำเร็จแล้วเหมือนกัน และอุเบกขานี้แบ่งออกเป็น 2 ประการ ด้วยการทำหน้าที่ คือความเฉย ๆ ในการพิจารณาและการยึดถือ ดังพรรณนามานี้ | ||
- | |||
- | '''อุเบกขา 2 ความหมายต่างกัน | ||
- | ''' | ||
- | ส่วน วีริยุเบกขา กับ เวทนูเบกขา 2 อย่างนี้ โดยความหมาย ต่างกันเองด้วย ต่างจากอุเบกขาทั้งหลายที่เหลือด้วย | ||
- | |||
- | อุเบกขาที่ประสงค์ ณ ที่นี้ | ||
- | |||
- | บรรดาอุเบกขา 10 ประการนั้น ณ ที่นี้ประสงค์เอา ฌานุเบกขา เท่านั้น ฌานุเบกขานั้น มีความเป็นกลาง ๆ เป็นลักษณะ มีความไม่ห่วงใยเป็นรส มีความไม่ขวนขวายเป็นอาการปรากฏ มีความสร่างหายไปแห่งปีติเป็นปทัฏฐาน | ||
- | |||
- | หากจะมีผู้ท้วงติงว่า - ก็แหละ ฌานุเบกขา นี้ โดยความหมาย ก็คือ ตัตรมัชฌัตตุเบกขา นั่นเอง และตัตรมัชฌัตตุเบกขานั้นย่อมมีมาแม้แต่ในปฐมฌานและทุติยฌานแล้ว เพราะเหตุนั้น แม้ในปฐมฌานและทุติยฌานนั้น ก็ควรที่ต้องแสดงฌานุเบกขานี้ไว้ด้วยคำว่า อุเปกฺขโก จ วิหรติ ซึ่งแปลว่า เป็นผู้เห็นเสมอกันอยู่ แต่เหตุไฉน จึงไม่ทรงแสดง ฌานุเบกขา นั้นไว้เล่า ? | ||
- | |||
- | ข้าพเจ้าขอแถลงแก้ว่า - ที่ท่านไม่แสดง ฌานุเบกขา ไว้ในปฐมฌานและทุติยฌานนั้น เพราะฌานุเบกขายังไม่มีหน้าที่ปรากฏ จริงอยู่ หน้าที่ของฌานุเบกขาในปฐมฌานและทุติยฌานนั้นยังไม่ปรากฏ เพราะถูกข้าศึกทั้งหลายมีวิตกเป็นต้นกันท่าไว้ แต่ในตติยฌานนี้ ฌานุเบกขานี้เกิดมีหน้าที่ปรากฏชัด เป็นเสมือนโงศรีษะขึ้นมาแล้ว เพราะไม่มีวิตกและวิจารกันท่าแล้ว เพราะเหตุนั้น จึงทรงแสดงไว้ | ||
- | |||
- | อรรถาธิบายอย่างสิ้นเชิง ของคำว่า เป็นผู้เห็นเสมอกันอยู่ | ||
- | |||
- | ยุติด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบาย ผู้มีสติมีสัมปชัญญะ | ||
- | ''' | ||
- | บัดนี้ จะอรรถาธิบายในคำว่า เป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะ ต่อไป - บุคคลใดย่อมระลึกได้ ฉะนั้น บุคคลนั้น ชื่อว่า ผู้ระลึกได้ คือผู้มีสติ บุคคลใดย่อมรู้โดยชอบ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 275) | ||
- | |||
- | ฉะนั้น บุคคลนั้นชื่อว่า ผู้รู้โดยชอบ คือผู้มีสัมปชัญญะ พึงทราบว่า ท่านแสดงสติและสัมปชัญญะด้วยบุคคลาธิษฐาน | ||
- | |||
- | ในสติและสัมปชัญญะนั้น สติ มีความระลึกได้เป็นลักษณะ มีความไม่ลืมเป็นรส มีความอารักขาเป็นอาการปรากฏ สัมปชัญญะ มีความไม่หลงเป็นลักษณะ มีความไตร่ตรองเป็นรส มีความส่องเห็นเป็นอาการปรากฏ | ||
- | |||
- | '''จำปรารถนาสติและสัมปชัญญะ | ||
- | ''' | ||
- | ในฌานเหล่านั้น ถึงแม้สติและสัมปชัญญะนี้จะมีมาแต่ในฌานต้น ๆ แล้วก็ตาม เพราะเหตุที่โยคีบุคคลเผลอสติไม่มีสัมปชัญญะนั้น แม้เพียงขั้นอุปจารฌานก็สำเร็จไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงขั้นอัปปนาฌานกันละ แต่กระนั้น การดำเนินไปของจิตก็เป็นความสะดวกสบาย เพราะฌานเหล่านั้นเป็นสภาพที่หยาบ เปรียบเหมือนการเดินไปบนพื้นแผ่นดินของบุรุษ และหน้าที่ของสติและสัมปชัญญะในฌานต้น ๆ นั้น ก็ยังไม่ปรากฏ ส่วนฌานนี้เพราะเป็นสภาพที่ละเอียด โดยเหตุที่ละองค์ฌานที่หยาบแล้ว จึงจำต้องปรารถนาการดำเนินไปของจิตที่มีสติและสัมปชัญญะ ทำหน้าที่ประคับประคองนั่นเทียว เปรียบเหมือนการเดินไปในคมมีดของบุรุษ เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงคำว่า เป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะ ไว้แต่ในตติยฌานนี้เท่านั้น | ||
- | |||
- | '''เปรียบสุขเหมือนลูกโคติดแม่ | ||
- | ''' | ||
- | พึงทราบอรรถาธิบายยิ่งขึ้นไปอีกสักเล็กน้อย เหมือนอย่างลูกโคที่ยังติดแม่โคนมอยู่ ถึงจะถูกพรากไปจากแม่โคนมแล้ว เมื่อไม่คอยระวังรักษาไว้ให้ดี มันก็จะวิ่งเข้าไปหาแม่โคนมอีกโดยทันที ฉันใด อันสุขในตติยฌานนี้ก็เหมือนกัน อันโยคีบุคคลพรากออกจากปีติแล้ว เมื่อไม่ได้รักษาไว้เป็นอย่างดีด้วยเครื่องอารักขาคือสติและสัมปชัญญะแล้ว มันก็จะพึงกลับเข้าไปหาปีติอีกโดยทันที คือพึงประกอบกับปีตินั่นเทียว ฉันนั้น | ||
- | |||
