การแก้ไขถัดไป | การแก้ไขก่อนหน้า |
ปฏิสัมภิทามรรค_03_มหาวรรค [2020/06/27 15:24] – แก้ไขภายนอก 127.0.0.1 | ปฏิสัมภิทามรรค_03_มหาวรรค [2025/01/23 11:55] (ฉบับปัจจุบัน) – [ปริกมฺมนิทฺเทโส] dhamma |
---|
{{wst>ปฏิสัมภิทามรรค head}}{{wst>ปฏิสัมภิทามรรค sidebar}} | {{template:ปฏิสัมภิทามรรค head}}{{template:ฉบับปรับสำนวน head|}} |
| <blockquote>ควรท่องจำ ที.สี.สามัญญผลสูตรบาลี และ ที.สี.มหาสติปัฏฐานสูตรบาลี เพื่อป้องกันความลังเลสงสัยว่ามีเหตุแปลอย่างไร</blockquote> |
'''มหาวรรค อานาปาณกถา''' | '''มหาวรรค อานาปาณกถา''' |
=คณนวาโร= | =คณนวาโร= |
[363] ญาณในธรรมอันเป็นอันตราย 8 และญาณในธรรมอันเป็นอุปการะ 8 เป็นไฉน ฯ | [363] ญาณในธรรมอันเป็นอันตราย 8 และญาณในธรรมอันเป็นอุปการะ 8 เป็นไฉน ฯ |
| |
#กามฉันทะเป็นอันตรายแก่สมาธิ เนกขัมมะเป็นอุปการะแก่สมาธิ | #กามฉันทะเป็นอันตรายแก่สมาธิ เนกขัมมะเป็นอุปการะแก่สมาธิ ((ปนฺถ แปลว่า [[https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=131&p=1#ความหมายของเอกายนะ|ทาง]]. ปริปนฺโถ แปลว่า [[sutta.men/?th.r.67.145.0.0.ปริปนฺเถ|ข้างทาง]]. เนื่องจากในอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร ให้ปนฺถ เป็นไวย์พจน์ของ มคฺค และในสามัญญผลสูตร รวมถึงหลายสูตรอื่นๆ ใช้ ปริปนฺถ ในอรรถ อันตรายในระหว่างทาง, ฉะนั้น ในที่นี้จึงแปลเต็มๆ ได้ว่า ความพอใจเสพกามเป็นอันตรายที่ดักปล้นอยู่ข้างทางของการปฏิบัติสมาธิ. อุปการะก็เช่นเดียวกัน แปลว่า การออกจากกามช่วยส่งเสริมการปฏิบัติสมาธิ.)) |
#พยาบาทเป็นอันตรายแก่สมาธิ ความไม่พยาบาทเป็นอุปการะแก่สมาธิ | #พยาบาทเป็นอันตรายแก่สมาธิ ความไม่พยาบาทเป็นอุปการะแก่สมาธิ |
#ถีนมิทธะเป็นอันตรายแก่สมาธิ อาโลกสัญญาเป็นอุปการะแก่สมาธิ | #ถีนมิทธะเป็นอันตรายแก่สมาธิ อาโลกสัญญาเป็นอุปการะแก่สมาธิ |
=โสฬสญาณนิทฺเทโส= | =โสฬสญาณนิทฺเทโส= |
| |
จิตอันฟุ้งซ่านและจิตสงบระงับ ย่อมดำรงอยู่ในความเป็นธรรมอย่างเดียวและย่อมหมดจดจากนิวรณ์ ด้วยอาการ 16 เหล่านี้ ฯ | จิตที่พัฒนาขึ้น จิตที่พัฒนาถูกตรงขึ้น ย่อมดำรงอยู่ในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (สำนวนไทยคือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) และย่อมหมดจดจากนิวรณ์ ด้วยอาการ 16 เหล่านี้ ฯ |
| |
[364] ความเป็นธรรมอย่างเดียวเหล่านั้นเป็นไฉน ฯ | [364] กุศลธรรมทั้งหลายที่ยังจิตให้พัฒนาถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันเหล่านั้นเป็นไฉน ฯ |
| |
เนกขัมมะ ความไม่พยาบาท อาโลกสัญญา ความไม่ฟุ้งซ่าน ความกำหนดธรรมญาณ ความปราโมทย์ กุศลธรรมทั้งปวงเป็นธรรมอย่างเดียว(แต่ละอย่าง) ฯ | # เนกขัมมะเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม) |
| # ความไม่พยาบาทเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม) |
| # อาโลกสัญญาเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม) |
| # ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม) |
| # ความแยกกำหนดธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม) |
| # ญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม) |
| # ความปราโมทย์เป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม) |
| # กุศลธรรมทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน(กับกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วม) ฯ |
| |
นิวรณ์นั้นเป็นไฉน กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะวิจิกิจฉา อวิชชาอรติ อกุศลธรรมทั้งปวง เป็นนิวรณ์ (แต่ละอย่าง) ฯ | นิวรณ์นั้นเป็นไฉน? |
| |
[365] คำว่า นีวรณา ความว่า ชื่อว่านิวรณ์เพราะอรรถว่ากระไรชื่อว่านิวรณ์เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก ฯ | กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา อวิชชา อรติ อกุศลธรรมทั้งปวง เป็นนิวรณ์ (แต่ละอย่าง) ฯ |
| |
