ปฏิสัมภิทามรรค_03_มหาวรรค

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

ลิงค์ไปยังการเปรียบเทียบนี้

การแก้ไขก่อนหน้าทั้งสองฝั่ง การแก้ไขก่อนหน้า
การแก้ไขถัดไป
การแก้ไขก่อนหน้า
ปฏิสัมภิทามรรค_03_มหาวรรค [2020/07/04 14:23] – [คณนวาโร] dhammaปฏิสัมภิทามรรค_03_มหาวรรค [2025/01/23 11:55] (ฉบับปัจจุบัน) – [ปริกมฺมนิทฺเทโส] dhamma
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
-{{wst>ปฏิสัมภิทามรรค head}}{{wst>ปฏสัมภิทามรรค sidebar}}+{{template:ปฏิสัมภิทามรรค head}}{{template:ฉบับปรับสำนวน head|}} 
 +<blockquote>ควรท่องจำ ที.สี.สามัญญผลสูตรบาลี และ ที.สี.มหาสติฐานูตรบาลี เพื่อป้องกนควาลังเลสงสัยว่ามีเหตุแปลอย่างไ</blockquote>
 '''มหาวรรค อานาปาณกถา''' '''มหาวรรค อานาปาณกถา'''
 =คณนวาโร= =คณนวาโร=
บรรทัด 32: บรรทัด 33:
 =โสฬสญาณนิทฺเทโส= =โสฬสญาณนิทฺเทโส=
  
-จิตันฟุ้งซ่านและจิตสงบับ ย่อมดำรงอยู่ในความเป็นธรรมอย่งเดียวและย่อมหมดจดจากนิวรณ์ ด้วยอาการ 16 เหล่านี้ ฯ+จิตที่พนาขึ้น จิตที่พัฒนาถูกตรงขึ้น ย่อมดำรงอยู่ในความเป็นอันหนึ่งอันเดีวกัน (สำนวนไทยคือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) และย่อมหมดจดจากนิวรณ์ ด้วยอาการ 16 เหล่านี้ ฯ
  
-[364] ความเป็นธรรมอยงเดียวเหล่านั้นเป็นไฉน ฯ+[364] กุศลธรรมทั้งหลายที่ยังจิตให้พัฒนาถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันเหล่านั้นเป็นไฉน ฯ
  
-เนกขัมมะ ความไม่พยาบาท อาโลกสัญญา ความไม่ฟุ้งซ่าน ความกำหนดธรรมญาณ ความปราโมทย์ กุศลธรรมทั้งปวงเป็นธรรมอยงเดียว(แต่าง) ฯ+เนกขัมมะเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม)  
 +ความไม่พยาบาทเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม)  
 +อาโลกสัญญาเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม)  
 +ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม)  
 +ความแยกกำหนดธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม)  
 +ญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม)  
 +ความปราโมทย์เป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม)  
 +กุศลธรรมทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศธรรมนๆ ที่เกิดร่วม) ฯ
  
-นิวรณ์นั้นเป็นไฉน กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะวิจิกิจฉา อวิชชาอรติ อกุศลธรรมทั้งปวง เป็นนิวรณ์ (แต่ละอย่าง) ฯ+นิวรณ์นั้นเป็นไฉน
  
-[365] คำว่า นีวรณา ความวา ชื่อว่านวรณ์เพรอรรถว่ากระไชื่อ่านิวรณ์เพราะอรรถว่าเป็นเครื่อกั้นธรรมเครื่องนำออก +มฉัทะ พยท ถีนิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ิจิกิจฉา อวิชชา อรติ อุศลธรรมทั้งปง เป็นนิวรณ์ (แต่ละอ่าง
  