- | อีกประการหนึ่ง ถึงแม้ว่าสัตว์ทั้งหลายจะกำหนัดยินดีนักในสุข และสุขนี้เล่าก็เป็นสิ่งที่อร่อยยิ่งนักสำหรับสัตว์ทั้งหลาย เพราะนอกเหนือไปจากสุขนั้นแล้ว ก็ไม่มีสุขอะไร ถึง | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 276) | ||
- | |||
- | กระนั้น ที่ในตติยฌานนี้ไม่มีความกำหนัดยินดีในสุข ก็ด้วยอานุภาพแห่งสติและสัมปชัญญะเท่านั้น มิใช่ด้วยเหตุอย่างอื่น เพราะฉะนั้น นักศึกษาพึงทราบว่า ที่ทรงแสดงคำว่า เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ นี้ไว้เฉพาะแต่ในตติยฌานนี้ ก็เพื่อที่จะทรงชี้ถึงความหมายอันพิเศษกว่ากัน ดังที่พรรณนามานี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบาย เสวยสุขด้วยนามกาย | ||
- | ''' | ||
- | บัดนี้ จะอรรถาธิบายในคำว่า และได้เสวยสุขด้วยนามกาย นี้ต่อไป – | ||
- | |||
- | โยคีบุคคลผู้เข้าอยู่ในตติยฌานย่อมไม่มีความพะวงในการเสวยสุขโดยแท้ แม้ถึงความจริงจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่เพราะเหตุที่สุขของโยคีบุคคลผู้เข้าอยู่ในตติยฌานนั้นประกอบอยู่กับนามกายประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง เพราะเหตุที่โยคีบุคคลนั้นถึงแม้จะออกจากฌานแล้วก็จะพึงได้เสวยสุข เพราะรูปกายของท่านอันรูปที่ประณีตยิ่งซึ่งมีสุขอันประกอบอยู่กับนามกายนั้นเป็นสมุฏฐานแผ่ซ่านไปทั่วแล้ว ดังนั้น เมื่อจะชี้ถึงซึ่งความหมายดังกล่าวนี้ จึงได้ทรงแสดงไว้ว่า และได้เสวยสุขด้วยนามกาย ฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบาย | ||
- | ''' | ||
- | เป็นเหตุให้พระอริยเจ้าสรรเสริญผู้บรรลุว่า | ||
- | |||
- | เป็นผู้เห็นเสมอกันมีสติอยู่เป็นสุข | ||
- | |||
- | บัดนี้ จะอรรถาธิบายในคำว่า เป็นเหตุให้พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า เป็นผู้เห็นเสมอกันมีสติอยู่เป็นสุข ดังนี้ต่อไป – | ||
- | |||
- | ในคำนี้ นักศึกษาพึงทราบการเรียงเข้าประโยคอย่างนี้ คือ พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมตรัสบอก ย่อมทรงแสดง ย่อมทรงบัญญัติ ย่อมทรงตั้งไว้ ย่อมทรงเปิดเผย ย่อมทรงจำแนก ย่อมทรงทำให้ตื้น ย่อมทรงประกาศ คือย่อมทรงสรรเสริญ ซึ่งบุคคลผู้เข้าอยู่ในตติยฌานนั้น เพราะมีฌานใดเป็นเหตุ เพราะมีฌานใดเป็นการณ์ | ||
- | |||
- | สรรเสริญว่าอย่างไร ? สรรเสริญว่า เป็นผู้เห็นเสมอกัน มีสติ อยู่เป็นสุข ฉะนี้ | ||
- | |||
- | โยคีบุคคลนั้น บรรลุแล้วซึ่งฌานนั้น ได้แก่ตติยฌานอยู่ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 277) | ||
- | |||
- | '''เหตุที่พระอริยเจ้าสรรเสริญ | ||
- | ''' | ||
- | ถาม - ก็แหละ เพราะเหตุไร พระอริยเจ้าเหล่านั้นจึงสรรเสริญบุคคลผู้ได้บรรลุตติยฌานนั้นอย่างนี้ ? | ||
- | |||
- | ตอบ - เพราะเป็นผู้สมควรแก่การสรรเสริญ อธิบายว่า บุคคลผู้ได้บรรลุตติยฌานนี้ ย่อมเป็นบุคคลสมควรแก่การสรรเสริญนั้น เพราะเหตุที่เป็นผู้เฉย ๆในตติยฌานแม้อันเป็นสุขที่มีรสอร่อยอย่างยิ่ง ถึงซึ่งความเป็นยอดสุดแห่งความสุข และอันความติดสุขฉุดดึงเข้าไว้ในสุขนั้นไม่ได้ และปีติจะเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยประการใดก็เป็นผู้มีสติตั้งมั่นอยู่ด้วยประการนั้น ดังนี้ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง เพราะเหตุที่ได้เสวยความสุขอันสะอาดด้วยนามกาย ที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ที่อริยชนส้องเสพแล้ว | ||
- | |||
- | ด้วยประการฉะนี้ นักศึกษาพึงทราบว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายเมื่อจะประกาศคุณอันเป็นเหตุแห่งความสรรเสริญเหล่านั้น จึงได้สรรเสริญซึ่งบุคคลผู้ได้บรรลุตติยฌานนั้น โดยเป็นผู้สมควรแก่การสรรเสริญอย่างนี้ว่า เป็นผู้เห็นเสมอกันมีสติอยู่เป็นสุข ฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบาย ตติยฌาน | ||
- | ''' | ||
