ฟุตโน้ต:29:24

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

ลิงค์ไปยังการเปรียบเทียบนี้

การแก้ไขก่อนหน้าทั้งสองฝั่ง การแก้ไขก่อนหน้า
การแก้ไขถัดไป
การแก้ไขก่อนหน้า
ฟุตโน้ต:29:24 [2025/01/23 05:29] dhammaฟุตโน้ต:29:24 [2025/01/27 14:52] (ฉบับปัจจุบัน) dhamma
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
-แปลปฐมพุทธอุทาน +แปลปฐมพุทธอุทาน =
- +
-อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ +
- +
-คหการกํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ +
- +
-คหการก ทิฏฺโฐสิ ปุน เคหํ น กาหสิ +
- +
-สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ +
- +
-วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.+
  
 เมื่อเรายังค้นคว้าหานายช่างผู้ปรุงแต่งเรือนไม่พบ เมื่อเรายังค้นคว้าหานายช่างผู้ปรุงแต่งเรือนไม่พบ
บรรทัด 19: บรรทัด 9:
 ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราจึงค้นคว้าหาท่านอยู่. ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราจึงค้นคว้าหาท่านอยู่.
  
-แน่ะนายช่างผู้ปรุงแต่งเรือน เราได้ค้นพบท่านแล้ว, +แน่ะนายช่างผู้ปรุงแต่งเรือน เราได้ค้นพบท่านแล้ว,
  
-ท่านจะปรุงแต่งเรือนอีกไม่ได้, +ท่านจะปรุงแต่งเรือนอีกไม่ได้,
  
-ซี่โครงทุกซี่ของท่านเราหักเสียแล้ว, +ซี่โครงทุกซี่ของท่านเราหักเสียแล้ว,
  
-จิตของเราไม่ปรุงแต่งยอดเรือนอีกต่อไปแล้ว, +จิตของเราไม่ปรุงแต่งยอดเรือนอีกต่อไปแล้ว,
  
-จิตของเราเข้าถึงสภาวะไม่ปรุงแต่งแล้ว, +จิตของเราเข้าถึงสภาวะไม่ปรุงแต่งแล้ว,
  
-เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว. +เพราะเราบรรลุธรรมที่หมดสิ้นตัณหาแล้ว.
  
 (แน่ะนายช่างผู้ปรุงแต่งเรือน เราได้ค้นพบท่านแล้ว (แน่ะนายช่างผู้ปรุงแต่งเรือน เราได้ค้นพบท่านแล้ว
  
-เพราะเราค้นคว้าเห็นยอดเรือนคือความไม่รู้ว่า +เพราะเราค้นคว้าเห็นยอดเรือนคือความไม่รู้ว่า
  
 1. การที่เราต้องเกิดบ่อยๆ ล้วนแต่เป็นทุกข์, 1. การที่เราต้องเกิดบ่อยๆ ล้วนแต่เป็นทุกข์,
บรรทัด 39: บรรทัด 29:
 2. การที่เรามีตัณหาปรุงแต่งเรือนบ่อยๆ เป็นเหตุแห่งทุกข์, 2. การที่เรามีตัณหาปรุงแต่งเรือนบ่อยๆ เป็นเหตุแห่งทุกข์,
  
-3. ถ้าจิตของเราเข้าถึงสภาวะไม่ปรุงแต่งเรือนใหม่แล้ว +3. ถ้าจิตของเราเข้าถึงสภาวะไม่ปรุงแต่งเรือนใหม่แล้ว
  
-ทุกข์ก็ไม่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นใหม่เช่นกัน, +ทุกข์ก็ไม่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นใหม่เช่นกัน,
  
 4. เมื่อเราค้นพบอวิชชาจนเห็นอริยสัจ 4 นี้แล้ว 4. เมื่อเราค้นพบอวิชชาจนเห็นอริยสัจ 4 นี้แล้ว
  
-เราจึงปฏิบัติการหักรานตัณหาไม่ให้ท่านปรุงแต่งได้อีก +เราจึงปฏิบัติการหักรานตัณหาไม่ให้ท่านปรุงแต่งได้อีก
  