ธรรมเครื่องนำออกเป็นไฉน เนกขัมมะเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยะเจ้าทั้งหลายและพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยเนกขัมมะนั้น กามฉันทะเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออกและบุคคลไม่รู้จักเนกขัมมะอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกกามฉันทะนั้นกั้นไว้เพราะเหตุนั้นกามฉันทะจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก ความไม่พยาบาทเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยความไม่พยาบาทนั้น ความพยาบาทเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลไม่รู้จักความไม่พยาบาทอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกความพยาบาทนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น พยาบาทจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก อาโลกสัญญาเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยอาโลกสัญญานั้น ถีนมิทธะเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักอาโลกสัญญาอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกถีนมิทธะนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น ถีนมิทธะจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยไม่ฟุ้งซ่านนั้น อุทธัจจะเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักความไม่ฟุ้งซ่านอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกอุทธัจจะนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้นอุทธัจจะจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก การกำหนดธรรมเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยการกำหนดธรรมนั้น วิจิกิจฉาเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักการกำหนดธรรมอันเป็นเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลายเพราะเป็นผู้ถูกวิจิกิจฉานั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้นวิจิกิจฉาจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก ญาณเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยญาณนั้น อวิชชาเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออกและบุคคลย่อมไม่รู้จักญาณอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกอวิชชานั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น อวิชชาจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก ความปราโมทย์เป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยความปราโมทย์นั้น อรติเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักความปราโมทย์อันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกอรตินั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น อรติจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออกกุศลธรรมแม้ทั้งปวงก็เป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลายและพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยกุศลธรรมเหล่านั้น อกุศลธรรมแม้ทั้งปวงก็เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักกุศลธรรมอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกอกุศลธรรมเหล่านั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น อกุศลธรรมแม้ทั้งปวงจึงชื่อว่าเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก | [365] คำว่า นีวรณา ความว่า ชื่อว่า นิวรณ์ เพราะอรรถว่ากระไร? |
| |
| ชื่อว่า '''นิวรณ''' เพราะอรรถว่า '''นิยฺยานาวรณ''' (เป็นเครื่องขวางกั้นจิตจากนิยยานะ)ฯ |
| |
| ชื่อว่า '''นิยฺยาน''' (กุศลธรรมเครื่องนำจิตออกจากอกุศลธรรม) เป็นไฉน? |
| |
| # เนกขัมมะเป็นนิยฺยานของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยเนกขัมมะนั้น |
| # กามฉันทะเป็นนิยฺยานาวรณ และเพราะจิตถูกกามฉันทะนั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้เนกขัมมะว่าเป็นนิยฺยานาวรณของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นกามฉันทะจึงชื่อว่า เป็นนิยฺยานาวรณ |
| # ความไม่พยาบาทเป็นนิยฺยานของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยความไม่พยาบาทนั้น |
| # ความพยาบาทเป็นนิยฺยานาวรณ และเพราะจิตถูกความพยาบาทนั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้ความไม่พยาบาทว่าเป็นนิยฺยานาวรณของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นความพยาบาทจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวรณ |
| # อาโลกสัญญาเป็นนิยฺยานของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยอาโลกสัญญานั้น |
| # ถีนมิทธะเป็นนิยฺยานาวรณ และเพราะจิตถูกถีนมิทธะนั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้ถีนมิทธะว่าเป็นนิยฺยานาวรณของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นถีนมิทธะจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวรณ |
| # ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นนิยฺยานของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยไม่ฟุ้งซ่านนั้น |
| # อุทธัจจะเป็นนิยฺยานาวรณ และเพราะจิตถูกอุทธัจจะนั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้อุทธัจจะว่าเป็นนิยฺยานาวรณของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นอุทธัจจะจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวรณ |
| # การแยกกำหนดธรรมเป็นนิยฺยานของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยการแยกกำหนดธรรมนั้น |
| # วิจิกิจฉาเป็นนิยฺยานาวรณ และเพราะจิตถูกวิจิกิจฉานั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้วิจิกิจฉาว่าเป็นนิยฺยานาวรณของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นวิจิกิจฉาจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวรณ |
| # ญาณเป็นนิยฺยานของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยญาณนั้น |
| # อวิชชาเป็นนิยฺยานาวรณ และเพราะจิตถูกอวิชชานั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้อวิชชาว่าเป็นนิยฺยานาวรณของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นอวิชชาจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวรณ |
| # ความปราโมทย์เป็นนิยฺยานของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยความปราโมทย์นั้น |
| # อรติเป็นนิยฺยานาวรณ และเพราะจิตถูกอรตินั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้อรติว่าเป็นนิยฺยานาวรณของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นอรติจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวรณ |
| # กุศลธรรมแม้ทั้งปวงก็เป็นนิยฺยานของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำจิตออกจากอกุศลธรรมด้วยกุศลธรรมเหล่านั้น |
| # อกุศลธรรมแม้ทั้งปวงก็เป็นนิยฺยานาวรณ และเพราะจิตถูกอกุศลธรรมนั้นขวางกั้นไว้ จิตจึงไม่มีปัญญารู้อกุศลธรรมว่าเป็นนิยฺยานาวรณของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้นอกุศลธรรมจึงชื่อว่าเป็นนิยฺยานาวรณ |
| |
| และเมื่อพระโยคาวจรเจริญสมาธิอันปฏิสังยุตด้วยอานาปานัสสติมีวัตถุ 16 จนมีจิตหมดจดจากนิวรณ์เหล่านี้แล้ว แต่ว่าอุปกิเลสที่ละเอียดเป็นขณะเกิดสืบเนื่องก็ยังคงเกิดได้อยู่ ฯ |
| |
=อุปกฺกิเลสญาณนิทฺเทโส= | =อุปกฺกิเลสญาณนิทฺเทโส= |
==ปฐมจฺฉกฺกํ== | ==ปฐมจฺฉกฺกํ== |
| |
ก็แลเมื่อพระโยคาวจรผู้มีจิตหมดจดจากนิวรณ์ในข้อที่แล้วเหล่านี้ เจริญสมาธิอันปฏิสังยุตด้วยอานาปาณสติมีวัตถุ 16 ความที่จิตตั้งมั่นเป็นไปชั่วขณะย่อมมีได้ ฯ | |
| |
[366] อุปกิเลส 18 เป็นไฉน ย่อมเกิดขึ้น ฯ | [366] อุปกิเลส 18 เป็นไฉน ย่อมเกิดขึ้น ฯ |
==ทุติยจฺฉกฺกํ== | ==ทุติยจฺฉกฺกํ== |
| |
[367] เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงนิมิต จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิเมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงนิมิตจิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออกนี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ ฯ | [367] เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึง[[sutta>นิมิตฺ(th.r.104.418)]] [คือ กลุ่มกายปสาทะที่ลมกระทบอยู่] จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิเมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงนิมิตจิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออกนี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ ฯ |
เมื่อคำนึงถึงนิมิต ใจกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก เมื่อ | เมื่อคำนึงถึงนิมิต ใจกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก เมื่อ |
คำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต เมื่อคำนึง | คำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต เมื่อคำนึง |
| |
[384] ธรรม 3 ประการนี้ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เป็นธรรมไม่ปรากฏ จิตไม่ถึงความฟุ้งซ่าน จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จและบรรลุผลวิเศษอย่างไร ฯ | [384] ธรรม 3 ประการนี้ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เป็นธรรมไม่ปรากฏ จิตไม่ถึงความฟุ้งซ่าน จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จและบรรลุผลวิเศษอย่างไร ฯ |