-ธรรมเครื่องนำออกเป็นไฉน เนกขัมมะเป็นธรรมเครื่องำออกของพระอริยะเจ้าทั้งหลายและพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยเนกขัมมะนั้น กามฉันทะเป็นเื่องกั้นธรรมเครื่อนำออและบุคคลไม่รู้จักเนกขัมมะอันเป็นรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกกามันทนั้นกั้นไว้เพราะเหตุนั้นกามฉันทะจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้รมเครื่องนำออก ความไม่พยาบาทเป็นธรรมเครื่องำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยความไม่พยาบาทนั้น ความพยาบาทเป็นเื่องกั้นธรรมเครื่อนำออก และบุคคลไม่รู้จักความไม่พยาบาทอันเป็นรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราเป็ผูถูกความพยาบาทนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น พยาบาทจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้รมเครื่องนำออก อาโลกสัญญาเป็นธรรมเครื่องำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยอาโลกสัญญานั้น ถีนมิทธะเป็นเื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักอาโลกสัญญาอันเป็นรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกถีนมิทธนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น ถีนมิทธะจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้รมเครื่องนำออก ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นธรรมเครื่องำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยไม่ฟุ้งซ่านนั้น อุทธัจจะเป็นเื่องกั้นธรรมเครื่อนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักคามไม่ฟุ้งซ่านอันเป็นรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราเป็นผู้ถูกอุทธัจจะนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้นอุทธัจจะจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้รมเครื่องนำออก การกำหนดธรรมเป็นธรรมเครื่องำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยการกำหนดธรรมนั้น วิจิกิจฉาเป็นเื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักการกำหนดธรรมอันเป็นเคื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลายเพราะเป็นผู้ถูกวิจิกิจานั้นกั้นไว้ เพราเหตุนั้นวิจิกิจฉาจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้รมเครื่องนำออก ญาณเป็นธรรมเครื่องำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยญาณนั้น อวิชชาเป็นเื่องกั้นธรรมเครื่อนำออกและบุคคลย่อมไม่รู้จักญณอันเป็นรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราเป็นผู้ถูกอวิชชานั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น อวิชชาจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้รมเครื่องนำออก ความปราโมทย์เป็นธรรมเครื่องำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยความปราโมทย์นั้น อรติเป็นเื่องกั้นธรรมเครื่อนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักความปราโมทย์อันเป็นรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราเป็นผู้ถูกอรตินั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น อรติจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้รมเครื่องนำออกกุศลธรรมแม้ทั้งปวงก็เป็นธรรมเครื่องำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลายและพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยกุศลธรรมเหล่านั้น อกุศลธรรมแม้ทั้งปวงก็เป็นเื่ั้นธรรมเครื่องำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักกุศลธรรมอันเป็นรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราเป็ผูถูกอกุศลธรรมเหล่านั้กั้้ เพระเหตุนั้น ศลธรรม้ทังปงจึงชืว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเรื่อนำออก +[365] คำว่า นีวรณา ความว่า ชื่อว่า นิวรณ์ เพราะอรรถว่ากระไร?  
 + 
 +ชื่อว่า '''นิวรณ''' เพราะอรรถว่า '''นิยฺยานาวรณ''' (เป็นเครื่องขวางกั้นจิตจากนิยยานะ)ฯ 
 + 
 +ชื่อว่า '''นิยฺยาน''' (กุศลธรรมเครื่องนำจิตออกจากอกุศลธรรม) เป็นไฉน?  
 + 
 +เนกขัมมะเป็นนิยฺยานของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยเนกขัมมะนั้น  
 +กามฉันทะเป็นนิยฺยานาวรณ  และาะจิตถูกามฉันทะนั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้เนกขัมมะว่าเป็นนิยฺยานาวของพระอริยเจ้าทั้งหลาย  ฉะนั้นกามฉันทะจึงชื่อว่า เป็นนิยฺยานาวณ  
 +ความไม่พยาบาทเป็นนิยฺยานของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยความไม่พยาบาทนั้น  
 +ความพยาบาทเป็นนิยฺยานาวรณ และาะจิตถูความพยาบาทนั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้ความไม่พยาบาทว่าเป็นนิยฺยานาวของพระอริยเจ้าทั้งหลาย  ฉะนความพยาบาทจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวณ  
 +อาโลกสัญญาเป็นนิยฺยานของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยอาโลกสัญญานั้น  
 +ถีนมิทธะเป็นนิยฺยานาวรณ และาะจิตถูถีนมิทธะนั้นขวากั้ไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้ถีมิทธะว่าเป็นนิยฺยานาวของพระอริยเจ้าทั้งหลาย  ฉะนั้นถีนมิทธะจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวณ  
 +ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นนิยฺยานของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยไม่ฟุ้งซ่านนั้น  
 +อุทธัจจะเป็นนิยฺยานาวรณ และาะจิตถูกุทธัจจะนั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้อุทธัจว่าเป็นนิยฺยานาวของพระอริยเจ้าทั้งหลาย  ฉะนั้นอุทธัจจะจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวณ  
 +การแยกกำหนดธรรมเป็นนิยฺยานของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยการแยกกำหนดธรรมนั้น  
 +วิจิกิจฉาเป็นนิยฺยานาวรณ และาะจิตถูวิจิกิจฉานั้นขวากั้ไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้วิิจฉาว่าเป็นนิยฺยานาวของพระอริยเจ้าทั้งหลาย  ฉะนั้นวิจิกิจฉาจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวณ   
 +ญาณเป็นนิยฺยานของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยญาณนั้น  
 +อวิชชาเป็นนิยฺยานาวรณ และาะจิตถูกวิชชานั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้อวิชชาว่าเป็นนิยฺยานาวของพระอริยเจ้าทั้งหลาย  ฉะนั้นอวิชชาจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวณ   
 +ความปราโมทย์เป็นนิยฺยานของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยความปราโมทย์นั้น  
 +อรติเป็นนิยฺยานาวรณ และาะจิตถูกรตินั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้อรติาเป็นนิยฺยานาวของพระอริยเจ้าทั้งหลาย  ฉะนั้นอรติจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวณ   
 +กุศลธรรมแม้ทั้งปวงก็เป็นนิยฺยานของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยกุศลธรรมเหล่านั้น  
 +อกุศลธรรมแม้ทั้งปวงก็เป็นนิยฺยานาวรณ และาะจิตถูกอกุศลธรรมนั้นขวางั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้กุศลธรรมว่าเป็นนิยฺยานาวของพระอริยเจ้าทั้งหลาย  ฉะนอกุศลธรรมจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยารณ  
 + 
 +และมื่อพระโยคาวจรจริญสมาธิอัปฏิสงยุตดวยานาปานัสสติมีวัตถุ 16 จนีจิตหดจดจากนิวรณ์เหล่านีแล้ว  แต่ว่าอุปกิเลสที่ละเอียดเป็นขณะกิดสืบเนื่องก็ยคงิดได้อยู่ ฯ
  