- | คำว่า ตติยฌาน ที่แปลว่า ฌานที่ 3 นั้น มีอรรถาธิบายว่า - ฌานนี้ที่ชื่อว่า ตติยฌาน หรือที่ 3 เพราะเป็นลำดับแห่งการคำนวณ อีกอย่างหนึ่ง ฌานนี้ชื่อว่าเป็นที่ 3 เพราะเหตุที่โยคีบุคคลย่อมเข้าสู่เป็นอันดับที่ 3 ดังนี้ก็ได้ | ||
- | |||
- | ====ส่วน 2 ละองค์ 1 และประกอบด้วยองค์ 2==== | ||
- | |||
- | ก็แหละ ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า ละองค์ 1 ประกอบด้วยองค์ 2 นั้น มีอรรถาธิบายว่า - นักศึกษาพึงทราบว่าตติยฌานละองค์ 1 นั้น ด้วยอำนาจการละซึ่งปีติ แหละปีตินี้นั้นอันโยคีบุคคลละได้ในขณะแห่งอัปปนา เช่นเดียวกับวิตกและวิจารของทุติยฌานที่โยคีบุคคลละได้ในขณะแห่งอัปปนานั้น ด้วยเหตุนั้น ปีตินั้นท่านจึงเรียกว่าเป็นองค์สำหรับละของตติยฌานนั้น | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 278) | ||
- | |||
- | '''ตติยฌานประกอบด้วยองค์ 2 | ||
- | ''' | ||
- | ส่วนข้อว่า ตติยฌานประกอบด้วยองค์ 2 นั้น นักศึกษาพึงทราบด้วยอำนาจแห่งการเกิดขึ้นแห่งองค์ 2 นี้ คือ สุข 1 จิตเตกัคคตา 1 เพราะฉะนั้น ในคัมภีร์วิภังค์ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ว่า คำว่า ฌาน ได้แก่ อุเบกขา, สติ, สัมปชัญญะ, สุขและจิตเตกัคคตา ดังนี้ ข้อนั้นทรงแสดงไว้โดยอ้อม เพื่อจะทรงแสดงถึงฌานพร้อมทั้งเครื่องปรุงแต่ง แต่เมื่อว่าโดยตรงแล้ว ตติยฌานนี้ประกอบด้วยองค์ 2 เท่านั้น ด้วยอำนาจแห่งองค์ที่ถึงซึ่งลักษณะที่เพ่งได้ โดยยกเอาอุเบกขา, สติ และสัมปชัญญะออกเสีย สมดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ฌานประกอบด้วยองค์ 2 ย่อมมีในสมัยนั้น ได้แก่อะไร ? ได้แก่สุข 1 จิตเตกัคคตา 1 ฉะนี้ | ||
- | |||
- | คำที่เหลือ[[#มีความงาม 3 และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10|มีนัยดังที่พรรณนามาแล้ว]]ในปฐมฌานนั่นแล | ||
- | |||
- | ==ได้จตุตถฌาน== | ||
- | |||
- | ก็แหละ เมื่อได้บรรลุตติยฌานแม้นั้นด้วยประการฉะนี้แล้ว โยคีบุคคลพึงสั่งสมวสีด้วยอาการ 5 อย่างโดยนัยดังที่พรรณนามาแล้วนั่นแล ครั้นออกจากตติยฌานที่คล่องแคล่วแล้ว พิจารณาเห็นโทษในตติยฌานนั้นว่า สมาบัตินี้ยังใกล้ต่อปีติอันเป็นข้าศึกอยู่ และว่าสมาบัตินี้ยังมีองค์อันทุรพล เพราะสุขเป็นสภาพที่หยาบดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้อย่างนี้ว่า องค์อันใดแล ที่ทำใจให้พะวงว่าเป็นสุขในตติยฌานนั้น ด้วยองค์นั้น ตติยฌานนี้จึงปรากฏเป็นสภาพที่หยาบ ฉะนี้แล้ว พึงมนสิการถึงจตุตถฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด คลายความยินดีในตติยฌานแล้ว พึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุจตุตถฌานต่อไป | ||
- | |||
- | แหละกาลใด เมื่อโยคีบุคคลออกจากตติยฌานแล้ว มีสติมีสัมปชัญญะพิจารณาองค์ฌานอยู่นั้น สุขคือโสมนัสอันเกิดขึ้นทางใจจะปรากฏโดยเป็นสภาพที่หยาบ อุเบกขาเวทนากับจิตเตกัคคตาจะปรากฏโดยเป็นสภาพที่ละเอียด กาลนั้น ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแล อย่างแล้ว ๆ เล่า ๆ ว่า ปถวี – ปถวี หรือ ดิน – ดิน เพื่อละเสียซึ่งองค์ที่หยาบและเพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ที่ละเอียดอยู่นั้น มโนทวาราวัชชนจิต ทำปถวีกสิณนั้นนั่นแลให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นตัดภวังคจิต เหมือนจะเตือนให้รู้ว่า จตุตถฌานจักเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แล้ว | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 279) | ||
- | |||
- | ถัดนั้นไป ชวนจิตก็จะแล่นไปในอารมณ์นั้นนั่นแล 4 ขณะบ้าง 5 ขณะบ้าง (ตามควรแก่โยคีบุคคลที่เป็นติกขบุคคลหรือมันทบุคคล) บรรดาชวนจิตเหล่านั้น ดวงหนึ่งที่สุดท้ายเขาเป็น รูปาวจรกุศลจิตขั้นจตุตถฌาน ดวงที่เหลือนอกนั้นเป็น กามาวจรกุศลจิต มีประการดังกล่าวแล้วในปฐมฌานนั่นเทียว | ||
- | |||
- | ส่วนที่พิเศษกว่านั้น ดังนี้ คือ เพราะเหตุที่สุขเวทนาเป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัยแก่อทุกขมสุขเวทนาไม่ได้ และอุทุกขมสุขเวทนาจะต้องเกิดขึ้นในจตุตถฌาน ฉะนั้น ชวนจิตเหล่านั้นจึงย่อมประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา และแม้ปีติก็เป็นอันสร่างหายไปในจตุตถฌานนี้ด้วย เพราะเหตุที่จตุตถฌานประกอบด้วยอุเบกขาเวทนานั่นแล | ||