| |
| [อย่างไรจึงเรียกว่า "ธรรม 3 ประการนี้ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียวด้วย, และธรรม 3 นี้ถูกผู้ฉลาดกำหนดอยู่ด้วย (จิตรู้บัญญัติลมเป็นอารมณ์ แต่ปัญญาญาณที่เกิดพร้อมกับจิตก็ไม่ได้หลงลืมธรรม 3 นี้, ดูศัพท์ว่าอธิคม ในอภิสมยกถาประกอบ), จิตไม่ได้ฟุ้งซ่านด้วย, ปธาน คือ ความเพียรแห่งจิตปรากฎชัดด้วย, จิตผู้มีความเพียรย่อมยังปโยคะให้สำเร็จด้วย, และจิตผู้มีความเพียรย่อมบรรลุผลวิเศษด้วย"ฯ] |
| |
เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ บุรุษเอาเลื่อยเลื่อยต้นไม้นั้น สติของบุรุษย่อมเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสามารถแห่งฟันเลื่อยซึ่งถูกที่ต้นไม้บุรุษนั้นไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จและบรรลุผลวิเศษความเนื่องกันเป็นนิมิต เหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ ลมอัสสาสปัสสาสะ เหมือนฟันเลื่อย ภิกษุนั่งตั้งสติไว้มั่นที่ปลายจมูกหรือที่ริมฝีปากไม่ได้ใส่ใจถึงลมอัสสาสปัสสาสะออกหรือเข้าลมอัสสาสปัสสาสะออกหรือเข้าจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ เหมือนบุรุษตั้งสติไว้ด้วยสามารถฟันเลื่อยอันถูกที่ต้นไม้เขาไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ ฉะนั้น ฯ | เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ บุรุษเอาเลื่อยเลื่อยต้นไม้นั้น สติของบุรุษย่อมเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสามารถแห่งฟันเลื่อยซึ่งถูกที่ต้นไม้บุรุษนั้นไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จและบรรลุผลวิเศษความเนื่องกันเป็นนิมิต เหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ ลมอัสสาสปัสสาสะ เหมือนฟันเลื่อย ภิกษุนั่งตั้งสติไว้มั่นที่ปลายจมูกหรือที่ริมฝีปากไม่ได้ใส่ใจถึงลมอัสสาสปัสสาสะออกหรือเข้าลมอัสสาสปัสสาสะออกหรือเข้าจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ เหมือนบุรุษตั้งสติไว้ด้วยสามารถฟันเลื่อยอันถูกที่ต้นไม้เขาไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ ฉะนั้น ฯ |
ศัพท์ว่า ปริ ในคำว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา มีความกำหนดถือ เอาเป็นอรรถศัพท์ว่า มุขํ มีความนำออกเป็นอรรถ ศัพท์ว่า สติ มีความเข้าไปตั้งไว้เป็นอรรถ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ตั้งสติไว้เฉพาะหน้า ฯ | ศัพท์ว่า ปริ ในคำว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา มีความกำหนดถือ เอาเป็นอรรถศัพท์ว่า มุขํ มีความนำออกเป็นอรรถ ศัพท์ว่า สติ มีความเข้าไปตั้งไว้เป็นอรรถ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ตั้งสติไว้เฉพาะหน้า ฯ |
| |
[389] คำว่า เป็นผู้มีสติหายใจออก ความว่า ภิกษุอบรมสติโดยอาการ 32 คือภิกษุเป็นผู้ตั้งสติมั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถลมหายใจออกยาว ชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้นเป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถลมหายใจออกสั้น ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าสั้น ชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออกชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯ | [389] คำว่า เป็นผู้มีสติหายใจออก ความว่า ภิกษุมีสติโดยอาการ 32 กระทำ (ด้วยสัมปชัญญะ) อยู่ คือ |
| |
| ภิกษุเป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ชัดสภาพของจิตที่ไม่ฟุ้งซ่านมีอารมณ์เดียวคือลมหายใจออกยาว ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีสติ กระทำ (ด้วยญาณ) อยู่ |
| เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ชัดสภาพของจิตที่ไม่ฟุ้งซ่านมีอารมณ์เดียวคือลมหายใจเข้ายาว ... |
| เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ชัดสภาพของจิตที่ไม่ฟุ้งซ่านมีอารมณ์เดียวคือลมหายใจออกสั้น ... |
| เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ชัดสภาพของจิตที่ไม่ฟุ้งซ่านมีอารมณ์เดียวคือลมหายใจเข้าสั้น ชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ... เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออกชื่อว่าเป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯ |
| |
===ปฐมจตุกฺกนิทฺเทโส=== | ===ปฐมจตุกฺกนิทฺเทโส=== |