 =อุปกฺกิเลสญาณนิทฺเทโส= =อุปกฺกิเลสญาณนิทฺเทโส=
 ==ปฐมจฺฉกฺกํ== ==ปฐมจฺฉกฺกํ==
- 
-ก็แลเมื่อพระโยคาวจรผู้มีจิตหมดจดจากนิวรณ์ในข้อที่แล้วเหล่านี้ เจริญสมาธิอันปฏิสังยุตด้วยอานาปาณสติมีวัตถุ 16 ความที่จิตตั้งมั่นเป็นไปชั่วขณะย่อมมีได้ ฯ 
  
 [366] อุปกิเลส 18 เป็นไฉน ย่อมเกิดขึ้น ฯ [366] อุปกิเลส 18 เป็นไฉน ย่อมเกิดขึ้น ฯ
บรรทัด 62: บรรทัด 91:
 ==ทุติยจฺฉกฺกํ== ==ทุติยจฺฉกฺกํ==
  
-[367] เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงนิมิต จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิเมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงนิมิตจิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออกนี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ ฯ+[367] เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึง[[sutta>นิมิตฺ(th.r.104.418)]] [คือ กลุ่มกายปสาทะที่ลมกระทบอยู่] จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิเมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงนิมิตจิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออกนี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ ฯ
  เมื่อคำนึงถึงนิมิต ใจกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก เมื่อ  เมื่อคำนึงถึงนิมิต ใจกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก เมื่อ
  คำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต เมื่อคำนึง  คำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต เมื่อคำนึง
บรรทัด 150: บรรทัด 179:
  
 [384] ธรรม 3 ประการนี้ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เป็นธรรมไม่ปรากฏ จิตไม่ถึงความฟุ้งซ่าน จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จและบรรลุผลวิเศษอย่างไร ฯ [384] ธรรม 3 ประการนี้ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เป็นธรรมไม่ปรากฏ จิตไม่ถึงความฟุ้งซ่าน จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จและบรรลุผลวิเศษอย่างไร ฯ
 +
 +[อย่างไรจึงเรียกว่า "ธรรม 3 ประการนี้ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียวด้วย, และธรรม 3 นี้ถูกผู้ฉลาดกำหนดอยู่ด้วย (จิตรู้บัญญัติลมเป็นอารมณ์ แต่ปัญญาญาณที่เกิดพร้อมกับจิตก็ไม่ได้หลงลืมธรรม 3 นี้, ดูศัพท์ว่าอธิคม ในอภิสมยกถาประกอบ),  จิตไม่ได้ฟุ้งซ่านด้วย, ปธาน คือ ความเพียรแห่งจิตปรากฎชัดด้วย, จิตผู้มีความเพียรย่อมยังปโยคะให้สำเร็จด้วย, และจิตผู้มีความเพียรย่อมบรรลุผลวิเศษด้วย"ฯ]
  
 เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ บุรุษเอาเลื่อยเลื่อยต้นไม้นั้น สติของบุรุษย่อมเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสามารถแห่งฟันเลื่อยซึ่งถูกที่ต้นไม้บุรุษนั้นไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป  ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จและบรรลุผลวิเศษความเนื่องกันเป็นนิมิต เหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ ลมอัสสาสปัสสาสะ เหมือนฟันเลื่อย ภิกษุนั่งตั้งสติไว้มั่นที่ปลายจมูกหรือที่ริมฝีปากไม่ได้ใส่ใจถึงลมอัสสาสปัสสาสะออกหรือเข้าลมอัสสาสปัสสาสะออกหรือเข้าจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ เหมือนบุรุษตั้งสติไว้ด้วยสามารถฟันเลื่อยอันถูกที่ต้นไม้เขาไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ ฉะนั้น ฯ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ บุรุษเอาเลื่อยเลื่อยต้นไม้นั้น สติของบุรุษย่อมเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสามารถแห่งฟันเลื่อยซึ่งถูกที่ต้นไม้บุรุษนั้นไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป  ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จและบรรลุผลวิเศษความเนื่องกันเป็นนิมิต เหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ ลมอัสสาสปัสสาสะ เหมือนฟันเลื่อย ภิกษุนั่งตั้งสติไว้มั่นที่ปลายจมูกหรือที่ริมฝีปากไม่ได้ใส่ใจถึงลมอัสสาสปัสสาสะออกหรือเข้าลมอัสสาสปัสสาสะออกหรือเข้าจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ เหมือนบุรุษตั้งสติไว้ด้วยสามารถฟันเลื่อยอันถูกที่ต้นไม้เขาไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ ฉะนั้น ฯ
บรรทัด 266: บรรทัด 297:
 ศัพท์ว่า ปริ ในคำว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา มีความกำหนดถือ เอาเป็นอรรถศัพท์ว่า มุขํ มีความนำออกเป็นอรรถ ศัพท์ว่า สติ มีความเข้าไปตั้งไว้เป็นอรรถ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ตั้งสติไว้เฉพาะหน้า ฯ ศัพท์ว่า ปริ ในคำว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา มีความกำหนดถือ เอาเป็นอรรถศัพท์ว่า มุขํ มีความนำออกเป็นอรรถ ศัพท์ว่า สติ มีความเข้าไปตั้งไว้เป็นอรรถ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ตั้งสติไว้เฉพาะหน้า ฯ
  
-[389] คำว่า เป็นผู้มีสติหายใจออก ความว่า ภิกษุอบรมสติโดยอาการ 32 คือภิกษุเป็นผู้ตั้งสติมั่นเพราะรู้ควมที่จิตอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารลมหายใจออกยาว ชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้นเป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ควมที่จิตอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารลมหายใจเข้ายาว ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ควมที่จิตอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารลมหายใจออกสั้น ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ควมที่จิตอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารลมหายใจเข้าสั้น ชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออกชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯ+[389] คำว่า เป็นผู้มีสติหายใจออก ความว่า ภิกษุมสติโดยอาการ 32 กระทำ (ด้วยสัมปชัญญะ) อยู่ คือ  
 + 
 +ภิกษุเป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ชัดสภพของจิตไม่ฟุ้งซ่านมีอารมณ์เดียวคือลมหายใจออกยาว ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มสติ กระทำ (ด้วยญาณ) อยู่   
 +เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ชัดสภพของจิตไม่ฟุ้งซ่านมีอารมณ์เดียวคือลมหายใจเข้ายาว ...  
 +เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ชัดสภพของจิตไม่ฟุ้งซ่านมีอารมณ์เดียวคือลมหายใจออกสั้น ...  
 +เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ชัดสภพของจิตไม่ฟุ้งซ่านมีอารมณ์เดียวคือลมหายใจเข้าสั้น ชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออกชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯ
  
 ===ปฐมจตุกฺกนิทฺเทโส=== ===ปฐมจตุกฺกนิทฺเทโส===