- | |||
- | ===ส่วนประกอบ 4 เมื่อได้อัปปนา=== | ||
- | ก็แหละ ด้วยลำดับแห่งภาวนาวิธีมีประมาณเท่านี้ เป็นอันว่าโยคีบุคคลนั้นมีส่วนประกอบดังนี้: | ||
- | |||
- | #ละสุขและละทุกข์แล้ว โสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว จึงไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา เข้าจตุตถฌานอยู่ (องค์ฌาน 2) | ||
- | #ละองค์ 1 และประกอบด้วยองค์ 2 | ||
- | #มีความงาม 3 และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10 | ||
- | #ได้บรรลุจตุตถฌานมีปถวีกสิณเป็นอารมณ์ | ||
- | |||
- | ====ส่วน 1 องค์ฌาน 2 (ละสุขและละทุกข์แล้ว เป็นต้น)==== | ||
- | |||
- | ในบรรดาคำเหล่านั้น คำว่า เพราะละสุขและละทุกข์ ความว่า เพราะละกายิกสุขคือสุขทางกายและกายิกทุกข์คือทุกข์ทางกาย คำว่า แต่เบื้องต้น ความว่า การละนั้นแล ได้ละมาแต่เบื้องต้นแล้ว ไม่ใช่ละในขณะแห่งจตุตถฌาน คำว่า เพราะโสมนัสและโทมนัสดับหายไป ความว่า เพราะความดับหายไปแต่เบื้องต้นแห่งเวทนาแม้ทั้ง 2 นี้คือ สุขเวทนาที่เกิดทางใจ 1 ทุกขเวทนาที่เกิดทางใจ 1 อธิบายว่า เพราะละเวทนาทั้ง 2 เสียได้แต่ในเบื้องต้นนั่นเอง | ||
- | |||
- | ถาม - ก็แหละ การละเวทนาเหล่านั้น ละในขณะไหน ? | ||
- | |||
- | ตอบ - ละในขณะอุปจาระของฌานทั้ง 4 | ||
- | |||
- | อธิบายว่า โสมนัสเวทนา ย่อมละในขณะแห่งอุปจาระของจตุตถฌาน ทุกขเวทนา, โทมนัสเวทนา และสุขเวทนา ย่อมละในขณะอุปจาระของปฐมฌาน, ทุติยฌาน และตติยฌาน ตามลำดับ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 280) | ||
- | |||
- | นักศึกษาพึงทราบอย่างนี้ การละซึ่งสุข, ทุกข์, โสมนัส และโทมนัสเวทนาทั้งหลายแม้ในจตุตถฌานนี้ซึ่งแม้จะมิได้ทรงแสดงไว้ตามลำดับแห่งการละซึ่งเวทนาเหล่านั้น แต่ทรงแสดงไว้ตามลำดับแห่งการแสดงซึ่งอินทรีย์ทั้งหลายในอินทรียวิภังค์นั่นเทียว | ||
- | |||
- | ถาม - ก็แหละ ถ้าองค์ธรรมเหล่านี้ ย่อมละได้ในขณะแห่งอุปจาระของฌานนั้น ๆ จริงแล้ว ก็เหตุไฉนพระพุทธองค์จึงทรงแสดงความดับแห่งองค์เหล่านั้นไว้ตรงที่ฌานทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างนี้ว่า ก็ทุกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับอย่างไม่มีเหลือ ณ ที่ไหน ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมบรรลุซึ่งปฐมฌาน อันมีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขซึ่งเกิดแต่ความสงัด เพราะสงัดแล้วแน่นอนจากกามทั้งหลาย เพราะสงัดแล้วก็ตามจากอกุศลธรรมทั้งหลาย และทุกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับอย่างไม่มีเหลือ ณ ที่ปฐมฌานนี้แหละโทมนัสสินทรีย์….สุขินทรีย์….โสมนัสสินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไปอย่างไม่มีเหลือ ณ ที่ไหน ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมบรรลุซึ่งจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์แล้ว เพราะโสมนัสและโทมนัสดับหายไปแล้วแต่ในเบื้องต้น อันมีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา และโสมนัสสินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไปอย่างไม่มีเหลือ ณ ที่จตุตถฌานนี้ | ||
- | |||
- | ตอบ - การที่พระพุทธองค์ทรงแสดงความดับแห่งองค์ธรรมทั้งหลายไว้ตรงที่ฌานโดยเฉพาะเช่นนั้น เพราะทรงประสงค์เอาความดับอย่างสนิท | ||
- | |||
- | อธิบายว่า ในขณะแห่งฌานทั้งหลายมีปฐมฌานเป็นต้น เป็นความดับอย่างสนิท ขององค์ธรรมเหล่านั้น ไม่ใช่ความดับอย่างสามัญ ส่วนในขณะแห่งอุปจาระเป็นความดับอย่างสามัญ ไม่ใช่ความดับอย่างสนิท | ||
- | |||
- | '''ละทุกข์ได้สนิทที่ปฐมฌาน | ||
- | ''' | ||
- | เป็นความจริงอย่างนั้น แม้ทุกข์ที่ดับไปในขณะอุปจาระแห่งปฐมฌาน ซึ่งมีอาวัชชนจิตมากหลายนั้น จะพึงเกิดขึ้นได้อยู่ ด้วยถูกเหลือบและยุงกัด หรือด้วยการปวด | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 281) | ||