 เรือนใหม่ของเราจึงไม่เกิดอีก) เรือนใหม่ของเราจึงไม่เกิดอีก)
  
-แปลคู่กับ มหาวคฺค,ปาฬิ 77 ปณฺเณ https://sutta.men/?th.r.7.77...สนฺธาวิ#hl+แปลคู่กับ มหาวคฺค,ปาฬิ 77 ปณฺเณ https://sutta.men/?th.r.7.77…สนฺธาวิ#hl 
 + 
 +https://wiki.5000y.men/ฟุตโน้ต:29:24 
 + 
 +แต่มีบางท่านอ่านอรรถกถาธรรมบท หรือ พจนานุกรม PTS 
 + 
 +แล้วเข้าใจว่า แปล อนิพฺพิสํ ว่า "เราไม่ได้ญาณ, เรายังไม่พบญาณ" 
 + 
 +อธิบายว่า ในบาลีแปลว่า "เมื่อเรายังไม่(ได้ญาณ)ค้นพบ นายช่างผู้ปรุงแต่งเรือน,  
 + 
 +อรรถกถาจึงเอาจิตที่แทงตลอดมาขยายว่า ที่ในบาลีแปลว่า "ไม่ค้นพบ" คือ ยังไม่ได้ญาณช่วยให้ค้นพบ (ค้นพบนายช่างผู้ปรุงแต่งเรือน), 
 + 
 +ฉะนั้นถ้าแปลบาลี อนิพฺพิสํ ว่า "เราไม่ได้ญาณ, เรายังไม่พบญาณ" จะทำให้นักเรียนบาลีสับสนเพราะ 
 + 
 +*ถ้าจะคิดง่ายๆ เลย คือ เยน ญาเณน ในอรรถกถา ทำให้ ตํ ญาณํ ในอรรถกถา กลายเป็นการณะของ ทฏฺฐุํ ในอรรถกถา ซึ่งกำลังสื่อถึง ทิฏฺโฐสิ ในบาลี และคำว่า ทิฏฺโฐสิ นี้ ก็เป็นคำตรงกันข้ามของ อนิพฺพิสํ ที่แปลว่า เรายังค้นไม่พบ. 
 +* ในบาลี Subject กับ Verb คือ อนิพฺพิํ แสดงไว้ใบทที่ 2, ส่วน Object คือ คหาการํ แสดงในบทที่ 3 
 +* ในอรรถกถา จึงอธิบายแค่ อนิพพิสํ ในบทที่ 2 โดยไม่ได้ยก Object มา 
 +* คนแปลบางท่านอ่านอรรถกถาที่ว่า อนิพฺพิสํ '''ตํ ญาณํ''' อวินฺทนฺโต อลพฺภนฺโต ก็เลยเข้าใจว่า อรรถกถาขยาย Object ว่า '''ตํ ญาณํ''' 
 +* แต่จริงๆ "ตํ ญาณํ" อรรถกถาไม่ได้ขยายว่าเป็น Object แต่กำลังเชื่อมประโยค  "เยน ญาเณน" กับ "ตํ ญาณํ" ที่ท่านแสดงไว้ในการขยายความบทที่ 2 เช่นเดียวกันว่า "พระโพิสัตว์จะหตัณหาพบด้ยญาณใด..., เมื่อไม่แทงตลอด ไม่ได้ญาณนั้น" 
 +* ส่วน Object อรรถกถาดึงมาจากบทที่ 3 โดยให้ขึ้นเป็นส่วนแรกของการอธบายสภาวะทั้งหมดนี้ [เพราะบาลีเป็นอุปมาอุปไมย] เพราะไปคู่กับ Subject หลักในบาลี คือ คเวสนฺโต, เมื่อจะอธิบายอุปมาให้ง่าย จึงยก Object กับ Subject  ขึ้นมาอย่างนี้ แล้วค่อยเอา Complement มาขยายสภาวะให้เห็น. 
 + 
 +== Note == 
 + 
 +- Subject กตฺตา, ประธานของประโยค 
 + 
 +- Object กมฺม, กรรมของประโยค 
 + 
 +- Complement ส่วนขยายอื่นๆ ที่เหลือในประโยค