- | |||
- | เมื่อยเพราะนั่งไม่เรียบ แต่ภายในอัปปนาฌานจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย อีกประการหนึ่ง แม้ทุกข์ที่ดับไปแล้วในขณะอุปจารฌานนี้ ทั่วสรรพางค์กายอันสุขชโลมแล้วเพราะปีติแผ่ซ่านไป และบุคคลผู้มีกายอันสุขชโลมแล้วนั้น ย่อมมีความทุกข์ดับไปอย่างสนิท เพราะถูกปฏิปักขธรรมทำลายแล้ว | ||
- | |||
- | '''ละโทมนัสได้สนิทที่ทุติยฌาน | ||
- | ''' | ||
- | อนึ่ง แม้โทมนัสที่ละได้แล้วในขณะอุปจาระแห่งทุติยฌานซึ่งมีอาวัชชนจิตมากหลายเช่นกันนั้น จะพึงเกิดขึ้นได้อยู่ เพราะเมื่อมีความลำบากกาย และมีความเหนื่อยใจอันมีวิตกและวิจารเป็นปัจจัย โทมนัสนี้ก็จะเกิดขึ้น แต่เมื่อไม่มีวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแล้วหาเกิดขึ้นไม่เลย ส่วนในยามใดที่โทมนัสเกิดขึ้นได้อยู่ ในฌานนั้นยังมีวิตกและวิจารเป็นปัจจัยและวิตกและวิจารนั้นก็ยังละไม่ได้ทีเดียวในขณะอุปจาระแห่งทุติยฌาน ดังนั้น โทมนัสนั้นจึงยังบังเกิดขึ้นได้ในขณะอุปจาระแห่งทุติยฌานนั้น แต่ในขณะทุติยฌานจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยเพราะละปัจจัยคือวิตกและวิจารเสียแล้ว | ||
- | |||
- | '''ละสุขได้สนิทที่ตติยฌาน | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง แม้สุขที่ละได้แล้วในขณะอุปจาระแห่งตติยฌานนั้น ยังจะพึงเกิดขึ้นได้อยู่แก่ฌานลาภีบุคคล ผู้มีกายอันรูปประณีตซึ่งมีปีติเป็นสมุฏฐานแผ่ซ่านไป แต่ในขณะตติยฌานจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะในขณะตติยฌานนั้นปีติอันเป็นปัจจัยแก่สุขได้ดับไปแล้วโดยสิ้นเชิง | ||
- | |||
- | '''ละโสมนัสได้สนิทที่จตุตถฌาน | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง แม้โสมนัสที่ละได้แล้ว ในขณะอุปจาระแห่งจตุตถฌานนั้น ยังจะพึงเกิดขึ้นได้อยู่ ทั้งนี้ เพราะเหตุที่อยู่ใกล้อย่างหนึ่ง เพราะยังไม่บรรลุถึงอัปปนาฌานอย่างหนึ่ง เพราะยังไม่มีอุเบกขาอย่างหนึ่ง เพราะยังไม่ผ่านไปโดยชอบอย่างหนึ่ง แต่ในขณะจตุตถฌานจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยเป็นอันขาด | ||
- | |||
- | แหละเพราะเหตุดังพรรณนามานี้นั่นแหละ ศัพท์ว่า อปริเสสํ ที่แปลว่า ไม่มีเหลือ พระพุทธองค์จึงทรงแสดงไว้ในฌานนั้น ๆ ว่า เอตฺถุปฺปนฺนํ ทุกฺขินฺทริยํ อปริเสสํ นิรุชฺฌติ ความว่า ทุกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปอย่างไม่มีเหลือ ณ ที่ฌานนั้น ฉะนี้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 282) | ||
- | |||
- | '''เหตุที่ทรงแสดงเวทนา 4 ในจตุตถฌาน | ||
- | ''' | ||
- | หากจะมีผู้กล่าวติงในอธิการนี้ว่า - ก็แหละ แม้เวทนาเหล่านี้เป็นอันละได้แล้วในอุปจาระแห่งฌานนั้น ๆ อย่างนี้ เหตุไฉนพระพุทธองค์จึงทรงยกมาไว้ในจตุตถฌานนี้อีกเล่า ? | ||
- | |||
- | ข้าพเจ้าขอแถลงแก้ว่า - การที่พระพุทธองค์ทรงยกเวทนาเหล่านี้มาแสดงในจตุตถฌานนี้อีก ก็เพื่อจะให้ถือเอาใจความได้ง่าย | ||
- | |||
- | อธิบายว่า - อทุกขมสุขเวทนานี้ใดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ใน จตุตถฌานนี้ว่า อทุกฺขมสุขํ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ฉะนี้ อทุกขมสุขเวทนานั้น เป็นสภาพละเอียด เข้าใจได้ยาก ใคร ๆ ก็ไม่อาจที่จะถือเอาความหมายได้โดยสะดวก เพราะเหตุนั้นเพื่อให้ถือเอาความหมายได้โดยสะดวก พระผู้มีพระภาคได้ทรงสงเคราะห์เอาเวทนาทั้งหมดมาไว้ในจตุตถฌานนี้แหละ ครั้นทรงแสดงเวทนาเหล่านี้รวมไว้อย่างนี้แล้ว ย่อมทรงสามารถที่จะให้ใคร ๆ จับเอาอทุกขมสุขเวทนานี้ได้ว่า ธรรมชาติใดที่ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่โสมนัสไม่ใช่โทมนัสธรรมชาตินี้คือ อทุกขมสุขเวทนา ดังนี้ เช่นเดียวกับโคดุร้ายที่ใคร ๆ ไม่กล้าที่จะเข้าไปคล้องเอามันได้ด้วยวิธีใด ๆ เพื่อที่จะให้คล้องเอาได้โดยสะดวก เจ้าของโคจึงต้อนโคทั้งหมดเข้ามาไว้ในคอกเดียวกัน ทีนั้นจึงไล่ให้ออกไปทีละตัวแล้วสั่งให้คล้องเอาโคตัวนั้นซึ่งออกมาตามลำดับว่า นี้โคนั้นช่วยคล้องมันให้ที ฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''เวทนา 4 เป็นปัจจัยของอทุกขมสุขเจโตวิมุติ | ||
- | ''' | ||
- | อีกอย่างหนึ่ง นักศึกษาพึงทราบว่า แม้เวทนา 4 เหล่านี้ พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ก็เพื่อจะทรงชี้ถึงปัจจัยของอทุกขมสุขเจโตวิมุติ จริงอยู่ ปฐมฌานอันเป็นเครื่องละซึ่งทุกข์เป็นต้น จัดเป็นปัจจัยของอทุกขมสุขเจโตวิมุติ มี 4 อย่างแล ดูกรอาวุโส ปัจจัยของสมาบัติคืออทุกขมสุขเจโตวิมุติ มี 4 อย่างแล ดูก่อนอาวุโส ภิกษุในศาสนานี้ บรรลุแล้วซึ่งจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุขเพราะละสุขและละทุกข์แล้ว เพราะโสมนัสและโทมนัสดับหายไปแล้วแต่ในเบื้องต้นเทียว อันมีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา ดูก่อนอาวุโส ปัจจัยของสมาบัติคืออทุกขมสุขเจโตวิมุติ มี 4 อย่าง เหล่านี้แล | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 283) | ||
- | |||
- | '''แม้ละไปก่อนแล้วก็แสดงไว้เพื่อสรรเสริญ | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง นักศึกษาพึงทราบแม้อย่างนี้ว่า สังโยชน์ 10 มีสักกายทิฏฐิเป็นต้น แม้ถึงจะละได้มาแล้วแต่ในมรรคอื่น ๆ แต่ก็ทรงแสดงไว้ว่าละได้ในตติยมรรค (อนาคามิมรรค) นั้น ทั้งนี้ เพื่อที่จะสรรเสริญคุณแห่งตติยมรรค ฉันใด เวทนา 4 เหล่านี้ทรงแสดงไว้ในจตุตถฌานนี้อีก ก็เพื่อที่จะทรงสรรเสริญคุณแห่งฌานนี้ ฉันนั้น | ||
- | |||
- | '''ราคะโทสะอยู่ไกลจตุตถฌานมาก | ||
- | ''' | ||
- | อีกประการหนึ่ง นักศึกษาพึงทราบดังนี้ เวทนา 4 เหล่านี้ที่ทรงแสดงไว้ในจตุตถฌานนี้ เพื่อจะชี้ให้เห็นถึงราคะและโทสะเป็นสภาพที่อยู่ห่างไกลมาก เพราะได้ทำลายสิ่งที่เป็นปัจจัยมาแล้ว จริงทีเดียว ในบรรดาเวทนาเหล่านั้น สุขเวทนาเป็นปัจจัยแก่โสมนัสเวทนา โสมนัสเวทนาเป็นปัจจัยแก่ราคะ ทุกขเวทนาเป็นปัจจัยแก่โทมนัสเวทนา โทมนัสเวทนาเป็นปัจจัยแก่โทสะ และราคะโทสะพร้อมทั้งปัจจัย ชื่อว่าอันจตุตถฌานนี้กำจัดไปแล้วด้วยเหตุที่ได้ทำลายสุขเวทนาเป็นต้นมาแล้ว ดังนั้น ราคะและโทสะจึงชื่อว่า มีอยู่ในที่ห่างไกลมาก ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบายไม่มีทุกข์ไม่มีสุข | ||
- | ''' | ||
- | คำว่า ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข นั้น มีอรรถาธิบายว่า ที่ชื่อว่าไม่มีทุกข์ เพราะเหตุที่ทุกข์ไม่มี ที่ชื่อว่า ไม่มีสุข เพราะเหตุที่สุขไม่มี ด้วยคำว่า ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขนี้ ท่านแสดงถึงเวทนาที่ 3 (คืออุเบกขาเวทนา) อันเป็นปฏิปักษ์แก่ทุกขเวทนาในจตุตถฌานนี้ ไม่ใช่แต่เพียงแสดงความไม่มีทุกข์ไม่มีสุขเท่านั้น และอทุกขมสุขเวทนา ชื่อว่าเวทนาที่ 3 เรียกว่าอุเบกขาเวทนาก็ได้ นักศึกษาพึงทราบว่า อทุกขมสุขเวทนานั้น มีอันเสวยอารมณ์ที่ผิดจากอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์เป็นลักษณะ มีความเป็นกลาง ๆ เป็นรส มีความไม่ปรากฏชัด เป็นอาการปรากฏ มีความดับไปแห่งสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นปทัฏฐาน ด้วยประการฉะนี้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 284) | ||
- | |||
- | '''อธิบายมีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา | ||
- | ''' | ||
- | คำว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา นั้นความว่า ความบริสุทธิ์แห่งสติอันอุเบกขาให้เกิดแล้ว อธิบายว่า สติในฌานนี้เป็นสภาพบริสุทธิ์มาก และความบริสุทธิ์ใดแห่งสตินั้น ความบริสุทธิ์นั้นอันอุเบกขาปรุงแต่งให้ มิใช่สิ่งอื่นปรุงแต่งให้ เพราะฉะนั้น ฌานนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา | ||
- | |||
- | แม้ในคัมภีร์วิภังค์ พระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงไว้ว่า สตินี้เป็นสภาพที่สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเพราะอุเบกขานี้ ด้วยเหตุนั้นจึงเรียกว่า สติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา | ||
- | |||
- | '''อุเบกขาคือตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก | ||
- | ''' | ||
- | ก็แหละ ความบริสุทธิ์แห่งสติในจตุตถฌานนี้ ย่อมสำเร็จเพราะอุเบกขาอันใด อุเบกขานั้น นักศึกษาพึงทราบว่า โดยใจความก็ได้แก่ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก และไม่ใช่แต่สติเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่บริสุทธิ์เพราะอุเบกขานั้น แม้สัมปยุตธรรมทั้งสิ้นก็เป็นสภาพบริสุทธิ์โดยแท้แล แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมเทศนาไว้ด้วยทรงยกสติเป็นประธาน | ||
- | |||
- | '''อุเบกขาเวทนาเหมือนราตรี | ||
- | ''' | ||
- | '''ตัตรมัชฌัตตุเบกขาเหมือนดวงจันทร์ | ||
- | ''' | ||
- | แม้ว่า ตัตรมัชฌัตตุเบกขานี้ จะมีอยู่ในฌานทั้ง 3 ข้างต้นนั้นก็ตาม แต่ก็เปรียบเหมือนดวงจันทร์ในเวลากลางวัน จะมีอยู่ก็ไม่สว่างไม่ขาวนวล ทั้งนี้ เพราะแสงพระอาทิตย์ในเวลากลางวันข่มกันไว้ และเพราะไม่ได้ราตรีอันมีส่วนเข้ากันได้ โดยเป็นที่ส่องแสงหรือโดยเป็นอุปการะแก่ตน ฉันใด แม้ดวงจันทร์คือตัตรมัชฌัตตุเบกขานี้ก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีอยู่ในประเภทแห่งฌานมีปฐมฌานเป็นต้น แต่ก็ยังไม่เป็นสภาพบริสุทธิ์ ทั้งนี้เพราะเดชแห่งธรรมอันเป็นข้าศึกมีวิตกเป็นต้นข่มกันไว้ และเพราะไม่ได้ราตรีคืออุเบกขาเวทนาอันมีส่วนเข้ากันได้ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 285) | ||
- | |||
- | อนึ่ง เมื่อตัตรมัชฌัตตุเบกขานั้นยังไม่บริสุทธิ์ แม้สหชาตธรรมทั้งหลาย (ธรรมที่เกิดร่วมในจิตดวงเดียวกัน) เช่นสติเป็นต้น ก็พลอยเป็นสภาพที่ไม่บริสุทธิ์ไปด้วย เหมือนแสงจันทร์ที่ไม่ขาวนวลในเวลากลางวัน เพราะเหตุดังกล่าวนี้ ในบรรฌานทั้ง 3 นั้น แม้เพียงฌานเดียว พระผู้มีพระภาคจึงมิได้ทรงแสดงว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา | ||
- | |||
- | ส่วนในจตุตถฌานนี้ ดวงจันทร์คือตัตรมัชฌัตตุเบกขาเป็นสภาพที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งเพราะไม่มีเดชแห่งธรรมอันเป็นข้าศึกมีวิตกเป็นต้นข่มกัน และเพราะได้ราตรีคืออุเบกขาเวทนาอันมีส่วนเข้ากันได้ และเพราะเหตุที่ตัตรมัชฌัตตุเบกขาเป็นสภาพบริสุทธิ์แล้วนั้น แม้สหชาตธรรมทั้งหลายเช่นสติเป็นต้น ก็พลอยเป็นสภาพที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เช่นเดียวกับแสงจันทร์อันสว่างขาวนวล ฉะนั้น | ||
- | |||
- | เพราะเหตุดังพรรณนามานี้ นักศึกษาพึงทราบว่า จตุตถฌานนี้เท่านั้น ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เป็นฌานที่มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา ฉะนี้ | ||
- | |||
- | '''อธิบายจตุตถฌาน | ||
- | ''' | ||
- | คำว่า จตุตฺถ ที่แปลว่า 4 นั้น มีอรรถาธิบายว่า ฌานที่เรียกว่าที่ 4 เพราะเป็นลำดับของการคำนวณ หรือฌานนี้ที่จัดเป็นที่ 4 เพราะเหตุที่โยคีบุคคลย่อมเข้าเป็นอันดับที่ 4 ดังนี้ก็ได้ | ||
- | |||
- | ====ส่วน 2 ละองค์ 1 และประกอบด้วยองค์ 2==== | ||
- | |||
- | ก็แหละ ในคำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า ละองค์ 1 ประกอบด้วยองค์ 2 นั้น มีอรรถาธิบายว่า - ใน 2 ข้อนั้น ข้อว่า จตุตถฌานละองค์ 1 นั้น นักศึกษาพึงทราบด้วยอำนาจที่ละซึ่งโสมนัสเวทนา และโสมนัสเวทนานั้นละมาได้แต่ในชวนจิตดวงต้น ๆ ในวิถีเดียวกันนั่นเทียว ด้วยเหตุนั้น โสมนัสเวทนานั้น จึงเรียกว่า เป็นองค์สำหรับละของจตุตถฌานนี้ | ||
- | |||
- | '''จตุตถฌานประกอบด้วยองค์ 2 | ||
- | ''' | ||
- | ส่วนข้อที่ว่า จตุตถฌานประกอบด้วยองค์ 2 นั้น นักศึกษาพึงทราบด้วยอำนาจความบังเกิดขึ้นแห่งองค์ 2 นี้ คือ อุเบกขาเวทนา 1 จิตเตกัคคตา 1 | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 286) | ||
- | |||
- | คำที่เหลือ[[#มีความงาม 3 และสมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10|มีนัยดังที่พรรณนามาแล้ว]]ในปฐมฌานนั่นแล | ||
- | |||
- | ตามที่พรรณนามานี้ เป็นแนวในฌาน 4 ประเภท ที่บังเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งฌานที่เป็นจตุกกนัย เป็นประเภทแรก | ||
- | |||
- | ==ฌานปัญจกนัย== | ||
- | |||
- | ส่วนโยคีบุคคลผู้เจริญฌานปัญจกนัยให้บังเกิดขึ้นนั้น ออกจากปฐมฌานที่คล่องแคล่วแล้ว พิจารณาเห็นโทษในปฐมฌานนั้นว่า สมาบัตินี้ยังใกล้ต่อนิวรณ์อันเป็นข้าศึกอยู่และว่า สมาบัตินี้มีองค์อันทุรพล เพราะวิตกเป็นสภาพที่หยาบ ฉะนี้แล้ว พึงมนสิการถึงทุตยฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด คลายความยินดีในปฐมฌานแล้ว จึงลงมือทำความเพียร เพื่อบรรลุซึ่งทุติยฌานต่อไป | ||
- | |||
- | ===บรรลุทุติยฌาน=== | ||
- | |||
- | ก็แหละ กาลใด เมื่อโยคีบุคคลออกจากปฐมฌานแล้วมีสติมีสัมปชัญญะพิจารณาองค์ฌานอยู่นั้น องค์ฌานเพียงแต่วิตกอย่างเดียวก็จะปรากฏโดยเป็นสภาพที่หยาบ องค์ฌานอื่น ๆ มีวิจารเป็นต้น คงปรากฏโดยเป็นสภาพที่ละเอียด กาลนั้น ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการ ถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแลอย่างแล้ว ๆ เล่า ๆ ว่า ปถวี – ปถวี หรือ ดิน – ดิน ดังนี้ เพื่อละองค์ที่หยาบและให้ได้มาซึ่งองค์ที่ละเอียดอยู่นั้น ทุติยฌานก็จะบังเกิดขึ้นโดยนัยที่ได้แสดงมาแล้วนั่นแล องค์สำหรับละของทุติยฌานนั้นมีวิตกอย่างเดียว ส่วนองค์ประกอบมี 4 มีวิจารเป็นต้น คำที่เหลือเหมือนคำที่แสดงมาแล้วทุกประการนั่นเทียว | ||
- | |||
- | ===บรรลุตติยฌาน=== | ||
- | |||
- | ก็แหละ เมื่อได้บรรลุทุติยฌานแม้นั้นอย่างนี้แล้ว โยคีบุคคลนั้นพึงทำให้วสีสามารถดีแล้วด้วยอาการ 5 อย่างโดยนัยที่ได้พรรณนามาแล้วนั่นแล ออกจากทุติยฌานที่คล่องแคล่วแล้วพิจารณาเห็นโทษในทุติยฌานนั้นว่า สมาบัติยังใกล้ต่อวิตกอันเป็นข้าศึกอยู่ และว่าสมาบัตินี้มีองค์อันทุรพล เพราะวิจารเป็นสภาพที่หยาบ ครั้นแล้ว มนสิการถึงตติยฌานโดยเป็นสภาพที่ละเอียด คลายความยินดีในทุติยฌานแล้ว พึงลงมือทำความเพียรเพื่อบรรลุตติยฌานต่อไป | ||
- | |||
- | แหละกาลใด เมื่อโยคีบุคคลออกจากทุติยฌานแล้ว มีสติสัมปชัญญะพิจารณาองค์ฌานอยู่นั้น องค์ฌานเพียงแต่วิจารก็จะปรากฏโดยเป็นสภาพที่หยาบขึ้น องค์ฌานอื่น ๆ | ||
- | |||
- | (หน้าที่ 287) | ||
- | |||
- | มีปีติเป็นต้นคงปรากฏโดยเป็นสภาพที่ละเอียดอยู่ กาลนั้น ขณะที่โยคีบุคคลมนสิการถึงปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแลอย่างแล้ว ๆ เล่า ๆ ว่า ปถวี – ปถวี หรือ ดิน – ดิน ฉะนี้ เพื่อที่จะละองค์ที่หยาบและให้ได้มาซึ่งองค์ที่ละเอียดอยู่นั้น ตติยฌานก็จะเกิดขึ้นโดยนัยที่ได้แสดงมาแล้วนั่นแล องค์สำหรับละของตติยฌานนั้นมีแต่วิจารอย่างเดียว ส่วนองค์ประกอบมี 3 มีปีติเป็นต้น เหมือนกับในทุติยฌานโดยจตุกกนัย คำที่เหลือเหมือนดังที่แสดงมาแล้วทุกประการนั่นเทียว | ||
- | |||
- | ===สรุปฌานปัญจกนัย=== | ||
- | |||
- | ด้วยประการฉะนี้ ทุติยฌานใดในฌานจตุกกนัยนั้น ในฌานปัญจกนัยนี้ ทุติยฌานนั้นแยกออกเป็น 2 ฌาน คือ เป็นทุติฌานและตติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌานในฌานจตุกกนัยนั้นแยกเป็นจตุตถฌานและปัญจมฌานในฌานปัญจกนัยนี้ ส่วนปฐมฌานคงเป็นปฐมฌานตามเดิม ฉะนี้แล | ||
- | |||
- | '''ปถวีกสิณนิทเทส ปริจเฉทที่ 4 | ||
- | ''' | ||
- | |||
- | '''ในอธิการแห่งสมาธิภาวนา ในปกรณ์วิเสสชื่อวิสุทธิมรรค | ||
- | ''' | ||
- | |||
- | '''อันข้าพเจ้ารจนาขึ้นเพื่อความปราโมชแห่งสาธุชน | ||
- | ''' | ||
- | |||
- | '''ยุติลงด้วยประการฉะนี้ | ||
- | ''' | ||
- | |||
- | ………………. | ||
- | |||
- | =ดูเพิ่ม= | ||
- | *'''[http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/sutta23.php ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค]''' | ||
- | *'''[[วิสุทธิมรรค ฉบับปรับสำนวน]] (สารบัญ)''' | ||